บทที่ 3 รู้สึกเหมือนเราคุ้นเคย
“อื้อ!” สติทั้งหมดทั้งปวงถูกดึงกลับมาเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดูดบริเวณผิวคอ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นอย่างนั้นเพราะตอนนี้ปากหยักได้ทำการขบเม้มซุกไซ้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าอีกคนจะสติหลุดไปแล้วด้วย
ตุ๊บ!
“คุณปรานต์!”
เพียงเท่านั้นคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจฝังหน้าก็หยุดชะงักทันใด เขารีบเงยหน้าขึ้นมองฉันพลางยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างที่เพิ่งโดนกำปั้นเล็ก ๆ ทุบลงเมื่อครู่อย่างแตกตื่น
“วีทุบผม”
“ใช่ค่ะ” เอ่ยบอกเสียงเข้มเพราะทำจริง ๆ ความรู้สึกวาบหวามไม่มีเหลือแล้ว “ฉันไม่ให้มากกว่าจูบนะ ห้ามเด็ดขาด!”
มันจริงที่ในอดีตฉันเอ่ยร้องอ้อนวอนขอให้คุณปรานต์รุกรานตัวเอง และปากที่กำลังวนเวียนกับเนื้อตัวของฉันในขณะนี้ก็ได้ลิ้มลองจุดลับที่ไม่เคยมีใครสัมผัสมาแล้ว อย่างที่รู้ว่าตอนนั้นฉันรู้สึกท้อแท้บวกกับอารมณ์อ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานต่าง ๆ นานา ความรู้สึกมันแค่อยากหาอะไรระบายจึงเลือกทำเรื่องหน้าไม่อายลงไป
แต่พอหลังจากที่ฉันลองคิดและมีสติเต็มร้อย ก็แทบจะเอาหมอนอุดหน้าให้ตัวเองตาย ๆ ไปซะที่กระทำตัวอย่างน่าอาย อีกทั้งผู้ชายคนที่ฉันยั่วยวนยังเป็นเพื่อนของคุณน่านฟ้าสามีของเพื่อนรักอย่างภีรดา ความรู้สึกในนาทีนั้นจะเอาความกล้าที่ไหนไปสู้หน้าเขาหากได้เจอกันอีกครั้ง
คุณปรานต์ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เขาเป็นคนแปลกหน้าที่ฉันอาจได้เจอบ่อย ๆ ในอนาคต รู้เช่นนั้นจึงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องแทบไม่ออกไปไหน ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะกลัวว่าจะได้เจอกับเขาพลันจะทำหน้าไม่ถูกเอา แต่ยังดีที่อีกฝ่ายไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลย และฉันก็อายเกินกว่าจะอยู่ก็เลยเก็บของกลับกรุงเทพฯ ประจวบเหมาะกับทางบ้านโทรมาพอดีว่าต้องเลื่อนงานแต่งงานเข้ามาอีก บอกให้ฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวจึงรีบเผ่นกลับไม่คิดอะไรทั้งนั้น
และเพียงไม่กี่อาทิตย์ต่อมาว่าที่เจ้าบ่าวก็มาปรากฏให้เห็นต่อหน้า เขาแนะนำตัวว่าชื่อ ‘ปรานต์’ แต่สายตาไม่สื่ออะไรออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย พร้อมเอ่ยบอกในเรื่องที่น่าตะลึงคือเขาความจำเสื่อม…
และนั่นคือเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่ฉันกับเขาจะได้แต่งงานกัน
