คุณเจตน์หนูก็คิดถึง

1918 Words
“ออย คุณเจตน์เรียกให้ไปหาแน่ะ” “คะยาย ห้องทำงานเหรอ” “ยายคุยกับแกที่ห้องนอนนะ ยังไงขึ้นไปบนห้องนอนก่อน” “จ้ะยาย” ป้าบัวมองตามหลังเด็กสาวที่เดินออกจากห้องพักคนงานด้วยท่าทีกระตือรือร้นนั้นจนลับสายตาแล้วถอนหายใจเบาๆ สิ่งที่เธอสงสัยเวลาที่เจตน์มองเหมือนแพรมันชัดเจนก็ตอนที่เขาบอกกับเธอตรงๆ ว่าเขาสนใจในตัวเด็กคนนั้น เจตน์ถามเธอถึงเรื่องผลสอบของเหมือนแพร และบอกว่าเขาต้องการให้เธอเรียนโดยแลกกับตัวเธอ ตอนที่ได้ยินจริงๆ ก็อดตกใจไม่ได้ แต่ด้วยความที่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกในบ้านหลังนี้ ตั้งแต่ป้าบัวมาอยู่ก็หนที่สามแล้ว ครั้งแรกก็พ่อกับแม่ของเจตน์ ครั้งที่สองก็พี่ชายคนโตของเขา แต่พฤกษ์ก็เล่นกันแค่ไม่นาน ไม่ได้มีภาระผูกพันต่อกัน ส่วนเจตน์ก็ไม่น่าจะต่างกันมาก เจตน์ไม่เคยมีแฟน แต่เห็นเขาพาผู้หญิงมาบ้านเรื่อยๆ คนในบ้านก็รู้รสนิยมเรื่องนี้ของเขา ป้าบัวคิดว่าเหมือนแพรก็คงเหมือนผู้หญิงเหล่านั้น ใจหนึ่งก็เห็นใจเด็กสาว แต่ป้าบัวก็คิดว่ามันเป็นโอกาสที่จะทำให้เจ้าตัวได้เรียนได้มีอนาคตในวันข้างหน้าเมื่อผ่านวันนี้ไปแล้ว เจตน์เองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ เขาปรึกษาเธอเรื่องนี้และคงต้องการให้เธอช่วยคุยกับเหมือนแพร แต่เจตน์อยากคุยด้วยตัวเองก่อน เหมือนแพรเดินขึ้นไปถึงห้องนอนบนชั้นสามของเจตน์ ประตูห้องถูกเปิดไว้ราวกับต้อนรับการมาของเธอ เด็กสาวชะโงกหน้ามองเข้าไปในห้อง เห็นเจตน์ยืนจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้รับลมเย็นๆ ในตอนเช้า สวมชุดคลุมอาบน้ำ ผมของเขายังเปียกอยู่เลย เหมือนแพรลังเลเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าเขายังอยู่ในเวลาส่วนตัว แต่เจตน์ที่รับรู้การเคลื่อนไหวก็หันกลับมามองก่อน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ “เข้ามาสิ” เขาสั่งและนั่งลงบนเก้าอี้ เหมือนแพรเดินมาหยุดตรงหน้า ประสานมือไว้ด้วยกันด้วยความประหม่าเล็กน้อย “นั่งสิ” พอเขาสั่งให้นั่งคนตรงหน้าก็นั่งลงกับพื้นในท่าเทพธิดาอย่างเรียบร้อย เจตน์เห็นแบบนั้นก็มองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่เห็นที่ที่จะให้เธอนั่งได้ดีกว่านี้ถ้าไม่ใช่บนตักเขา...