ตอนที่ 5 ระดับชั้นที่เหนือกว่า

4456 Words
ครั้งล่าสุดที่หยางอีทั่นจำได้ดีว่าเขาอยู่ในช่วงฮีทเกิดขึ้นเมื่อราวสองปีก่อนช่วงเวลานั้นอยู่ในฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอุ่นแต่ฝนยังคงตกไม่ขาดสาย เขาจำได้ว่ากำลังจัดดอกไม้บนเค้กวันเกิดให้ลูกค้าประจำอยู่ในครัว กลิ่นของดอกโบตั๋นจากช่อดอกไม้ที่มีคนฝากไว้ให้ ในร้านกลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงผิดปกติความร้อนเริ่มซึมเข้าจากกึ่งกลางอก กระจายไปทั่วร่างจนปลายนิ้วของเขาชาดิก แต่ภายในครึ่งชั่วโมงต่อมาก็ปรากฏเหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ก็ผุดบนหน้าผาก ลมหายใจร้อนกรุ่นกลับติดขัด ร่างกายสั่นระริกทั้งที่ยังพยายามฝืนทำงานต่อ อีก ผ่านพ้นชายหนุ่มรีบกระถดถอยเข้าไปอยู่ในห้องเก็บของที่อยู่ด้านหลัง และรีบกดล็อกประตูจนแน่น เขารีบเปิดกล่องยาเพื่อจะหา แผ่นแปะกันฮีทไม่แน่ใจว่าเขาได้ซื้อมาเก็บไว้หรือไม่ ก่อนจะใช้ฝ่ามือของตนกดต่อมฟีโรโมนส์ ที่ค่อยๆ ส่งกลิ่นฟุ้งกระจายออกมาจากบนต้นคอด้วยน้ำหนักมือที่หนักและกดย้ำอยู่หลายครั้ง แต่เพราะฟีโรโมนส์ของเขามีกลิ่นวานิลลาละมุนแฝง กลิ่นนั้นกลับเล็ดลอดออกมาผสมกับกลิ่นหวานของครีมเนยในร้าน จนลูกค้าหลายคนที่อยู่ในร้านวันนั้นบอกว่าขนมดูหอมกรุ่นเป็นพิเศษโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วกลิ่นที่ประสาทสัมผัสของพวกเขาได้รับในวันนั้นนั่นคือฟีโรโมนส์โอเมก้าที่กำลังร้องขอพันธะ หยางอีทั่นในช่วงเวลานั้นเขาต้องใช้เวลาสามวันเต็มกว่าที่เขาจะผ่านช่วงฮีทที่นับว่าครั้งนั้นเป็นครั้งที่รุนแรงครั้งหนึ่งไปได้ตลอดเวลาช่วงนั้น อีทั่นเอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักของตัวเองบนชั้นสองของร้าน พอแปะแผ่นกันฮีทและประคบน้ำแข็งเพื่อลดไข้ ที่หน้าผากแล้วชายหนุ่มก็นอนหมกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาๆ พร้อมกับพยายาม ข่มใจตนเองไม่ให้ความต้องการภายในพาเขาไปไกลกว่านี้ คิดไม่ถึงว่าความทรงจำเหล่านั้นของเขายังคงตามมาหลอกหลอนเขาจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะตอนที่ได้กลิ่นฟีโรโมนส์ของอัลฟ่าบางคน... เพราะมันเตือนให้เขานึกถึงว่าต่อให้เป็นโอเมก้าบกพร่องเขาเองก็ยังไม่อาจหนีจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของสายพันธุ์ได้เลย “ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด ฉันคิดว่าซื้อไปเก็บไว้บ้างก็ดีไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน” “นายเคยมีช่วงฉุกเฉินกับเขาด้วยหรือไง ตั้งแต่ฉันรู้จักกับนายมา ยังไม่เคยเห็นนายหายตัวหรือเก็บตัวเงียบๆ นานเลยสักครั้ง จนบางครั้งฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่นายเป็นพวกเดียวกับฉันจริงรึเปล่าหรือว่านายจะเป็นแบบอาจาง รอให้วางจำหน่ายแผ่นเจล ฟิล์มปิดการหลั่งฟีโรโมนออกมาก่อนเหอะ ฉันจะเหมาซื้อเก็บไว้สักสองสามลัง รำคาญกลิ่นดอกกุ้ยฮวาของตัวเองอยู่เหมือนกัน” หานหยวนเอ่ยในตอนที่พวกเขากับอีทั่นเดินมาถึงภายในอาคารตรงบริเวณชั้นหนึ่ง