แม้ว่าเราจะเคยสีกันแล้วอย่างที่บอก และฉันเป็นฝ่ายรุกเร้าเขาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้จะพร้อมที่จะทำเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง อย่างที่รู้ว่าเราแต่งงานแล้ว ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ได้ลึกซึ้งไม่นานก็จากไป ต่างจากตอนนี้ที่ฉันต้องอยู่กับคุณปรานต์ทุกวันคืน มันคงไม่จบแค่หนึ่งครั้งฉันจึงอยากได้เวลาทำใจ
“ผมก็ไม่ได้จะทำมากกว่าจูบ” เสียงเถียงเหมือนเด็กดึงสายตาให้หันไปมองคนเป็นสามีเหมือนเดิม
“แล้วเมื่อกี้คุณไม่ทำมากกว่าจูบเหรอคะ”
“จูบอยู่” สีหน้าของคุณปรานต์สื่อถึงความมั่นคงต่อคำพูดของตัวเอง “ผมกำลังจูบคอคุณ”
“…”
“ปากแตะลงกับผิวเนื้อก็คือจูบไม่ใช่เหรอ”
ให้ตาย… จะมีใครพูดเรื่องแบบนี้แล้วตีหน้าซื่อตาใสเหมือนกับผู้ชายคนนี้อีกบ้าง คิดว่าในโลกนี้คงไม่มีแล้ว
“นั่นแหละค่ะ ฉันไม่อนุญาตให้คุณจูบเนื้อตัวของฉัน” ส่งความจริงจังออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น “เราคุ้นชินกันเมื่อไหร่ค่อยว่าอีกที ตอนนี้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวฉันเด็ดขาด”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่ฉันเอ่ยจบ หัวคิ้วเข้ม ๆ ขมวดเข้าหากันเป็นปมเหมือนกำลังคิดเรื่องธุรกิจพันล้าน แต่เพียงไม่นานก็พยักหน้ารับแล้วระบายยิ้มออกมาน้อย ๆ
“ไม่เป็นไร อย่างน้อย ๆ คุณก็ไม่ได้ห้ามผมจูบปากคุณ”
“…”
“ได้จูบปากเมียก่อนนอนทุกวันก็ยังดี”
เช้าวันต่อมา
ด้วยความที่เพิ่งเคยมีสามีและอยู่ด้วยกันเป็นครั้งแรก จึงไม่รู้ว่าในแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้าง ตอนนี้ทำได้เพียงนั่งจ๋องอยู่บนที่นอนดูคุณปรานต์เดินไปเดินมา ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนที่เขาเคยทำเฉกเช่นทุกวัน
“วี” เพียงไม่นานเสียงทุ้มพลันเอ่ยดังให้ได้ยิน “มาใส่เนกไทให้หน่อย”
“คุณทำเองไม่ได้เหรอ”
“ทำได้แต่อยากให้เมียทำให้” น้ำเสียงของเขาสื่อถึงความใสซื่อออกมาให้ได้ยินเหมือนเมื่อคืน กำลังกลับไปทำตัวเป็นเด็กทั้ง ๆ ที่อายุก็ปาไปสามสิบสามแล้ว
น่าหมั่นไส้ซะจริง
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ลุกออกจากที่นอนตรงไปยังร่างหนาที่กำลังยืนเลือกเนกไทในชั้น และเมื่อเขาเลือกเสร็จก็ส่งยื่นมันมาให้ฉัน จึงรับไว้แล้วใส่ให้อีกคนอย่างเบามือ พยายามไม่สนใจต่อตาคมที่มองลงมาอย่างลึกซึ้งและพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้มือสั่น แต่ก็ยากเย็นซะเหลือเกิน
“หน้าวีแดงแต่เช้า”
“เป็นเรื่องปกติค่ะ” เอ่ยโกหกด้วยสีหน้าที่ไม่สื่ออะไรออกมาให้เขาเห็น
“ผมสัมผัสได้ว่ามือวีสั่น”
