๓
วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดณนนท์ถือโอกาสนอนตื่นสายเป็นพิเศษ ส่วนมินตราตื่นแต่เช้าเช่นทุกวันเพราะเคยชิน และวันนี้หญิงสาวก็เลือกทำอาหารที่ชายหนุ่มชอบไว้ถึงสามอย่าง ความรักทำให้เกิดความต้องการเอาใจใส่...
“อุ๊ย! วันนี้มีแกงจืดน่องไก่กับแฟงด้วย ใครเห็นตานนท์บ้างเนี่ย ตื่นหรือยัง?”
“ผมอยู่นี่ครับแม่...”เสียงนุ่มทุ้มจากเบื้องหลังทำให้มินตราและคุณนัดดาหันไปมองพร้อมกัน “มีอะไรหรือเปล่าครับบ่นถึงผมเนี่ย”
ร่างสูงเดินมาหยุดมองแล้วชะโงกหน้าลงดูอาหารบนโต๊ะ ยิ่งเมื่อพบว่าสามในสี่ล้วนแล้วแต่เป็นของชอบเขาทั้งนั้นก็รีบนั่งประจำที่ทันที
“โห... ของชอบผมทั้งนั้นเลยครับ ขอบคุณนะครับรู้ใจผม กำลังอยากกินพอดีเลย” บอกมารดาพลางกวาดตามองอาหารนัยน์ตาเป็นประกายราวเด็กชายตัวน้อยได้รับของถูกใจ คุณนัดดาหันมายิ้มกับมินตราอย่างขบขัน
“ใครว่าล่ะจ๊ะ แม่ไม่ได้ทำเองสักหน่อย หนูมิ้นต่างหากที่เป็นคนทำ” ณนนท์เปลี่ยนสายตาจากมารดามาที่สาวน้อยซึ่งนั่งถัดออกไป คุณโอบเอื้อมองบุตรชายยิ้มๆ แล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ทำไม นึกไม่ถึงเหรอ พ่อจะบอกให้ เดี๋ยวนี้หนูมิ้นทำอาหารเก่งหลายอย่างแล้วนา…” มินตรายิ้มเขิน เมื่อถูกบิดาของณนนท์ชมต่อหน้า
“ก็ พอดีช่วงนี้มิ้นอยู่บ้านว่างๆ ค่ะ ก็เลยเข้าไปเรียนทำอาหารกับป้าน้อยในครัว” คิ้วหนาเลิกสูงสบตาคู่สวยอย่างล้อเลียน
“งั้นแบบนี้ต้องลอง ลองกินดูก่อนว่าผ่านหรือเปล่า?” เพียงแค่ ณนนท์ตักกับข้าวที่มินตราทำใส่จานแล้วเคี้ยวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย หญิงสาวก็ปราบปลื้มดีใจเป็นที่สุดแล้ว
“อื้ม... อร่อยนี่ คุณแม่ลองชิมนี่สิครับ อร่อยใช้ได้เลย นี่คุณพ่อด้วย” ชายหนุ่มตักกับข้าวใส่จานบิดามารดา ก่อนมาหยุดที่มินตราแล้วยิ้มให้ “ส่วนมิ้นพี่ว่ากินอันนี้ดีกว่า”
อันนี้... ก็คือผัดผักคะน้าเห็ดหอมน้ำมันหอย อาหารที่เขาชอบที่สุด
มินตราขอบคุณเบาๆ แล้วก้มหน้าก้มตารับประทานเงียบๆ ขณะที่ทุกคนต่างพูดคุยกระหนุงกระหนิง แต่กระนั้น ณนนท์ก็ยังมิวายเฝ้าสังเกตน้องสาวต่างบิดามารดาเป็นระยะ และกำลังคิดอยู่ว่าระยะหลังมานี้ มินตรามักจะเหม่อลอยคล้ายกับคนที่กำลังมีบางอย่างในใจอยู่ตลอดเวลา
บ่ายคล้อย เสียงรถยนต์ก็ดังแว่วเข้ามาภายในบ้าน ณนนท์ซึ่งนั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นเงยหน้าขึ้นมอง แล้วผุดยิ้มมุมปากเมื่อร่างสูงขาวของเพื่อนรักเดินยิ้มแป้นมาแต่ไกล...