และอีทั่นก็เห็นร้านค้าที่ หานหยวนเอ่ยถึงเมื่อครู่ด้วยข่งอวิ๋นเลขาท่านประธานชายหนุ่มลงมารอรับขนมอบที่ชั้นหนึ่งใต้อาคารสำนักงาน ด้วยตนเองพร้อมด้วยพนักงานอีกสองคน เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้างลาดเอียงทวงท่าทางสงบแต่แฝงเสน่ห์แปลกประหลาด รวมไปถึงผิวที่ขาวละเอียดดูสะอาดตา เส้นผมหยักศกสีดำขลับตัดกับดวงตากลมโตโทนอบอุ่น ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักนั้นยืนอยู่กับใครอีกคน เลขาท่านประธานพร้อมด้วยพนักงานจึงรีบสาวเท้าเดินตรงไป “โอ้โห!!! คุณเลขา ท่านประธานสั่งให้พวกเราหมดนี่เลยหรือคะ กลิ่นยังหอมขนาดนี้ ฉันว่าขนมอบข้างในต้องน่าทานมากแน่ๆ เลยค่ะ” เสียงหญิงสาวหนึ่งในพนักงานเอ่ยขึ้นพร้อมกับระบายยิ้มให้กับอีทั่น “ผมก็นึกว่าคุณจะมาไม่ถูกเสียแล้ว กำลังคิดอยู่ว่าจะโทร.กลับไปถามว่าถึงไหนแล้วก็ติดตรงที่ผมติดสายท่านประธานอยู่” “ถ้ามาเองก็คงจะวนหาอยู่นานล่ะครับ แต่โชคดีที่เพื่อนผมเป็นคนอยู่ละแวกนี้เลยได้เขามาช่วยขับรถให้” ขณะที่อีทั่นกำลังส่งมอบขนมอบให้กับ ข่งอวิ๋นเลขาท่านประธานอยู่นั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ เยียนจื่อเหนิงชายหนุ่มที่กำลังจะเดินออกมาจากร้านกาแฟแต่สายตาของชายหนุ่มกลับเหลือบไปเห็นชายหนุ่มเข้าเสียก่อน “อีทั่น ตรงนั้นมีร้านกาแฟ แวะเติมคาเฟอีนให้ร่างกายก่อนกลับกันหน่อยนะ” เป็นหานหยวนเอ่ยพร้อมกับชี้ส่งนิ้วไปยังร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ตรงข้ามร้านจำหน่ายแผ่นแปะกันฮีท ภายในร้านกาแฟใต้อาคารสำนักงานของ เยี่ยน หัวเซ่อฯ ในช่วงบ่ายแก่ๆ ที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นเมล็ดกาแฟหลากหลายสายพันธุ์ภายในร้านกลับเงียบสงบยามบ่ายแก่ๆ เช่นนี้ เสียงช้อนกระทบถ้วยกาแฟดังกริ๊ง กริ๊งเสียงดังชัดเจนท่ามกลางกลิ่นหอมของเอส เปรสโซ่ เยี่ยนจื่อเหนิงชายหนุ่มเมื่อครู่ที่คิดจะก้าวออกไปแต่กลับเปลี่ยนใจยืนมองดูชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นานก่อนจะตัดสินใจนั่งรอเงียบๆ อยู่ในร้านด้วย ท่าทางสุภาพเรียบร้อยแต่สายตาคมนั้นไม่ได้ละไปจากประตูเลยแม้แต่วินาทีเดียว ชายหนุ่มนั่งรออยู่ไม่นานนักหยาง อีทั่นพร้อมด้วยเพื่อนของเขาก็ผลักประตูเข้ามา วันนี้ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงแสลคเรียบง่าย เรียบง่ายเสียจนจะทำให้คนทั่วไปมองข้าม แต่ความเรียบง่ายเป็นตัวของตัวเองของคนผู้นั้นไม่อาจหลบซ่อนความนิ่งของดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มีเงาลึกลับซ่อนอยู่และที่น่าแปลกก็คือ เขาไม่ได้มาคนเดียว ชายหนุ่มอีกคนซึ่งจื่อเหนิงคาดว่าน่าจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันรูปร่างโปร่ง ผิวขาวนวลราวกระดาษ และกลิ่นฟีโรโมนส์โอเมก้าของดอกกุ้ยฮวา ที่ส่งกลิ่นหวานจัดราวกับน้ำผึ้ง ถูกพัดพาเข้ามาในอากาศทันทีที่ก้าวผ่านประตู หานหยวนชายหนุ่มที่ตามอีทั่นมาด้วย เขาไม่จำเป็นต้องพยายาม ก็สามารถตรึงสายตาของทุกคนในร้านได้เพียงแค่หายใจ จื่อเหนิงชายหนุ่มเลิกคิ้วได้รูปขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับสถานที่ แต่เกี่ยวกับตัวตนของทั้งสองที่เพิ่งเดินเข้ามาอีทั่นเองเหมือนจะรู้ ว่ากลิ่นของหานหยวนกำลังรบกวนจังหวะลมหายใจของเขา แต่เขาก็ยังคงวางหน้าสงบ ไม่ให้ใครอ่านออก “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไง หยางอีทั่น” จื่อเหนิงเอ่ยเสียงเรียบแต่สายตาของเขากลับแฝงความหมายซ้อนอยู่หลายชั้นทั้งความคิดถึง ทั้งความระแวดระวังและการวางตัว รักษาระยะห่างให้เหมาะสมหยางอีทั่นตอบเพียงรอยยิ้มบางๆ “ผมก็คิดว่าคุณคงไม่ว่างให้เจอกันง่ายๆ” ในขณะนั้นเอง หานหยวนก็มองจื่อ เหนิงด้วยสายตาสำรวจด้วยเช่นกันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเบือนหน้าไปอย่างไม่แยแส แต่ฟีโรโมนส์ของเขากลับกดดันอากาศให้หนักขึ้น จนแม้แต่จื่อเหนิงก็รู้สึกได้จื่อเหนิงชายหนุ่มเขาเป็นเพียงอัลฟ่าปกติ ไม่ใช่สายเลือดเข้มข้นเหมือนพี่ชายหรือบิดาของเขา การที่เขายืนอยู่ต่อหน้าเพียวโอเมก้า ที่ฟีโรโมนส์ชัดขนาดนี้ จึงทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างไม่ตั้งใจ หยางอีทั่นรู้ได้โดยสัญชาตญาณในทันทีว่าบรรยากาศนี้จะไม่ใช่แค่เป็นความบังเอิญ “พบเพื่อนเก่า” อีกต่อไปเพราะจื่อเหนิงที่กำลังมองเขาอยู่นั้น เหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควรให้หานหยวนอยู่ในที่นี้ได้ยินและแน่นอนว่าหานหยวนเองก็มองเขาเหมือนกำลังประเมินว่าโอเมก้าบกพร่องอย่างเขาจะ “เป็นภัย” ต่อผู้คนรอบข้างด้วยหรือเปล่า ในห้วงวินาทีนั้นเอง ความตึงเครียดระหว่างอัลฟ่าธรรมดากับ โอเมก้าบกพร่อง และเพียวโอเมก้าค่อยๆถักทอเป็นเส้นใยบางๆ ที่พร้อมจะตึงจนขาดได้ทุกเมื่อ… “แปลกใจมากเลยที่เจอนายที่นี่” จื่อเหนิงเอ่ยพร้อมกับเชื้อเชิญให้คนทั้งสองนั่งลง สายตาของเขายังคงเหมือนเดิมที่เอาแต่จับจ้องมองหยางอีทั่น “ฉันควรต้องเป็นฝ่ายแปลกใจกว่า ที่รู้ว่านายเป็นถึงผู้อำนวยการ น้องชายท่านประธานของที่นี่ ก็อย่างที่นายเห็นนี่ล่ะฉันมาส่งขนม แล้วนี่เพื่อนฉัน ลู่หานหยวน” อีทั่นเอ่ยพร้อมกับนั่งลงโดยหานหยวนก็นั่งลงตามด้วย “ผ่านพ้นเหนิงนายทำไมถึงไม่เรียนต่อด้วยฐานะของนายที่ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้ฉันคิดว่าการเรียนต่อสำหรับนายแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นี่ฉันก็นึกว่านายจะเรียนต่อ ไม่คิดว่าจะกลับมาก่อน แล้วตอนนี้นายเป็นอย่างไรบ้างนายสบายดีใช่ไหม ฉันไม่น่าถามอะไรอย่างนั้นเลยนายก็ต้องสบายอยู่แล้วสิเป็นถึง ผู้อำนวยการนี่เนอะ” “นายก็พูดไป ถ้ามันสบายอย่างที่นายพูดมา แล้วฉันจะมาหลบอยู่ที่ร้านกาแฟนี้หรือไง วุ่นวายจะตายชัก” หานหยวนได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ถึงกับยกมุมปากขึ้นสูงก่อนจะเอ่ยขึ้น “อีทั่นนายอยากดื่มอะไร ฉันจะไปสั่งให้” หานหยวนเอ่ยถามพร้อมกับมองดูชื่อรายการสินค้าจากป้ายด้านบนก่อนที่อีทั่นจะเอ่ยตอบว่า อะไรก็ได้ ไม่ต้องยุ่งยาก หานหยวนได้ยินแล้วจึงเดินตรงไปที่เค้าเตอร์ “แล้วนี่อีทั่นนายพักอยู่ไหน ให้ฉันไปส่งมั้ย” จื่อเหนิงเอ่ยพร้อมกับวางแก้วเอสเปรสโซ่ร้อนลง ก่อนที่เพื่อนสนิทจะเอ่ยตอบ “ไม่ต้องลำบากนายหรอก ฉันมากับหานหยวนอีกเดี๋ยวให้เขาไปส่งก็ได้ แล้วนายล่ะ พักอยู่แถวนี้รึเปล่า” “เจอนายก็ดี...