รูปร่างบอบบางแต่สูง ทรวดทรงต่างๆ ยังงดงามอ่อนช้อย ดวงหน้าอ่อนหวานแต่นัยน์ตากระจ่างใส อีกทั้งลับหลังเริ่นซือเหิง กลับเผยรอยยิ้มด้วยการยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ดูยังไงก็คุ้น..
ซางเถียนในชุดสีแบบเดียวกันกับเริ่นซือเหิง ถึงกับดันสหายออกให้พ้นเพื่อจับจ้องนางอย่างชัดๆ กระทั่งดวงหน้าคมคายเข้าใกล้จนห่างกันเพียงสองคืบเท่านั้น พลันร่องรอยบางอย่างได้ปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้วของนาง
เพียงร่องรอยดอกไม้สามกลีบปรากฏขึ้น ซางเถียนถึงกับเข่าอ่อน แต่เมื่อสบตากับสตรีเบื้องหน้าที่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จึงได้หันไปหาสหายด้วยท่าทางที่ดูอย่างไรก็ผิดปรกติ
อธิบายว่า "นี่ เป็นศิษย์ใหม่"
"ตำหนักไหน?"
ยังคิดไม่ออก..
ซางเถียนพยายามยืนด้วยท่าทีสง่างาม ไขว้มือหนึ่งเอาไว้ด้านหลังต่อหน้าสหาย แต่กลางฝ่ามือกลับถูกนิ้วเล็กเขียนเอาไว้ด้วยประโยคหนึ่ง
‘ตอบไม่ดี เจ้าจะโดนดีไม่ใช่น้อย’
ชายหนุ่มพยายามแสดงออกด้วยความสงบ ทั้งที่กลางหลังหลั่งเหงื่อเย็น "ข้ากำลังทบทวนความสามารถของนางอยู่ ยังไม่รู้ว่าตำหนักไหนเหมาะที่จะสั่งสอน"
เริ่นซือเหิงเห็นว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ จึงไม่ได้สนใจถามอะไรอีก เอ่ยว่า "ที่นี่อย่างไรก็เป็นเขตหวงห้าม เจ้าพานางออกไปเถิด"
ประโยคนี้ดั่งเสียงสวรรค์ก็ไม่ปาน จึงได้หันไปด้านหลังเพื่อต้องการกล่าวบางอย่าง แต่ร่างบอบบางที่มีผ้าคลุมขนจิ้งจอกขาวของซือเหิง กลับเดินออกมาแล้วจับจ้องด้วยสีหน้าสำนึกผิด
"ข้าซือหงยี่ต้องขออภัยที่เข้ามาเขตหวงห้ามเช่นนี้ ครั้งต่อไปจะระวังเจ้าค่ะ" นางผสานมือพร้อมกับย่อกายครั้งหนึ่งอย่างนอบน้อม
ซางเถียนถึงกับมุมปากกระตุก แต่เพราะความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง จึงได้ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวและตามสถานการณ์ไปเช่นนั้น
เริ่นซือเหิงส่งเสียงตอบราวกับไม่ถือสา "ต่อไปก็ระวัง"
"เจ้าค่ะ"
ซางเถียนรีบทำให้ตนเองออกไปจากสถานการณ์ประหลาด รีบกล่าว "เช่นนั้นจะพานางไปที่ตำหนักของข้าก่อน เจ้าเองก็อย่าเคร่งเครียดเกินไป"
"ได้"
ซางเถียนเอ่ยชวนสตรีที่พึ่งแนะนำว่าชื่อซือหงยี่ "ไปกันเถิด ข้าจะได้สอบถามว่าเจ้ามีคุณสมบัติว่าเหมาะที่จะเข้าเรียนตำหนักใด"
เริ่นซือเหิงมองตามสองร่างที่ตามกันออกไปจากเขตหวงห้ามแห่งนี้ แต่เพราะตนเองมีสิ่งต้องทำไม่อาจชักช้า จึงได้เคลื่อนร่างไปยังโขดหินเดิมแล้วนั่งลงไปอีกครั้ง
เงยหน้ามองขึ้นไปจนคอตั้งบ่า ก็เห็นเพียงท้องฟ้า..
ซือหงยี่
หลังจากที่แอบตรวจสอบ ก็เห็นว่าเป็นเพียงสตรีขั้นพลังฝึกตนต่ำมากผู้หนึ่ง แท้จริงความสามารถเท่านี้ ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์ในเขตชั้นในสั่งสอนด้วยซ้ำ เพราะเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์นัก ให้อาจารย์เขตชั้นนอกสั่งสอนก็พอ
แต่นี่ซางเถียนที่เป็นถึงเจ้าสำนัก กลับแสดงออกว่าสตรีนางนี้สำคัญนัก หรือว่ามีบางอย่างที่เขาไม่รู้?
ถึงความสามารถต่ำต้อย แต่มีหน้าตางดงามและกิริยาพอใช้ได้ กลับปล่อยผ่านเรื่องที่นางมาปรากฏอยู่ที่นี่โดยไม่กล่าวบทลงโทษออกมาแม้แต่น้อย
ดูเหมือนสหายผู้นี้ของเขา คงเกิดวาสนาดอกท้อขึ้นมาแล้วกระมัง ไม่อย่างนั้นจะใช้เหตุผลใดในการอธิบายได้อีก
เริ่นซือเหิงพยายามสลัดภาพงดงามตราตรึง ที่ปรากฏขึ้นหลังจากที่ตนเองโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำให้ลบทิ้งไป ตั้งใจรวบรวมไอทิพย์โดยรอบเพื่อกดบางอย่างในร่างเอาไว้
"เกิดอะไรกับข้ากันแน่ เหตุใดไม่มีสมาธิเช่นนี้?"
ทางด้านสองคนที่เดินตามกันมาจนถึงตำหนักหยกนภา กลับเดินผ่านบรรดาศิษย์เอกทั้งหลายด้วยท่าทีนิ่งสงบ ถึงแม้จะมีหลายคนชี้ชวนและสอบถามว่าด้านหลังของเจ้าสำนักคือใคร แต่กลับไม่มีคนรู้ที่มาแม้แต่คนเดียว
บางคนที่ใจกล้าหน่อยถึงกับแอบตรวจสอบขั้นฝึกตนของนาง เพียงแค่ระดับเริ่มต้นที่ไร้ความหนาแน่น
ความสามารถเท่ากับศิษย์ชั้นนอกเช่นนี้ เหตุใดจึงสามารถติดตามท่านเจ้าสำนักเข้าไปยังตำหนักหยกนภาได้ ที่นี่ถึงไม่มีลูกศิษย์สักคน แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
ทางด้านผู้ที่ใครต่อใครก็ส่งเสียงดูถูกตามหลัง เมื่อซางเถียนก้าวเดินเข้าไปในอาณาเขตของตำหนัก นางจึงได้เดินติดตามเขาต่อหน้าสายตาที่ลุ้นระทึกทั้งหลาย
เพราะที่นี่มีม่านกั้น ผู้ที่อาณาเขตไม่ยอมรับจะสะท้อนร่างคนผู้นั้นออกไป ไม่ต่างจากการไม่ต้อนรับอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าสตรีที่มาพร้อมท่านเจ้าสำนักก้าวผ่านเข้าไปได้โดยไม่เกิดแรงสะท้อน ถึงกับมองภาพนั้นด้วยแววแตกตื่น
เป็นไปได้อย่างไร?