“ไปไงมาไง วันนี้มาถึงนี่ได้”
“ก็ไม่ไง แค่ไม่มีที่ให้ไป เลยกลับมาหาของตายอย่างนายนี่แหละ”
คนพูดยักคิ้วหากคนฟังกลับหัวเราะร่วน...
ใครก็รู้ว่าณนนท์มีเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนรักมากที่สุดอยู่คนหนึ่ง ซึ่งคนๆ นั้นก็คือ รพี สุนทร ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาสูสีกับณนนท์ เรียกว่ากินกันไม่ลง มองไม่ออกว่าใครหล่อกว่าใคร ทว่าทั้งคู่ก็มีบุคลิกแต่งต่างกันออกไป คนหนึ่งขรึมระคนอ่อนโยน แต่อีกคนหนึ่งทะเล้นทะลึ่งเป็นนิจ...
“เออดีนะนี่” ถูกแขวะกลับรพีก็หัวเราะในลำคอก่อนกวาดตามองหาใครบางคน
“หนูมิ้นไปไหน วันนี้ไม่เห็น?” ปกติไม่ว่าณนนท์อยู่ที่ไหน มินตราก็มักจะอยู่ที่นั่น ทว่าวันนี้กลับไม่เห็นเจ้าของร่างแบบบางงดงามปานเทพธิดาดิน
“ไม่รู้สิ บนห้องมั้ง ว่าแต่นาย ถามถึงทำไม?” น้ำเสียงขรึมๆ กับนัยน์ตาหวงน้องทำให้คนเพิ่งมาถึงตวัดตามองด้วยความหมั่นไส้
“ฮึ! ทำมาเป็นหวงน้อง ที่ถามนี่เพราะไม่เห็นหรอก ปกติเห็นคลอเคลียด้วยกันประจำ พี่อยู่ไหน น้องอยู่นั่น!”
มันก็เป็นเพียงแค่คำพูดธรรมดา ทว่ากลับทำให้ณนนท์รู้สึกใจกระตุกวาบขึ้นมาเฉยๆใบหน้าคมคายที่ทำขรึมเมื่อครู่จึงเสมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเสียมิได้
“คนเราก็ต้องมีอะไรทำเป็นส่วนตัวกันมั่ง จะให้มาตัวติดกันได้ยังไง ว่าแต่นายเหอะคิดจะมากวนประสาทกันเรื่องแค่นี้เหรอ?” ถามพลางจ้องตาเพื่อนรัก อีกฝ่ายไหวไหล่แล้วเมินหน้าไปยังสุดรั้วกั้นซึ่งถัดไปเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นสองชั้น หลังเล็กกะทัดรัด น่ารักน่าอยู่อาศัยเป็นครู่ คนมองตามมองแล้วก็ยิ้มมุมปาก แล้วหลุบตาลงมองหนังสือในมือ
“จะมาหาเรื่องคนแถวนี้หรือไง บอกก่อนนะว่าเขาไม่อยู่...” คราวนี้คนที่มองนิ่งไปยังบ้านหลังน้อยหันขวับมามองเพื่อนตาเขม็ง
“อ้าว! แล้วไปไหนล่ะ ปกติเห็นวันหยุดไม่เคยออกจากบ้านเป็นนางพิมนั่งพับผ้าร้อยมาลัย” ถามกึ่งแขวะถึงเจ้าของบ้านหลังน้อยน่ารักที่คอยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาประจำ แต่ทว่ากลับสนิทสนมดีกับมินตราและณนนท์
“เห็นว่าไปศึกษาดูงานต่างประเทศกับคณะอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย”
คนฟังถึงกับหัวใจเหี่ยวแฟบ วันนี้หยุดเขาอุตสาห์เคลียร์คิวทองทุกอย่างให้ว่างเพื่อจะมาให้เห็นหน้าสักแวบ ทว่าแม่เจ้าประคุณกลับไม่ยอมอยู่บ้านเสียนี่ประไร!