มาแลก WC กันหน่อยสิ” จื่อเหนิงเอ่ยพร้อมกับพยักพเยิดหน้าส่งให้อีทั่น ชายหนุ่มจึงล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วทำการแลกไอดี ของWC ทันที “มาแล้ว... นมโอ๊ตวานิลลาเย็นของนาย” หานหยวนเอ่ยพร้อมกับวางแก้วทรงสูงที่ภายในเป็นเครื่องดื่มทำจากนมพืชที่ใส่วานิลลาไซรัป ส่วนของหานหยวนเป็นชาหอมหมื่นลี้เย็นใส่เมล็ดเก้ากีมาในแก้วใสๆ สีสันสวยสดยิ่งนัก “หานหยวน นี่เพื่อนสมัยเรียนมหาลัยของฉันเองชื่อ เยี่ยนจื่อเหนิงพวกนาย รู้จักกันไว้สิ” หานหยวนได้ยินเพียงพยักหน้ารับก่อนจะก้มหน้าลงดื่มด่ำกับชาเย็นในแก้วใสๆ ของเขาไปเป็นอัลฟ่าแล้วอย่างไร เหอะ ฉันต้องสนใจเขาด้วยงั้นเหรอ เห...แต่เมื่อครู่ อีทั่นพูดว่าอะไรนะ น้องชายประธานบริษัท เยี่ยน หัวเซ่อ งั้นเหรอ ชักจะน่าสนใจขึ้นมาบ้างนิดหน่อยแล้ว หลังจากที่หานหยวนมาส่งเขาแล้ว ก็ขอตัวกลับไปเตรียมตัวเข้าช่วงฮีท คงอีกหลายวันกว่าทั้งสองคนจะได้พบกัน อีทั่นจึงหยิบขนมอบใหม่ๆ ในร้านให้กับหานหยวนไปหลายชิ้น หลังจากปิดร้านเร็วเพราะวันนี้ อาจางต้องรีบนำเงินไปเข้าธนาคารแล้ว อีทั่นก็เปิดหน้าจอคอม เข้าเว็บไซด์ของบริษัท เยี่ยน หัวเซ่อฯ ทันทีสายตารุ่มลึกของเขาพยายามหาข้อมูล เกี่ยวกับรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือรายชื่อกรรมการของบอร์ดบริหาร อยู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณแจ้งเข้าที่โทรศัพท์มือถือ เมื่อเปิดหน้าจอดู อีทั่นจึงรู้ว่าเป็น จื่อเหนิงส่งข้อความมา [เมื่อตอนบ่ายเห็นเพื่อนนายสนใจผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่วางจำหน่ายที่ร้านและช่วยอุดหนุนกิจการครอบครัวฉันไปหลายชิ้น ฉันเลยคิดว่าจะส่งทั้งแผ่นแปะกันฮีท และตัวอย่างแผ่นปิดต่อมไร้ท่อไปให้นาย] [ไม่ต้องลำบากนายหรอกจื่อเหนิง แถวนี้แม้จะอยู่ชานเมืองแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหาซื้อผลิตภัณฑ์พวกนั้นไม่ได้อีกอย่างแต่ละชิ้นราคาก็ค่อนข้างสูง] [แล้วไง? พรุ่งนี้ฉันจะส่งไปให้นายกับเพื่อนนายอย่างละสองลัง อ้อ ไม่จำเป็นต้องขอที่อยู่นานหรอก ฉันไปถามจากเลขาของพี่ชายฉันก็ได้ บรัย...] ส่งข้อความโต้ตอบกับอีทั่นจบ จื่อเหนิงก็รีบปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาทันที ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบใดๆ กลับมา “นายอยากรู้จริงๆ หรือว่าเพราะเหตุใดฉันถึงไม่เรียนต่อ อีทั่นเพราะถ้าฉันอยู่ใกล้นายกว่านี้อีกนิด อยู่กับนายนานกว่านั้นอีกสักหน่อย ฉันคงได้จับนายกดแล้ว แต่ถ้าหากฉันทำอย่างนั้นเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อีกงั้นหรือ แต่จะว่าไปแล้วโอเมก้าบกพร่องอย่างนายก็คงจะเหมาะสมกับอัลฟ่างอกง่อยอย่างฉันเท่านั้น” หานลี่ชายหนุ่มที่อยู่ในช่วงรัทที่ประเทศที