“ตายละหว่า…เราลืมถามว่าเขาชอบกาแฟรสชาติแบบไหน?” ญานินมองถ้วยกาแฟด้วยท่าทีครุ่นคิด “เอาน่า พ่อลูกก็คงกินรสเดียวกันแหละ” หญิงสาวเองไม่ดื่มกาแฟ แต่จำได้ว่าประธานคนพ่อกินกาแฟดำใส่เกลือนิดๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ พอชงกาแฟญานินก็ถือถ้วยกาแฟเข้าไปในห้องทำงาน
“นี่ค่ะกาแฟเจ้านาย…” ญานินยื่นถ้วยกาแฟให้ภูชิตด้วยใบหน้าเจื่อนๆ
ด้านคนท่ามากครางรับในลำคอ ทว่าสายตากลับยังคงจับจ้องที่หน้าจอแท็บเล็ตในมือ เมื่อหญิงสาววางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะแล้วกำลังจะเดินกลับไปทำงาน น้ำเสียงเข้มกลับเรียกเอาไว้ก่อน “สิบโมงจะมีประชุมด่วนที่ห้องประชุมใหญ่ คุณพ่อจะมาประชุมด้วย”
“ได้ค่ะ” เลขาฯ สาวยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดูเวลา เธอตอบรับสั้นๆ แล้วเดินออกจากห้องไป ภูชิตเห็นท่าเดินแปลกๆ ก็ของอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อถึงเวลาคชาก็มาถึงที่ทำงาน ญานินเห็นคนที่เดินออกมาจากลิฟต์เป็นท่านประธาน ใบหน้าสวยก็รีบยิ้มอย่างดีใจ เธอรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปหาคชาทันที และด้วยความดีใจนั่นเองทำให้หญิงสาวลืมไปว่าตัวเองเจ็บข้อเท้าอยู่ เล่นเอาเจ้าของร่างบางถึงกับเดินซวนเซจนแทบจะล้มลงกับพื้น
“ว๊าย!!!”
“หนูนิน เป็นอะไรไปรึ?” คชารีบเข้าไปประคองเจ้าของร่างบางอย่างตกใจ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องทำงานพลันเปิดออกมาเช่นกัน ภูชิตเห็นใบหน้าของบิดาที่กำลังประคองเลขาฯ อยู่ จู่ๆ ใบหน้าคมเข้มก็พลันเครียดเกร็งขึ้นมาทันที
“เอ่อ…นินข้อเท้าแพลงค่ะ ท่านก็เลยช่วยพยุงไม่ให้เสียหลัก” ญานินรีบตอบพลางยืดตัวขึ้นตรง คชามองอย่างเป็นห่วงก่อนจะปล่อยมือออกจากเจ้าของร่างบาง
“เจ็บป่วยทำไมไม่ลาพักล่ะ” คชาเอ่ยถาม
“คือ…” ญานินกำลังจะเอ่ย
“พ่อครับ” ก่อนที่หญิงสาวจะตอบออกไป ภูชิตก็รีบพูดขึ้นแทรกพร้อมกับเดินมาหาบิดา ทำให้ญานินรีบขยับไปหยิบสมุดโน้ตเพื่อเตรียมตัวที่จะจดรายงานการประชุม
“ไปเถอะครับ ใกล้ได้เวลาประชุมแล้ว…”
“นี่แกจะไม่ให้คนแก่อย่างพ่อกินกาแฟสักถ้วยหน่อยเลยรึไง?”