“ถ้าคุณยังพูดมากไม่เลิกจะไม่ทำให้แล้วนะคะ” คราวนี้ฉันไม่ได้หลีกหนีต่อคำกล่าวหาของอีกคน และเอ่ยเสียงเข้มส่งไปให้เขาได้ยินว่าจะทำจริงอย่างแน่นอน ซึ่งคงจะถูกใจคนเป็นสามีนั่นแหละ ถึงได้ยกคิ้วเข้ม ๆ ขึ้นพลางปากระบายยิ้มอารมณ์ดี
“ผมชอบเวลาที่วีทำหน้าดุ”
“…”
“วีเหมือนแม่เสือ” ปากหยักยังคงเอ่ยว่าต่อเมื่อฉันไม่ตอบโต้ “แบบนี้ผมจะโดนแม่เสือตะปบหรือเปล่า”
“ถ้าไม่อยากโดนก็อย่าพูดมากสิคะ” ฉันส่งยิ้มบางเบาไปให้เขา แต่ตาจิกประหนึ่งว่ากำลังข่มขู่อยู่ในที “แต่ถ้าทำตัวน่าหมั่นไส้ก็อาจจะโดนค่ะ”
“งั้นผมจะเป็นผัวที่ดี ไม่ขัดใจวีจะได้ไม่ต้องโดนตะปบ”
ว่าแล้วคนอารมณ์ดีแต่เช้าก็ขยับกายออกไป หยิบนาฬิกาเรือนหรูมาใส่ท่ามกลางความรู้สึกต่าง ๆ นานาที่มันอัดอยู่เต็มอกของฉัน ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะหันกลับมามองกันอีกครั้ง
“วีไปอาบน้ำแต่งตัวสิ วันนี้ผมจะพาเข้าไปที่แกลเลอรี”
“คุณไม่มีงานเหรอ”
“มีแต่ไปได้” เขาพยักหน้ารับ “ไหน ๆ วีก็ไม่ได้ออกไปไหน ออกไปกับผมสักวันก็แล้วกัน”
ที่คุณปรานต์พูดแบบนั้นอาจเป็นเพราะฉันไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งจึงมีเวลาว่างพอที่จะไปกับเขา เอาเข้าจริง ๆ ก็แอบอายเหมือนกันที่อายุขนาดนี้แล้วยังไม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันขอเงินครอบครัวใช้หรอก ก็พอมีรายได้เสริมจากการทำงานกิ๊ก ๆ ก๊อก ๆ แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย
แต่คิดว่าหลังจากนี้จะหางานทำอย่างจริงจังแล้ว เวลามีใครมาถามว่าภรรยาของคุณปรานต์ทำงานอะไรถึงจะกล้าพูดกล้าตอบได้เต็มปาก ฉันก็ไม่ได้อยากให้ใครมาว่าตัวเองขี้เกียจ มากกว่านั้นคนเป็นสามีอาจจะโดนนินทาไปด้วย
LAMAI GALLERRY
ใช้เวลาไม่นานเราต่างมาถึงแกลเลอรีของคุณปรานต์ ซึ่งมีชื่อภาษาไทยที่ว่า ละไม แกลเลอรี แกลเลอรีแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ขนาดกว้างพอที่จะบรรจุคนได้หลายร้อย หากให้เดาคนเข้าชมวันนึงต้องทะลุหลักพันแน่ ๆ เพราะไม่ได้มีแต่คนในประเทศเท่านั้นที่เข้ามาดู ชาวต่างชาติก็ให้ความสนใจไม่ต่างกันเลย
ที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะฉันเห็นน่ะนะ… ไม่ได้เดาเอาหรอก
“ขอถามได้ไหมคะ” เมื่อเดินพ้นประตูทางเข้าก็หันไปหน้าไปหาคนข้างกาย และเป็นข้างกายชนิดที่ว่าแขนแกร่งกำลังสอดโอบกอดรอบเอวฉันราวกับกำลังประกาศความเป็นเจ้าของทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้กันหมดแล้วว่าเราเป็นอะไรกัน
“ถามได้”
“ทำไมถึงตั้งชื่อแกลเลอรีว่าละไมเหรอคะ”
“ชื่อแม่ของผมเอง” คุณปรานต์ตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่สื่อความรู้สึกอะไรออกมา ไม่มีความใสซื่อเหมือนที่ชอบทำ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนมันแปลก ๆ อย่างไรชอบกล
“แม่ผมชื่อละไม”
“แล้ว…” จะว่าอย่างไรดีล่ะ คิดว่าหากเปิดปากถามมันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่า และดูเหมือนเขาจะรู้ถึงได้พูดต่อ
“นั่นแม่เลี้ยงของผม”
“…”
“ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของผมหรอก”
อ่า… เข้าใจแล้ว
เรื่องของเรื่องคือฉันคิดมาตลอดว่าคุณหญิงพิมพ์พาคือแม่ของคุณปรานต์ แต่แล้วไม่ใช่นี่เอง แม่ที่แท้จริงของเขาคือแม่ละไมคนนี้สินะ
“วีอยากเห็นแม่ผมไหม” คนข้างกายหันมาถามพร้อมพาเดินไปโซนหนึ่งของแกลเลอรีแต่เป็นโซนที่อยู่ลึกพอสมควร เมื่อเดินเข้ามาก็ต้องได้เห็นแสงไฟสีอ่อน ๆ ให้ความสบายตา พร้อมดอกไม้ประดับอยู่ตรงกลางโดยมีรูปผู้หญิงสะสวยคนหนึ่งโชว์เต็มผนังรอบห้อง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นรูปใครหากไม่ใช่แม่ของเขา
“คุณจ้างวาดเหรอคะ”
“อืม” คุณปรานต์พยักหน้ารับแล้วพาไปหยุดยังรูปหนึ่งซึ่งสวยพอสมควร แววตาของท่านสื่อถึงความมีความสุขแม้จะเป็นรูปวาดก็ตาม “ภาพนี้ผมสั่งให้วาดตามรูปถ่ายของแม่ที่มีอยู่รูปเดียว”
“…”
“ตอนนี้แม่ผมไม่อยู่แล้ว แต่อยากเห็นท่านในหลายมุมมองก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”
“เสียใจด้วยนะคะเรื่องแม่ของคุณ” ไม่รู้จะพูดคำใดนอกจากคำนี้ เขาคงจะคิดถึงแม่มากถึงได้มีรูปของท่านอยู่ในแกลเลอรีตัวเองหลายสิบรูป แต่ก็อย่างว่าใครบ้างจะไม่คิดถึงแม่ที่ลาจากไปแล้ว
“เราต่างสูญเสียเป็นเรื่องธรรมดา” เขาหันมายิ้มให้ฉัน “ป่านนี้แม่คงสบายแล้ว”
“คุณทำเอาไว้นานหรือยังคะ”
“รูปแม่น่ะเหรอ”
“ค่ะ”
“ทำไว้นานแล้ว ตั้งแต่ที่ผมเปิดแกลเลอรีแรก ๆ”
ฉันพยักหน้ารับทำความเข้าใจกับคำบอกกล่าวของคุณปรานต์ แต่เมื่อคิดอะไรได้ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที รับรู้ได้เลยว่าตอนนี้คิ้วกำลังขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
“ไหนคุณบอกว่าความจำเสื่อมไงคะ แล้วรู้ได้ไงว่าทำไว้นานแล้ว”
ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบหลังจากที่ฉันถามจบ คุณปรานต์ไม่ตอบแต่เลือกที่จะหันมายิ้มให้ฉันแทน และเป็นยิ้มที่ดูไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย
“ผมเสื่อมเป็นบางเรื่อง บางเรื่องก็ไม่เสื่อม”
“คุณหมายความว่าไงคะ” ถามพลางกลืนน้ำลายลงคอ สองตาที่กำลังมองเขาอยู่หลบหนีทันควันเพราะกลัวอีกฝ่ายล่วงรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ฉันปิดบังไว้ลึกสุดใจ
“หมายความตามที่พูด”
“…”
“เรื่องในอดีตผมไม่ได้ลืมมันหมดหรอก บางเรื่องก็ยังจำได้” เขาโน้มหน้าลงมาใกล้ฉันอีกนิด “แต่กับวี… บางครั้งก็สงสัยว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
“…”
“เพราะรู้สึกว่าเหมือนเราคุ้นเคยกันดีเหลือเกิน”
มือเริ่มจับกำแน่นเข้าหากันเมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอกให้ได้ พยายามประคับประคองสีหน้าเอาไว้ไม่ให้เผลอส่งพิรุธออกมาให้เขาได้เห็น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพร้อมยิ้มบางเบา
“คุณคงจำผิดคนแล้วละค่ะ” สองตาจับจ้องมองคุณปรานต์ด้วยความซื่อ “เราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริง ๆ”
“งั้นเหรอ” เขาพยักหน้ารับพลางทำหน้าเสียดายเต็มประดา “สงสัยผมจะจำคนผิดจริง ๆ”
“คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ” รีบเปลี่ยนเรื่องหนีเพราะกลัวเขาจะวกกลับมาเรื่องเดิม ฉันยังไม่พร้อมที่จะแถหรือโกหกอะไรตอนนี้
“ทำสิ”
“งั้นก็ไปทำงานเถอะค่ะ ฉันอยู่ได้”
“ยังไม่ทำตอนนี้” คุณปรานต์ว่าแล้วสอดแขนเข้ามาที่เอวพร้อมพาฉันเดินออกจากโซนดังกล่าวไปอีกทาง ซึ่งตอนนี้ในแกลเลอรีก็เริ่มมีคนมาเดินชมงานหนาแน่นขึ้น คิดว่าอีกไม่นานเราคงได้หลบมุมไปอยู่ไหนสักที่เพราะกลัวจะขวางหูขวางตานักท่องเที่ยวที่ทำการถ่ายรูปแกลเลอรีในแต่ละมุม
พาเดินมาไม่นานก็มาถึงอีกโซนที่เต็มไปด้วยความสว่างไสว มันให้ความรู้สึกคนละแบบกับโซนที่เขาจัดแสดงรูปแม่ละไม และเชื่อไหมว่าเมื่อตาเหลือบไปเห็นรูปหนึ่งก็ต้องทำให้ฉันย่างเท้าเดินเข้าไปดูด้วยความตกใจ ความรู้สึกมากมายหลายอย่างตีประเดประดังเข้ามาแบบงง ๆ
“นี่มันรูปแต่งงานเรานี่คะ” หันไปมองคุณปรานต์อย่างสงสัย “คุณเอามาจัดแสดงแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ นี่มันแกลเลอรีผม” สีหน้าของเขายังคงเดิม เหมือนไม่มีความรู้สึกใดต่างจากฉันอย่างชัดเจน “อีกอย่างผมเห็นว่าภาพของเรามันสวยดีก็เลยเอามาจัดแสดง”
“…”
“วีชอบไหม”
เอาแล้วใจเจ้ากรรมอยู่ดี ๆ ก็เต้นแรงเหมือนเลือดกำลังสูบฉีดอย่างดุเดือด ความรู้สึกบางอย่างวิ่งพล่านเข้ามากระทบกับร่างกายจนรู้สึกได้ว่ามันอบอุ่นและรู้สึกดีแปลก ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ชอบค่ะ” ยอมตอบตามความจริง “รูปของเรามันก็สวยจริง ๆ นั่นแหละ”
“ดีใจที่วีชอบ เพราะผมทำให้วีโดยเฉพาะ”
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
หนักกว่าเดิม… อยากจะขอให้คุณปรานต์หยุดพูดแต่ปากกลับไม่กล้าขยับเอื้อนเอ่ย กลัวเขาจะรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ มันไม่ใช่ความรู้สึกรักหรือชอบ มันคงจะตลกเกินไปหากเป็นเช่นนั้นเพราะเราเพิ่งแต่งงานกันได้แค่สองวัน แต่ถ้าบอกเป็นอีกความรู้สึกก็ไม่แน่
มันเหมือนเป็นความรู้สึกประทับใจ… ก่อนที่จะตกหลุมรักใช่หรือเปล่า
ไม่ได้นะวี! ไม่ได้เด็ดขาด!
หากจะรักหรือชอบต้องให้เขารักเราก่อนเท่านั้น!