กำลังนั่งอ่านรายงาน จากเลขาที่รายงานเขาเกี่ยวกับเรื่องของ อีทั่นที่มาส่งขนมอบวันนี้ที่น่าแปลกใจก็คือ น้องชายของเขาเป็นเพื่อนเรียนมหาลัยเดียวกับหยางอีศักยภาพ ตลอดเวลาที่จื่อเหนิงศึกษาอยู่ที่นั่นไม่เคยเอ่ยถึง หยางอีทั่นให้เขาได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว อ่านจากรายงานของข่งอวิ๋นแล้วดูเหมือนว่าสองคนนี้จะสนิทกันมากอีกด้วย น้องชายเขาไม่น่าจะรู้เรื่องเงินโอนเข้าบัญชีของจางอี้เหมินหรอกกระมัง หานลี่เอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาร่วมหลับนอนกับโอเมก้าจนอาการรัท กลับมาเป็นปรกติแล้ว คิดว่าอีกสองวันก็น่าจะเดินทางกลับได้ หานลี่ เริ่มสงสัยความสัมพันธ์ของน้องชายจื่อเหนิง กับอีทั่นเมื่อตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน จื่อเหนิงคงไม่รู้เรื่อง เงินโอนเข้าบัญชีของจางอี้เหมินเรื่องนั้นเขาพอเข้าใจได้ แล้วความสัมพันธ์ของเขาสองคนตกลงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ หลังจากผ่านพ้นช่วงรัทของหานลี่ไปได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็กลับมานั่งทำงานตามปรกติ บนโต๊ะทำงานของเขายังมี ขนมอบหอมกลิ่นวานิลาวางใส่จานเล็กๆ พร้อมกับ กาแฟดำร้อนอีกหนึ่งถ้วยหานลี่ที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานชั้นสูงสุดของตึก เยี่ยน หัวเซ่อฯ แสงแดดจากกระจกบานใหญ่ทอดเงาอบอุ่นลงบนโต๊ะไม้สัก แต่ภายในใจเขากลับเย็นชืด แฟ้มรายงานที่วางอยู่ตรงหน้าเขาที่เพิ่งได้รับมานั้นไม่ใช่เอกสารการเงินของบริษัท แต่อย่างใด หากแต่เป็นเอกสารที่สรุปการเคลื่อนไหวบัญชีส่วนตัวของจางอี้เหมินข้อมูลที่เขาเพิ่งให้คนสืบมาเมื่อไม่กี่วันก่อนในนั้นมรายการโอนเงินจำนวนหนึ่งซ้ำๆ จากบัญชีของเยี่ยน จวินหาน ตลอดช่วงสองปีที่เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยต่างประเทศและประเด็นที่ทำให้ ชายหนุ่มต้องขมวดหัวคิ้วมากขึ้น นั่นก็คือช่วงเวลาที่เงินเข้าบัญชีจางอี้เหมิน มักจะตรงกับวันที่ หยางอีทั่น มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ หรืออาจมีการชำระค่ารักษาพยาบาลบางอย่าง หานลี่เอนตัวพิงเก้าอี้ทำงาน พลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆ เขาจำได้รางๆ ว่าตอนที่จื่อเหนิงกลับจากต่างประเทศใหม่ๆ นั้นไม่ เคยเอ่ยชื่อหยางอีทั่นให้เขาได้ยินด้วยซ้ำ แต่ฟังจากเลขา ที่รายงานให้เขาฟังกลับกลายเป็นว่า น้องชายของตนเอ่ยเรียกชื่อหยางอีทั่นด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเวลาพูดถึงคนอื่น ฟังดูแล้วเป็นน้ำเสียงที่มีทั้งความอ่อนโยนและสายตารุ่มลึกที่จ้องมองคนผู้นั้น “จื่อเหนิงจะรู้เรื่องที่บริษัทโอนเงินให้จางอี้เหมินที่เป็นคำสั่งของบิดาหรือเปล่านะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขา คิดว่าท้ายที่สุดแล้วเงินนั้นก็น่าจะไปถึงมือ อีทั่น?” หานลี่บ่นพึมพำกับตัวเอง “งั้นคนที่จัดการเรื่องนี้คงมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่อยากให้เขารู้” ไวเท่าความคิด