ตำนานกล่าวขานเรื่องราวของปรมาจารย์หญิงไร้เทียมทาน เมื่อห้าร้อยปีก่อนเกิดกุลียุคขึ้น มารร้ายกำเริบเสิบสาน ไม่สนใจสัญญาสงบศึกตั้งกองทัพทำลายแดนมนุษย์เพื่อแสดงอำนาจยิ่งใหญ่
ทำเช่นนี้ก็เพื่อท้าทายสวรรค์ที่อยู่เบื้องบน แต่กลับมีหลายสำนักเซียน ที่ไม่สามารถปล่อยให้มารร้ายทำอย่างที่ตั้งใจ หนึ่งในนั้นคือยอดปรมาจารย์หญิงฉวนหง
เล่ากันว่าเพื่อความสงบสุขของโลก นางถึงกับต้องร่ายรำวิชาเซียนท่ามกลางฝนโลหิตของมารร้าย โดยไม่สนความเป็นตายของตนเอง
ด้วยท่วงท่าสง่างามดั่งนางเซียนผู้อยู่เหนือกิเลส ผู้ที่อยู่เป็นสักขีพยานในสงครามครั้งนั้น ต่างก็เล่าขานความเสียสละและความยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ฉวนหง
นี่ก็ผ่านไปห้าร้อยปีแล้ว..
แต่เป็นห้าร้อยปี ที่จู่ๆ ร่างที่หลบเร้นใต้หุบเขายิ่งใหญ่ พลันเปิดเปลือกตาขึ้นหลังจากอยู่ในสมาธิแห่งจิตมามากกว่าห้าร้อยปี
แต่บนยอดเขาเซียนที่กดทับนางเอาไว้ กลับมีใครคนหนึ่งที่กำลังโคจรพลังเพื่อเพิ่มตบะด้วยท่วงท่าที่สงบ
โขดหินริมน้ำตกที่เต็มไปด้วยไอหนาวสีขาว ชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วน ดวงหน้าหล่อเหลาดั่งเทพเซียนที่ผ่านการขัดเกลาจากฟ้าดิน สวมอาภรณ์สีขาวและคลุมทำด้วยชุดคลุมจากขนจิ้งจอกสีเดียวกัน
เมื่อนั่งปิดเปลือกตาเพื่อทำสมาธิ จึงคล้ายรูปปั้นที่สวรรค์และโลกสรรค์สร้างอย่างประณีตที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นึกไม่ถึงว่าการตื่นครั้งนี้ กลับพบเจอเรื่องที่น่าสนใจเข้า
มองที่ชุดสีขาวของเขา แล้วจึงสำรวจร่างกายตนเองที่สวมชุดสีแดง ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองทันทีเพื่อไม่ให้ใครจดจำนางได้
นานๆ ครั้ง จะมีหนุ่มรูปงามให้หยอกล้อ..
ผ่านไปห้าร้อยปีก็มีบุรุษน่าสนใจเช่นนี้ปรากฏขึ้น จะไม่ให้ฉวนหงตื่นเต้นได้อย่างไร
ด้วยรูปลักษณ์ดั่งสาวน้อยวัยแรกแย้ม ปรับท่าทางและการแสดงออกให้ดูบอบบางน่าทะนุถนอม เคลื่อนไหวไม่กี่ครั้งก็สะกดพลังของตนเองเอาไว้ เป็นเพียงเซียนน้อยที่ไร้พิษภัยไม่สามารถสร้างอันตรายกับใครได้
จากนั้นคิดแผนหนึ่งขึ้นมา..
การพบเจอของหนุ่มสาวย่อมอาศัยโชคชะตา แต่นางที่อับโชคเรื่องความรักหรือจะรอให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นได้ เมื่ออยากได้ก็ต้องสร้างเส้นทางของตนเอง เหลือบมองโดยรอบว่าตนเองจะทำเรื่องใดได้บ้าง
..ไวเท่าความคิด ร่างบอบบางในชุดอาภรณ์ขาวปรากฏขึ้นเหนือร่างที่นั่งซึมซับพลังเพื่อเพิ่มตบะเซียนของตนเอง
เริ่นซือเหิงพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่างด้านบน แต่เมื่อเงยขึ้นก็มีใครบางคนตกลงมาตรงที่นั่งอยู่ ด้วยเพราะเกิดเหตุไม่คาดคิด และการรับรู้ก็สั้นเกินไป จึงทำให้ใครบางคนตกลงสู่อ้อมกอดพอดิบพอดี
นี่คือสิ่งที่ไม่ได้ตั้งรับ..
ความนุ่มนิ่มที่ได้สัมผัส สามารถบอกได้ว่าเป็นสตรีสักนางที่ตกลงมาจากท้องฟ้า นี่คือเรื่องเหลือเชื่อ แต่เกิดขึ้นแล้วอย่างที่เขาก็คาดไม่ถึง
สองร่างตกลงไปในผืนน้ำใสพร้อมกัน ตูม!