ทันทีที่หลุดพ้นจากสายตาผู้อื่น ด้วยการปกปิดของม่านกั้นอาณาเขต ซางเถียนพลันยกมือขึ้นมาผสานแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม "ศิษย์คารวะอาจารย์"
ฉวนหงยกยิ้มพยักหน้ารับครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ย
"ที่นี่ ดูเปลี่ยนไปมากนัก"
"มีหลายอย่างขอรับ เชิญท่านอาจารย์ที่ห้องโถงเป็นอย่างไร ศิษย์พึ่งได้ชาดีมา จิบไปฟังไปน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เลวทีเดียว"
รอไม่นานซางเถียนก็จัดชุดชาและยกมาด้วยตนเอง มองเขาเทชาออกจากป้าน แล้ววางเอาไว้ยังโต๊ะเล็กด้านข้างด้วยสีหน้านิ่งสงบ ยกชาขึ้นเป่าให้คลายความร้อน จากนั้นจิบคำเล็กๆ คำหนึ่งด้วยความคิดถึง
ผ่านไปห้าร้อยปีครั้งนี้ ช่างคล้ายกับฝันตื่นหนึ่งของนางยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าอาจารย์รอฟัง ซางเถียนจึงเริ่มเล่าตั้งแต่สงครามสิ้นสุดเพราะความเสียสละของอาจารย์
มารร้ายถูกขับไล่กลับไปยังอาณาเขต และยังมีมารบางส่วนที่อยากจะอยู่อย่างสันติ จึงได้เริ่มทำสัญญาครั้งใหม่ขึ้นอีกครั้ง ความแตกต่างครั้งนี้เป็นเขาที่คิดการรอบคอบ นอกจากทำสัญญาเลือดที่ไม่มีทางบิดพลิ้วแล้ว ยังได้เริ่มการแลกเปลี่ยนซึ่งผลประโยชน์กัน จนบัดนี้ไม่สามารถแยกแยะกันออกเพียงแค่การฉีกสัญญาทิ้งได้อีกต่อไป
ทั้งการค้า และการร่วมมือกันหลายด้าน
ยังมีการไปมาหาสู่ต่อกันอย่างเมืองพี่เมืองน้อง ดังนั้นจึงเกิดสายเลือดครึ่งมนุษย์มากกว่าห้ารุ่นแล้ว
ได้ยินมาถึงตอนนี้ ทางฉวนหงก็คิดว่าการลงมือของตนเองไม่เสียเปล่า ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องสงสัย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คนที่ข้าเจอบนเขตหวงห้ามคือใคร?"
"ชื่อว่าเริ่นซือเหิง เป็นสหายข้าขอรับ"
"เท่านั้นรึ?"
"เขาจำเป็นต้องใช้ปราณทิพย์จากเขตหวงห้าม เพื่อกดสายเลือดที่เป็นปฏิปักษ์ไม่ให้เกิดการปะทะกัน ข้าก็เลย.."
ถามราวกับเป็นเรื่องทั่วไป "ร้ายแรงหรือไม่?"
"ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้พลังต่อสู้รุนแรง ปราณทิพย์ที่ใช้สะกดข่มเอาไว้ เห็นทีจะไร้ผลแล้วขอรับ" ตอบเสร็จชายหนุ่มจึงยกของตนเองขึ้นจิบบ้าง
แต่ประโยคต่อมานี่สิ..
"ส่งข้าเข้าตำหนักเขา"
"แคกๆ" ชาที่จิบไปพุ่งกระฉูดออกจากปาก ซางเถียนถึงกับเหลือบมองอาจารย์ของตนราวกับพบเจอเรื่องประหลาด "อาจารย์ ท่านไว้ชีวิตสหายข้าเถิดขอรับ อย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ที่ดีและเก่งมากผู้หนึ่ง"
"เจ้าเห็นข้าร้ายกาจถึงเพียงนั้น?"
"..ก็ จู่ๆ ก็ให้ส่งท่านไปตำหนักเจ้าซือเหิง"
ฉวนหงวางชาลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยท่าทางน่าเชื่อถือ "เผื่อว่าข้าจะหาทางช่วยได้ เจ้าบอกว่าเขาเป็นอาจารย์ที่ดีนี่?"
"ได้ขอรับ" รับคำด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่นี่เกี่ยวกับความเป็นความตายของสหาย จึงปล่อยผ่านไปก่อน..