อีทั่นรีบลุกออกจากห้องทำงานของตน แล้วตรงไปที่ห้องทำงานของ จื่อเหนิงที่อยู่ในชั้นเดียวกันนับว่าโชคดีที่เวลานี้หน้าห้องของเขาไม่มีคนอยู่ หานลี่จึงรีบเปิดประตูห้องทำงานแล้วรีบก้าวเข้าไปข้างในทันที เขาจำได้ว่าน้องชายมีรูปถ่ายสมัยเรียนหาลัยที่ต่างประเทศเก็บไว้ ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาไม่นาน สายตาคมปลาบหันไปมองภาพถ่ายเก่าที่ตั้งอยู่บนชั้นวางด้านข้างโต๊ะทำงานของจื่อเหนิงภาพนั้นเป็นภาพงานเลี้ยงรับปริญญาที่จื่อเหนิงยืนอยู่ข้างอีทั่น ทั้งคู่ยิ้มบางๆ แต่แววตาของน้องชายเขาในตอนนั้นหานลี่เชื่อว่าคงไม่ใช่รอยยิ้มของเพื่อนธรรมดา หานลี่ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกได้กลิ่นแปลกๆ เขาคิดว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนระหว่างน้องชายกับอีทั่นนั้นอาจไม่ใช่แค่ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย อย่างที่ทุกคนเข้า ใจแต่เป็นความสัมพันธ์ที่ซ่อนปริศนาและอาจเกี่ยวพันกับคนในครอบครัวสกุลเยี่ยนมากกว่าที่เขาคิดไว้ เมื่อยืนยันสิ่งที่ตนเองคิดไว้ได้แล้ว หานลี่ก็รีบกลับมาที่ห้องทำงานของตนเองทันที ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นจากด้านนอก เป็นข่งอวิ๋นเลขาประจำตัวของเข้าก็ก้าวเข้ามา “ท่านครับ อีกสามวันจะเป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณชายรองแล้ว ผมเตือนท่านล่วงหน้าเพื่อให้ท่านทราบเผื่อต้องหาของขวัญมอบให้กับคุณชายรอง” “อ้าว!!! งั้นเหรอ” หานลี่เอ่ยพร้อมกับจ้องมองไปที่ปฏิทินจะเข้ากลางเดือนแล้วจริงๆ ด้วยนี่ใกล้จะถึงวันเกิด จื่อเหนิงแล้วจริงๆ “เมื่อปีที่แล้ว นายจัดการอย่างไร ก็ทำไปตามนั้นก็แล้วกันส่วนเรื่องของขวัญ...นายโทร.ติดต่อผู้จัดการศูนย์นำเข้ารถซูเปอร์คาร์ตรงแยกไฟแดงก่อนถึง สำนักงานเราให้ฉันที หลายวันก่อนที่ฉันจะไปประเทศที ผู้จัดการสาขานั้นบอกฉันว่า จื่อเหนิงไปเดินดูรถที่นั่น แล้วก็อย่าลืมถามเขาให้ฉันด้วยว่า จื่อเหนิงสนใจคันไหนเป็นพิเศษ ได้คำตอบแล้วก็สั่งจองแล้วนายค่อย ส่งใบจองรถให้เป็นของขวัญวันเกิดเขาแทนฉันที” ข่งอวิ๋นชายหนุ่มรีบจดบันทึกตามคำสั่งของท่านประธานมือเป็นระวิง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีก “แล้วต้องสั่งขนมอบเค้ก หรือคุ้กกี้หรือไม่ครับ...” “นายจะสั่งเลยก็ได้ แล้วบอกเขาด้วยว่าฉันจะไปรับเค้กด้วยตนเอง” เอ่ยจบ หานลี่ก็ก้มลงเซ็นเอกสารตรงหน้าก่อนจะยกกาแฟดำขึ้นดื่มกับบิด ขนมอบเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งเข้าปากไป ข่งอวิ๋นเลขาท่านประธานหานลี่ได้จัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณชายรองครั้งนี้เหมือนเช่นปีที่ผ่านมาโดยปีนี้ จัดงานที่โรงแรม ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ สำนักงานพร้อมกับมีพนักงานของบริษัทเข้าร่วมงาน โดยมีคำสั่งว่าท่านประธานอนุญาตให้หยุดทำงานวันนี้กับพรุ่งนี้เป็นเวลาสองวัน ที่โรงแรมสุดหรูใจกลางย่านธุรกิจของเมืองซี เสียงดนตรีแจ๊ซทุ้มๆ นุ่มๆ ดังคลออยู่ภายในห้องโถงจัดเลี้ยงของโรงแรม แสงไฟคริสตัลวิบวับที่อยู่เหนือศีรษะกระทบแก้วไวน์จนเกิดประกายระยิบระยับ หยาง อีทั่น ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างโต๊ะของเยี่ยน จื่อเหนิงวันนี้เขามาส่งขนมอบและเค้กวันเกิดให้กับ เจ้าภาพอีกทั้งยังอยู่ร่วมของงานวันเกิดเพื่อนสนิทร่างสูงโปร่งเพรียวสง่าอยู่ในสูทสีเข้มเข้าชุดกับรองเท้าหนัง ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับเต้นแรงผิดจังหวะ อีทั่นชายหนุ่มเขารู้ตัวทันทีที่กลิ่นฟีโรโมนส์แรงจัดของอัลฟ่าที่ค่อยๆ แผ่เข้ามานั้นเป็นกลิ่นดอกเบญจมาศผสานกับความเย็น เยียบของโลหะ บ่งบอกชัดว่าเป็นอัลฟ่าระดับเอสพลัสที่มาพร้อมพลังในการกดดันทางสัญชาตญาณอย่างรุนแรง เจ้าของกลิ่นนั้นคือ เสิ่น ฟู่หรง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมสูทสีเทาเข้มที่ตัดเย็บพอดีตัว เขาเดินตรงเข้ามาโดยไม่ละสายตาจากอีทั่น ดวงตาคมสีเทาเข้มมองชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนกำลังประเมินเหยื่อหรือบางทีก็อาจจะกำลังท้าทาย “นายก็คือหยางอีทั่น?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเหมือนจะถาม แต่แฝงแรงกดดันจนกล้ามเนื้อข้างลำคอของ อีทั่นตึงเกร็ง “ฉันเคยเห็นนาย อยู่กับจื่อเหนิงที่ร้านกาแฟใต้อาคารสำนักงานแต่พอมาเห็นนายใกล้ๆ แล้วอืม...กลิ่นวานิลลานี่ช่างหอมยั่วยวนชวนน้ำลายไหลเสียจริง” เสิ่นฟู่หรงเอ่ยแทะโลมจาบจ้วงจบเพียงแค่วินาทีเดียว อัลฟ่าระดับเอสพลัสก็ปล่อยฟีโรโมนส์ออกมาราวกับคลื่นลูกใหญ่ซัดกระแทก อัดเข้ากับโสตประสาทและสัญชาตญาณของโอเมก้า อีทั่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าเสิ่นฟู่หรงนั้นกัดฟันกรามแน่น ชายหนุ่มพยายามใช้การหายใจเพื่อควบคุมตนเองเอาไว้จาการถูกโจมตี แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความร้อนในเส้นเลือดเริ่มปะทุขึ้นมาในห้วงสติสำนึกรู้ของเขารู้ว่าหากปล่อยให้ตัวเองตอบสนองตามสัญชาตญาณ ฟีโรโมนส์ที่เหนือกว่า ที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ไว้ในร่างกายอาจเล็ดลอดออกมาคงไม่ดีแน่และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่อาจยอมให้เกิดขึ้น “ฟู่หรง นายพอได้แล้ว” เสียงของจื่อเหนิงที่เจือไปด้วยโทสะเอ่ยดังขึ้นข้างๆ ราวกับต้องการจะตัดบรรยากาศกดดันเป็นเส้นบางๆ ชายหนุ่มรีบก้าวมาขวางระหว่างทั้งคู่ แต่ดวงตาของฟู่หรงยังคงจับจ้องอีทั่นไม่ละสายตา เหมือนรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างในตัวโอเมก้าคนนี้…แตกต่างจากโอเมก้าทั่วไปอย่างสิ้นเชิง “หยางอีทั่นนายนี่มันน่าสนใจดีจริงๆ” เสิ่นฟู่หรงอัลฟ่าอย่างเขาที่เหนือกว่า จื่อเหนิงมีหรือจะยอมเชื่อฟังอัลฟ่างอกง่อยอย่างจื่อเหนิง นอกจากไม่เชื่อฟังแล้วเขายังพยายามปล่อยฟีโรโมนส์ของตนเพื่อกดดันอี่ทั่นเขาอยากให้ชายหนุ่มตรงหน้าคลุ้มคลั่งจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ร่างกายของ อีทั่นทั้งสั่นเทิ้มไปทั้งตัวมือข้างหนึ่งยกขึ้นกดไว้ที่ต้นคอ อีทั่นไม่อยากให้ใครได้กลิ่นฟีโรโมนส์ของเขาในเวลานี้ ใบหน้าหล่อคมคายเริ่มซีดเผือด ชายหนุ่มพยายามปรับลมหายใจและพยายามควบคุมตัวเองอีกครั้ง เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่ในครรลองสายตาของหานลี่ ท่านประธานมิอาจทนเห็นเพื่อนสนิทของน้องชายหยางอีทั่นถูกข่มเหงรังแกจากพวกอัลฟ่าที่มักจะทำตัวกร่างอย่างไร้เหตุผลได้ ในเมื่อเสิ่นฟู่หรงอยากจะแสดงศักยภาพของอัลฟ่านัก เช่นนั้นเขาจะแสดงให้ดูเอง บรรยากาศในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของ จื่อเหนิงวันนี้ที่เพิ่งเริ่มงานมาได้ไม่นานกลับตึงเครียด กลิ่นฟีโรโมนส์ของเสิ่นฟู่หรงยังลอยอวลอยู่เหนือกลุ่มคนในโถงราวกับหมอกควัน อีทั่นยืนกำหมัดแน่นลมหายใจติดขัดเล็กน้อย ขณะที่จื่อเหนิงขยับตัวบังเขาไว้แต่จู่ๆ เสียงทุ้มเยือกเย็นก็ดังขึ้นจากด้านหลังผู้คน “ในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของน้องชายฉัน… ใครกันที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์กดข่มแขกของฉันแบบนี้?” ทุกสายตาของคนนับร้อยที่อยู่ในงานต่างก็หันไปทางชายผู้เพิ่งก้าวเข้ามาเยี่ยน หานลี่ ประธานบริษัทเยี่ยนหัวเซ่อฯ ร่างสูงโปร่งในสูทสีดำสนิท ก้าวเท้าอย่างช้าๆ แต่ทุกฝีก้าวต่างหนักแน่น ดวงตาคมเรียวรุ่มลึกของเขาทอดมองมาที่ฟู่หรงอย่างไม่เร่งร้อน ทว่ากลับแฝงแรงกดดันมหาศาลเพียงก้าวแรกที่เขาก้าวเข้าไปใกล้ กลิ่นฟีโรโมนส์ของอัลฟ่าระดับสูงสุดก็แผ่กำจายออกมา กลิ่นของดอกโบตั๋นผสมความขมละมุนของกลิ่นวานิลาที่กำจายออกจากตัวหยางอีทั่นค่อยๆ กดทับฟีโรโมนส์ของฟู่หรงลงอย่างสมบูรณ์ราวกับบดขยี้ เสิ่นฟู่หรงชายหนุ่มชะงักงันไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเป็นอัลฟ่าที่เหนือกว่าจื่อเหนิงก็ตาม แต่แรงกดดันจากฟีโรโมนส์ของหานลี่ไม่ใช่สิ่งที่อัลฟ่าอย่างเขาจะพบเจอได้บ่อยๆ เขารู้ในทันทีว่าผู้ชายคนนี้ ไม่ได้แค่สูงกว่าตนเพียงครึ่งระดับแต่ต้องเรียกว่าเป็นอีก ชั้น ของสายพันธุ์อัลฟ่าอย่างแท้จริง เยี่ยนหานลี่หยุดยืนเพียงครึ่งก้าวข้างหน้าอีทั่น เสี้ยวตาหันมองเพียงนิดเดียวก็เหมือนส่งสัญญาณว่า ฉันอยู่ตรงนี้ นายปลอดภัยแล้ว “เสิ่นฟู่หรงถ้านายคิดจะแสดงศักยภาพอย่างนั้นเหรอ” หานลี่เอ่ยน้ำเสียงเรียบ แต่แรงสั่นสะเทือนจากฟีโรโมนส์ที่ปล่อยออกมากลับทำให้ร่างกายของทุกโอเมก้าในรัศมีรับรู้ได้ถึงอำนาจนี้ “อย่างนั้นนายก็มาแสดงกับฉันสิ ฟู่หรง” ในชั่ววินาทีนั้น เหมือนทั้งห้องถูกแช่แข็ง ไม่มีใครแม้แต่จะหายใจดังเกินไปก่อนที่แรงปะทะระหว่างสองอัลฟ่าจะเริ่มขึ้นอย่างมองไม่เห็น แต่ทุกคน สัมผัส ได้ “ท่านประธานครับ พอเถอะ ผมไม่เป็นไรแล้ว” อีทั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ชายหนุ่มพยายามจะกดข่มพลังแฝงในกายเอาไว้ ก่อนที่จื่อเหนิงจะก้าวเข้ามาประคองตัวหยางอีทั่นแล้วพาเขาเดินออกจากตรงนั้นไป “จื่อเหนิง นายช่วยพาฉันไปห้องน้ำหน่อย ฉันอยากล้างหน้าหรือไม่ก็เช็ดตัว” จื่อเหนิงได้ยินก็พยักหน้ารับคำทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD