ป่านนี้ยัยนั่นคงนั่งหัวเราะเราอยู่แน่ๆ ให้ตายสิ!
พอภูชิตมาถึงบ้านก็เห็นบิดานั่งรออยู่ที่ห้องโถง ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าบิดา ส่วนคชาก็สบกับดวงตาคมที่กำลังไหวระริกก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ หากภูชิตยืนใกล้กว่านี้คงจะได้เห็นหยดน้ำใสๆ คลออยู่ในดวงตาของบิดาบังเกิดเกล้าแน่ๆ มันเป็นน้ำตาของความยินดีที่เห็นบุตรชายเพียงคนเดียวกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวร
“ผมคิดถึงพ่อนะครับ” ภูชิตเข้าไปกราบที่อกบิดาก่อนจะสวมกอดอย่างคิดถึง เล่นเอานายคชาหัวเราะร่วนพลางกอดตอบพร้อมกับตบหลังหนาเบาๆ
“พ่อก็คิดถึงภูเช่นกันนะ” นายคชาจับบุตรชายออกห่างเพื่อจะมองให้เต็มตา “ไปทำงานเจอหนูนินแล้วเป็นไงบ้าง?” สรรพนามที่บิดาใช้เรียกเลขาฯ สาวทำให้ภูชิตรู้สึกถึงความพิเศษในน้ำเสียงนั้น
“ก็ดีครับ ถ้าผมจะเปลี่ยนแปลงบางอย่าง พ่อคงไม่ว่าอะไรนะครับ” ภูชิตจ้องมองบิดานิ่ง
“ตามสบายเลยลูก เพราะพ่อให้สิทธิ์บริหารแกเต็มที่ พ่อเชื่อว่าสิ่งที่แกทำคือสิ่งที่ดีที่สุด” นายคชาตบบ่ากว้างขณะมองบุตรชายด้วยความภูมิใจ
“ถ้าผมจะขอเปลี่ยนเลขาฯ ล่ะครับ พ่อจะว่าอะไรมั้ย?” ภูชิตเอ่ยถามพลางสังเกตท่าทีของบิดา แต่นายคชากลับนิ่งคิดนิดหนึ่งพลางยิ้มให้บุตรชาย
“ยายหนูนินเป็นเลขาฯ ที่ดีมาก ทั้งฉลาดและเก่ง พ่ออยากให้ภูลองทำงานกับหนูนินไปก่อน ถ้าไม่ถูกใจจะเปลี่ยนพ่อก็ไม่ว่าอะไร…” คชาเอ่ยยิ้มๆ ขณะมองบุตรชายอย่างมีเลศนัย
“ได้ครับ ผมจะลองดู”
“พรุ่งนี้พ่อจะเรียกประชุมผู้บริหารเพื่อแนะนำลูกอย่างเป็นทางการนะ พอมอบหมายงานให้แกเสร็จพ่อจะได้พักซะที” นายคชาบอกด้วยน้ำเสียงสดชื่น ภูชิตมองบิดาอย่างเทิดทูน เขารู้มาโดยตลอดว่าบิดาทำงานหนักเพื่อครอบครัวมาโดยตลอด และไม่เคยสนใจมองผู้หญิงคนไหนๆ ทั้งๆ ที่มารดาของเขาจากไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ในใจลึกๆ ของเขากลับรู้สึกว่าบิดาดูเอ็นดูเลขาฯ ส่วนตัวคนนี้เป็นพิเศษ
“ผมไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ”
“อืม พ่อก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน ว่าแต่แกจะไม่ให้พ่อเลี้ยงต้อนรับแกแน่เหรอ?” คนเป็นพ่อเอ่ยถามขณะเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง
“อย่าเลยครับ ผมไปกลับเมืองไทยเดือนเว้นเดือนจนรู้สึกว่าไม่ได้ห่างพ่อเลย”
“ตามใจแกก็แล้วกัน” คชาตอบบุตรชายเสร็จก็แยกไปที่ห้องนอน ด้านภูชิตเองก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง เมื่อได้อยู่คนเดียวชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ออกมาตั้งใจจะโทรหาญานิน ทว่าดันลืมไปว่าไม่มีเบอร์ของหญิงสาว ครั้นจะไปขอเบอร์กับบิดาก็หาใช่ที ภูชิตจึงวางโทรศัพท์ไว้บนที่นอนแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำแทน
ภูชิตใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าทุกวันเพื่อผ่อนคลายสมองและร่างกาย ร่างสูงเดินไปเปิดไฟผ่านรีโมตให้เหลือเพียงไฟที่หัวเตียงไว้ ก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนมองเพดาน เวลาที่ต้องนอนคนเดียวชายหนุ่มรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก เพราะที่ผ่านมาทุกวันเขาจะมีสาวๆ นอนเคียงข้างเสมอ ทั้งตอนเรียนและบินไปกลับเมืองไทยเพื่อฝึกงานกับบิดา ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดูหนักหนาพอควร ภูชิตจึงต้องหาวิธีผ่อนคลายตามแบบฉบับของผู้ชายทั่วไป เครื่องดื่มดีกรีแรงๆ กับเกมรักที่เร่าร้อนจึงถูกจัดอยู่ในตารางกิจกรรมผ่อนคลายของเขา ทว่าหลังจากที่เขาต้องเข้ารับงานเต็มตัว กิจกรรมหลายอย่างอาจจะหายไปเพื่อที่จะให้บิดาได้พักผ่อนสักที
เมื่อคิดถึงเรื่องงาน ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าของเลขาฯ จอมเปิ่นก็พลันลอยเข้ามาในหัว อกนุ่มๆ หยุ่นๆ ที่กระแทกลงบนร่างพร้อมกับกลิ่นกายอันหอมกรุ่นเล่นเอาร่างกายของภูชิตถึงกับตื่นขึ้นด้วยความปรารถนาทันที
นี่เราเป็นบ้าอะไร! ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลยนี่…
เมื่อชายหนุ่มนึกถึงกิจกรรมเร่าร้อนทางความสัมพันธ์ทางกายที่ผ่านมา มันเป็นเพียงเกมความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็จบไป ไม่เคยมีใครเลยที่จะทำให้เขาคิดถึงหรือติดตรึงอยู่ในใจได้นานเลยสักกะคนเดียว ทว่าตอนนี้กลับมีภาพใบหน้าหวานๆ ดวงตากลมโตของใครบางคนพลันผุดขึ้นมาในหัวของเขา ความรู้สึกยามสัมผัสเนื้อกายก็ทำเอาร่างกายเต้นเร่าๆ กระหายอยากจะสัมผัสให้มากกว่าเดิม
“ยายเปิ่นเอ๊ย!” เขาสบถเพื่อไล่ภาพของหญิงสาวออกจากหัว ก่อนจะปิดไฟที่หัวเตียงแล้วหลับตาลงช้าๆ ทว่ากลิ่นหอมยวนใจของเลขาฯ สาวยังคงแทรกผ่านลมหายใจเข้าไปในกายแกร่ง ยิ่งปลุกเร้าประสาทที่ไวต่อความรู้สึกชองภูชิตให้ตื่นตัวสุดจะห้ามใจ แต่เพียงไม่นานชายหนุ่มก็เข้าสู่ห้วงนิทราด้วยใบหน้าเปี่ยมยิ้ม
เช้าของวันทำงาน ญานินมองเท้าของตัวเองที่บวมหน่อยๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางคิดไปถึงเจ้านายคนใหม่ที่พอเจอหน้ากันทีไรก็ได้แผลขึ้นมาทันที
“เฮ้อ! เรานี่ดวงไม่สมพงษ์กันเลยนะตาขี้เก๊กเอ๊ย!” ญานินเอ่ยออกมาขณะก้มลงลูบข้อเท้าที่เจ็บบวมจากเมื่อวาน ทว่าตอนนี้เจ้าของร่างบางไม่ทันได้เห็นร่างสูงสง่าของเจ้านายหนุ่มที่มายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเธอเสียแล้ว
“ขอกาแฟแก้วหนึ่งสิ” น้ำเสียงเข้มๆ เอ่ยขึ้นมาทันที เล่นเอาคนที่กำลังก้มดูข้อเท้าของตัวเองถึงกับร่างกายแข็งทื่อ
“อุ้ยเจ้านาย ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันได้มองคุณ…” และในขณะนั้นญานินก็พลันตกใจจนเผลอลืมตัวลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ ทว่าหญิงสาวกลับลืมตัวไปว่าตัวเองเจ็บข้อเท้าอยู่ เธอเผลอลงน้ำหนักไปที่ข้อเท้าของตนเอง เล่นเอาใบหน้าสวยหวานต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด มือเล็กจับขอบโต๊ะเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียอาการต่อหน้าเจ้านายจอมขี้เก๊กของเธอ
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” ภูชิตเอ่ยถามใบหน้านิ่งๆ ทว่าในใจกลับรู้สึกสงสารเลขาฯ จอมเปิ่นขึ้นมานิดๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ” ญานินรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
“…” เมื่อเห็นว่าเธอปากแข็ง ภูชิตก็เดินหน้าเย็นชาเข้าไปในห้องทำงาน ส่วนญานินถึงกับเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจ ก่อนจะเดินไปชงกาแฟให้เจ้านายจอมเยอะ