ท่ามกลางแสดงแดดอุ่นที่ส่องลงมาจากแนวไม้ โดยรอบเป็นต้นเฟิงที่ออกใบสีแดงเต็มต้นรายล้อมไปทั่วทั้งบริเวณ ช่วงระยะเวลาที่สองร่างผุดขึ้นมาจากใต้ผืนน้ำ สายลมอ่อนพัดใบเฟิงให้ลอยละล่อง เกิดเป็นภาพงดงามราวกับเป็นการพบเจอกันของคู่แห่งโชคชะตา
เริ่นซือเหิงไม่สนใจว่าตนเองเปียกมากเท่าใด แต่ที่สนใจคือสตรีตรงหน้าที่เขาไม่รู้จัก แต่แววตากระจ่างใสกลับเป็นสิ่งที่น่าสนใจจนเขาเผลอจับจ้อง
ทางด้านผู้ที่คิดวางแผนให้ตนเองพบเจอเขาภายใต้เรื่องราวของบุรุษช่วยสาวงาม ไม่คิดว่าการปรากฏกายอย่างเรียบง่ายเช่นนั้น เขากลับตอบสนองช้าและทำให้นางตกลงไปในน้ำเช่นเดียวกัน
ก้มลงไปมองร่างกายของตนเองก็เห็นว่าอาภรณ์ที่สวมอยู่บางเกินไป สามารถมองเห็นผิวเนื้อจนฉวนหงทนอยู่ต่อหน้าบุรุษด้วยสภาพเช่นนี้ไม่ไหว จึงได้เดินถอยหลังเพื่อกลับไปตั้งหลักใหม่ แต่ไหนเลยคนที่ถูกทำให้เปียกแล้วนางยังคิดหนีจะยินยอม
เริ่นซือเหิงฉวยข้อมือขาวของนางเอาไว้ แต่เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างบอบบางที่กดพลังของตนเองจนกลายเป็นต่ำต้อย กลับถูกรั้งจนด้านหน้าแทบจะชนกลับอกแกร่ง
ดีที่ขืนกายเอาไว้ได้ทัน..
ดวงหน้าหล่อเหลาจดจ้องนางด้วยแววสงสัยผสมกรุ่นโกรธ แม้ไม่ได้ต่อว่าตรงๆ แต่กลับจับจ้องด้วยสีหน้าเรียบตึงยิ่งนัก เขาเอ่ยขึ้น "เจ้าเป็นศิษย์ตำหนักใด? ไม่รู้หรือว่าที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม"
ฉวนหงตั้งใจที่จะแสดงเป็นสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงได้จับจ้องด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
"ขออภัยเจ้าค่ะ ขะ ข้า..ไม่รู้"
มือที่จับแขนบอบบางกำแน่นขึ้น "เป็นศิษย์ตำหนักใด?"
ฉวนหงเห็นท่าทางจริงจังของเขานางยอมรับว่าชื่นชอบจนใจเต้นแรง แต่เพราะอยากให้ตนเองอยู่ในสภาพที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ในสภาพเปียกไปทั้งตัวจนผมแนบลู่ไปหมด
ส่งเสียงตอบ "ข้าจำไม่ได้เจ้าค่ะ"
"เหลวไหล" เอ่ยเพียงเท่านั้นก็สะบัดมือครั้งหนึ่งแล้วส่งนางขึ้นฝั่ง แต่เขากลับทะยานร่างติดตามมาทั้งที่ทำให้ตนเองกลับมาอยู่ในอาภรณ์แห้งและพลิ้วไหว "เจ้าเข้ามาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร บอกข้ามา"
เท้าของเขาก้าวเข้าหานางช้าๆ โดยไม่ได้จดจ้องว่าเรือนร่างของนางอยู่ในสภาพใด
"..ข้า" ฉวนหงถึงกับละล่ำละลัก ด้วยสายตาที่ทั้งเย็นชาและนิ่งสงบ นางจึงเผลอก้าวถอยหลังทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้
เพราะกดพลังเอาไว้ เลยไม่ได้รับรู้ว่าด้านหลังของตนเองอีกไม่กี่ก้าวก็จะพลาดพลั้งลงไปในน้ำอีกครั้ง ในจังหวะที่คิดว่าตนต้องเปียกซ้ำและอนาถต่อหน้าเขาอีกแน่ "จะหนีไปไหน?"
ชายหนุ่มกลับวาดแขนและรั้งเอวของนางเอาไว้ เพียงแค่การรั้งเบาๆ สองร่างจึงแนบชิดกันจนไม่เหลือช่องว่าง ฉวนหงที่จู่ๆ ก็ถูกกอดเอวไว้เช่นนี้ ถึงกับจับจ้องดวงหน้าหล่อเหลาด้วยอาการเคลิบเคลิ้ม
จู่ๆ ด้านหลังของทั้งสองก็มีเสียงใครบางคน
"อะ แฮ่ม พวกเจ้าทำอะไรกัน?"
เริ่นซือเหิงไม่แสดงท่าทีอันใด แต่กลับปลดผ้าคลุมของตนเองแล้วคลุมร่างของสตรีผู้นี้เอาไว้ ฉวนหงที่คิดว่าเขาจะไม่สนใจ เห็นเช่นนี้จึงจับจ้องการกระทำอ่อนโยนของเขาแล้วอมยิ้มผู้เดียว
นั่นเพราะทันทีที่ปลดผ้าคลุมให้ผู้อื่น ชายหนุ่มกลับผลักให้นางยืนห่างจากริมตลิ่งอีกหน่อย หันไปแล้วเอ่ยกับผู้ที่ส่งเสียงถาม ยังเจอสายตาจับจ้องราวกับพบเจอเรื่องสนุก
"เจ้าต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ที่แห่งนี้ก็มีผู้อื่นบุกรุกเข้ามาไม่ใช่หรือซางเถียน?"
คนถูกถามถึงกับชะโงกดูผู้บุกรุกที่ว่า..