“แล้วจะกลับเมื่อไร” คนอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนแล้วสั่นหน้าเบาๆ
“ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ถ้านายอยากรู้คงต้องถามหนูมิ้น รายนั้นเขาสนิทกัน น่าจะรู้ดี”
ใบหน้าจ๋อยๆ เมื่อครู่กระจ่างขึ้นทันใด มีความหวังขึ้นอีกนิด ก็ไม่รู้ทำไม ทะเลาะกันทุกครั้งที่พบหน้า แต่ทว่ากลับถวิลหาทุกครั้งที่ไม่เห็น
“ไง? ชอบเขาหรือไง เทียวไปเทียวมาอยู่นั่น รักชอบก็บอกเขาไปสิ ระวังนะ ชักช้าคนอื่นจะคว้าชิ้นปลามันไป”
คำเตือนของเพื่อนทำให้รพีสะดุ้ง แต่อีกใจยังคัดค้านและบอกกับตนว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับหล่อนมากไปกว่าแค่อยากจะหาคนลับฝีปากเท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลยจริงๆ ให้ตายสิพับผ่า!
“พูดอะไรของนาย ฉันไม่ได้ชอบยัยคานทองฝังเพชรนั่นสักหน่อย” กระแหนะกระแหนได้อีก จนณนนท์ต้องสั่นหน้าอย่างหมั่นไส้
“เออ! ว่าเขาเข้าไป แขวะเขาให้เยอะๆ คำก็คานทอง สองคำก็คานทองฝังเพชร ระวังเถอะสักวันน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าเพราะคานทองถูกคนอื่นสอยไป”
รพีหน้าแดงเมื่อถูกเพื่อนแขวะ แต่ยังไม่ทันได้ตอบโต้เสียงหวานๆ จากด้านหลังก็ดังขึ้นจนคนทั้งสองต้องหันไปมองตามเสียงนั้น
“อ้าว! คุณพีมาเมื่อไรคะ”
คนตัวบางเดินตรงมาพร้อมขนมทานเล่นในจานแล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้า ก่อนจะทำความเคารพผู้มีอายุมากกว่าพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานตามแบบฉบับมินตรา ทำให้คนมองชื่นหูชื่นตาทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้ม นึกเอ็นดูรักใคร่อย่างน้องสาว บ้านเขามีแต่น้องชายพี่ชายวันๆ โหวกเหวกโวยวายประสาหนุ่มโสด ไม่มีมายิ้มน้อยยิ้มหวานให้เขาชื่นใจสักคน
นึกๆ ไปก็อิจฉาณนนท์ที่มีน้องสาวแสนจะน่ารัก ซ้ำยังสวยบาดตา คอยเอาอกเอาใจอยู่ไม่ห่าง
ณนนท์มองเพื่อนแล้วให้รู้สึกร้อนวูบวาบบนผิวหน้า ชักไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายจ้องเอาๆ จนต้องโพล่งออกไปอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“เฮ้ย! มองนานเดี๋ยวเก็บเงินเลยนิ”
คนถูกขัดหันกลับมาเลิกคิ้วก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับสาวสวยที่นั่งยิ้มแก้มแดงปลั่งอย่างขบขัน
“อะไรวะ แค่มองทำเป็นหวงไปได้ เอ... ไอ้นี่ นับวันจะหวงน้องสาวมากขึ้นทุกทีๆ นะเนี่ย หนูมิ้น แบบนี้อึดอัดมั่งไหม” หันไปถามคนตัวบางที่หันไปรับแก้วน้ำหวานที่เพิ่งสั่งสาวใช้ให้มาเสิร์ฟแล้วนำมาวางลงตรงหน้ารพีก่อนเลื่อนไปให้ณนนท์อย่างเพลินๆ มินตราหันมายิ้มให้คนถามสลับคนที่นั่งหน้าบึ้งแล้วตอบเสียงหวานใส
“ไม่หรอกค่ะ คุณนนท์เป็นห่วงมิ้น มิ้นเข้าใจค่ะ”
คนฟังพลอยชื่นใจ นัยน์ตากระด้างอ่อนแสงทำให้คนถามต้องเหลือบตามองเพื่อนยิ้มๆ ก่อนจะชะงักไปนิดเมื่อเห็นสายตาประหลาดบางอย่างที่มองไปยังสาวน้อยซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการแบ่งขนมใส่จานให้เขาและณนนท์
รพีเขม้นมองชัดๆ อีกครั้งหากแต่คนตัวโตตรงหน้าก็หลุบตาลงอ่านหนังสือในมือเสียก่อน ไม่รู้แกล้งอ่านหรือว่าอ่านจริง รพีถอนหายใจเบาแล้วบอกตนเองว่าเขาอาจตาฝาด...