“ผู้หญิงชอบคนแก่แบบนี้แหละครับ พ่อไม่ต้องกังวลหรอกนะครับ” จู่ๆ ภูชิตก็เอ่ยเสียงดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเพื่อที่จะให้ญานินได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะสื่อ
“เออ วันนี้ฝนท่าจะตกแน่ๆ” นายคชาหัวเราะร่วนขณะเดินเข้าไปในลิฟต์ ด้านญานินเองพยายามเลี่ยงที่จะไปใช้ลิฟต์อีกตัว ทว่าคชากลับเรียกให้หญิงสาวเข้าไปด้วยกัน
“หนูนิน มาด้วยกันนี่แหละ”
“เอ่อ…จะดีเหรอคะท่าน” หญิงสาวเหลือบมองเจ้านายหนุ่มที่จ้องใบหน้าเธอนิ่งจนคนถูกมองแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง
“อย่าเรื่องมาก รีบเข้ามา” ภูชิตบอกน้ำเสียงห้วนๆ ขณะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา
“ค่ะ” ญานินจำใจต้องเดินกอดสมุดโน้ตของเธอเข้าไปในลิฟต์
เพียงไม่นานทั้งสามก็มาถึงห้องประชุม และในเวลาเดียวกันผู้เข้าร่วมประชุมเกือบสามสิบชีวิตก็รีบลุกขึ้นยืน ภูชิตกับบิดาเดินผ่านทุกคนไปที่โต๊ะ ญานินแยกไปนั่งด้านหลังเพื่อจดบันทึกการประชุม
“เชิญนั่ง เชิญนั่ง…” คชาผายมือเชื้อเชิญทุกคนนั่ง ก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะโดยมีบุตรชายนั่งอยู่ด้านซ้ายมือ “ที่ผมเรียกประชุมด่วนวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจะบอก คือผมจะถ่ายโอนงานให้กับภูชิตอย่างเป็นทางการ ส่วนผมจะย้ายไปนั่งเป็นที่ปรึกษาแทน” พอคชาพูดจบก็หันไปมองบุตรชาย ร่างสูงสง่ารีบลุกขึ้นยืนแล้วก้มศีรษะให้กับทุกคน เรียกเสียงปรบมือดังขึ้นทันที
“สวัสดีครับทุกท่าน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บริหาร แต่ผมยืนยันว่าสิ่งที่พ่อทำไว้ดีอยู่แล้ว ผมสัญญาจะรักษามาตรฐานของคุณพ่อไว้คงเดิม และส่วนไหนที่ต้องการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน เราก็จะปรับเปลี่ยนไปพร้อมๆ กันนะครับ ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเคารพสิทธิ์ของทุกๆ คน เรียกเสียงปรบมือดังขึ้นนานกว่าครั้งแรก ด้านญานินเองก็แอบทึ่งนิดๆ ที่เจ้านายจอมเนี๊ยบคนนี้บทจะพูดจาเป็นงานเป็นการ เขาก็พูดให้คนอื่นเชื่อใจได้ตั้งแต่วันแรก
“ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอกได้เลยนะครับคุณภู พวกเราพร้อมจะปรับเปลี่ยนแผนงานให้ตรงไปตามกับความต้องการของคุณเสมอ…” รองประธานบริหารที่เป็นที่เคารพของพนักงานเอ่ยกับชายหนุ่ม ส่วนคนอื่นๆ ก็พยักหน้ารับอย่างยินดี ทำให้ภูชิตคลี่ยิ้มจางๆ พลางพยักหน้ารับ
“ขอบคุณครับ ผมต้องขอบคุณทุกคน เรามาเริ่มประชุมกันต่อเลยนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณจากใจจริง จากนั้นการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น ระหว่างการประชุมทำให้ญานินเพิ่งจะรู้ว่าเจ้านายคนใหม่ฉลาดพูดและโต้ตอบด้วยไหวพริบพอๆ กับผู้เป็นบิดา การประชุมดำเนินไปกว่าสามชั่วโมงก็จบลง หลายคนพากันทยอยออกจากห้องไปจนในห้องเหลือเพียงภูชิต คชา และญานิน
“พ่อกลับก่อนนะ พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ” คชามองบุตรชายกับเลขาฯ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ด้านญานินเองก็รู้สึกโหวงๆ อยู่ในใจไม่น้อย เพราะที่พึ่งสุดท้ายของเธออย่างคชาได้ย้ายสายงานขึ้นไปนั่งเป็นที่ปรึกษาซะแล้ว
“ทำท่ายังกับคนโดนหักอกไปได้” ชายหนุ่มรีบแดกดันเมื่อเห็นญานินมองตามบิดาของตนตาละห้อย เล่นเอาคนถูกว่าต้องรีบหันมามองอีกฝ่ายตาขุ่น ซึ่งพอดีกับที่ร่างสูงรีบเดินเฉียดไปยังประตู เล่นเอาญานินต้องรีบหลีกทางให้เขา และในเวลาเดียวกันนั่นเองที่หญิงสาวเผลอลงน้ำหนักตัวไปที่ข้อเท้าของตัวเอง เรียกความเจ็บปวดให้เธอไม่น้อย