ถอนหายใจและลุกจากเก้าอี้ไปนั่งบนเตียงตัวเองแทน “นั่งเก้าอี้เถอะ” เจ้าตัวมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยไปตามระเบียบ แต่สุดท้ายก็ลุกไปนั่งเก้าอี้ตามคำสั่ง มีอาการเหมือนไม่กล้านั่งเต็มก้นนักเพราะรู้สึกว่ามันคือโต๊ะของเจ้านาย เจตน์เห็นแบบนั้นก็มีร่องรอยขำขันในดวงตา เหมือนแพรยิ้มแหยๆ ให้เขา พยายามนั่งให้ชิน “เห็นป้าบัวบอกว่าผลสอบออกแล้ว” พอเขาถามอาการประหม่าเพราะวางตัวไม่ถูกในตอนแรกก็กลายเป็นตื่นเต้นกับเรื่องที่เขาจะคุยต่อ “ประกาศแล้วค่ะคุณเจตน์” “แล้วติดไหม” ยิ่งคุยไปเรื่อยๆ หัวใจเด็กสาวก็เต้นแรงขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังอยู่มากน้อยแค่ไหน “ค่ะ ติดวิศวะไฟฟ้าที่มอ...” เธอตัดสินใจเล่ารายละเอียดให้หมด เหมือนแพรสอบติดที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ นี่เอง เพราะไม่คิดที่จะยื่นในจังหวัดอื่นอยู่แล้ว “ฉันคุยกับป้าบัว แกบอกว่าเธอเป็นเด็กดี...เรียนเก่ง ถ้ามีโอกาสแกก็อยากให้เธอเรียน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ในใจไม่ได้นิ่งเหมือนภายนอกสักเท่าไร เจตน์กำลังอ้อมแม่น้ำทั้งห้าทั้งๆ ที่ไม่ใช่นิสัย กลายเป็นว่าเขากำลังอ้างป้าบัวโดยไม่จำเป็น แม้จะมีการถามไถ่ปรึกษากันจริงแต่เขาก็มีคำตอบของตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว “ถ้าอยากเรียนก็เรียน” เหมือนแพรพยายามตีความคำพูดที่เหมือนไม่ชี้ชัดแต่ดีใจนำไปก่อนแล้ว ซึ่งเจตน์ก็เห็นแววตาแห่งความยินดีนั้น “ฉันให้เรียน แต่มีเงื่อนไข” เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่ามันหาคำพูดมาบอกกับเด็กสาวยากทีเดียว เขาจะเรียกเงื่อนไขนั้นว่าอะไรดี เมีย...ก็ไม่ใช่อีก ที่ผ่านมากับผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ไม่เคยต้องหาคำเรียกด้วยสิ พวกเธอรู้เรื่องไขตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่นี่เขากำลังคุยกับเด็กสิบเก้าที่ไม่ได้ทำอาชีพนั้นมาก่อน ใจของเธอยังฟูฟ่องแต่ส่วนหนึ่งก็ตั้งใจฟังเงื่อนไขจากเขา เธอคิดอยู่แล้วว่าถ้าเจตน์จะให้เธอเรียนเขาก็อาจจะมีข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งเหมือนแพรก็ยังไม่รู้ว่าเธอจะมีอะไรที่จะแลกเปลี่ยนกับเขาได้ “เธอเคยเห็นฉันพาผู้หญิงมาที่บ้านใช่ไหม” คำถามของเขาทำให้เด็กสาวขมวดคิ้วสงสัยในตอนแรกก่อนจะหลบตาอย่างเก้อเขินเล็กน้อย ซึ่งเธอก็ต้องเคยเห็นอยู่แล้ว บางวันเจ้าตัวขึ้นมาดูแลหรือเก็บห้องให้เขาก็อาจเจอกับพวกเธอในตอนเช้าบ้าง อาการของเด็กน้อยในวันนั้นก็ยังดูประดักประเดิดไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไร “เอ่อ ค่ะ” “แล้วรู้ใช่ไหมว่าฉันพาพวกเธอมาที่บ้านทำไม” “ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา นึกภาพที่ต้องเข้าไปปะหน้ากับเจตน์และสาวๆ บนห้องของเขาก็รู้สึกไม่ชินสักที เธอไม่เคยเห็นอะไรน่าหวาดเสียวหรอก แต่ความที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เลยกระดากอายต่อมัน ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างติดตาของเจตน์โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้ เจตน์สังเกตสีหน้าคนที่หลบตาด้วยความขัดเขินในตอนแรกจนเห็นมันแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย และเงยหน้ามองเขาด้วยคำถามในตอนนี้ หัวใจของเด็กสาวกระตุกรุนแรงแม้ยังไม่สามารถนิยามความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ดีนักก็ตาม พอเขาเอ่ยประโยคที่เชื่อมทุกอย่างให้สมบูรณ์ในข้อสงสัยของเธอหัวใจก็เต้นระรัว “ฉันอยากให้เธอเป็นแบบนั้น” เขาเอ่ยแล้วก็เงียบไป รอให้อีกฝ่ายหายตกในบ้างจึงถามย้ำ “เข้าใจใช่ไหมว่าหมายถึงอะไร” “ค่ะ” ไม่รู้ว่าใช้เวลาเท่าไรถึงเปล่งคำตอบได้ แต่ตอนที่ตอบไปก็ไม่รู้ว่าสติเต็มร้อยแค่ไหน ถึงตอนนี้ใจเธอยังเต้นตุบๆ อยู่เลย “อืม แล้วคิดยังไง ยอมรับเงื่อนไขได้ไหม” เขาถามแล้วปล่อยให้ความเงียบเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของเด็กสาว สีหน้าเธอดูสับสนชัดเจน ถึงตอนนี้เธอก็พอจะยอมรับได้แล้วว่ามันก็ดูสมเหตุสมผลกับสิ่งที่เจตน์ตั้งเงื่อนไข เพราะเธอไม่มีอะไรอย่างอื่นให้เขาได้เลย เหมือนแพรตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่พอสมควร คำที่เรียบง่ายที่สุดที่สมองจะกลั่นกรองออกมาได้คือเธอกำลังขายตัว...มันฟังดูน่าใจหาย หากพอถึงจุดหนึ่งเธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกต่อต้านจนถึงขั้นจะปฏิเสธเขาได้ทันที “ก็ ไม่ต้องกังวลว่าถ้าเราจบกัน...อาจจะเดือน สองเดือน หรือสักปีแล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อ ฉันให้เรียนจนจบ” เหมือนแพรเงยหน้ามองคนพูด เธอเห็นภาพผู้หญิงที่เข้ามาในบ้านไม่ซ้ำหน้าสอดคล้องกับสิ่งที่เจตน์กำลังบอก เขาควงผู้หญิงได้ไม่นานจริงๆ และเธอก็ไม่เคยเจอใครสักคนที่เวียนกลับเข้ามาในชีวิตของเจตน์เป็นหนที่สอง ส่วนเรื่องเรียนของเธอ เหมือนแพรก็ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเขาจะทิ้งไว้กลางทาง “เก็บเอาไปคิดแล้วกัน” เจตน์รู้ว่าเด็กสาวกำลังสับสน เขาจึงไม่ได้เร่งรัดหากก็ไม่ได้ปล่อยให้เธอกลับห้องในทันที เขาชวนเธอคุยเรื่องของเธอ เผื่อมันจะทำให้คนตรงหน้าผ่อนคลายได้บ้าง เธออาจตัดสินใจได้เร็วขึ้น และแน่นอนว่ามันต้องเป็นไปในทางที่เขาต้องการ “แล้วคิดไว้หรือยังว่าหลังจากเรียนจบจะทำอะไรต่อ” เหมือนแพรขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามปรับอารมณ์ที่จู่ๆ เจตน์ก็เหมือนจะเปลี่ยนเรื่องคุย อาจดูเป็นเรื่องเดียวกันแต่ทำให้อารมณ์คนฟังเปลี่ยนได้เหมือนกัน “ก็ตั้งใจว่าจะหางานทำ คุณเจตน์อนุญาตไหมคะ” ประโยคสุดท้ายถามด้วยสีหน้าเกรงใจ ดวงตาดำขลับทอสองอ่อนลงด้วยความรู้สึกคล้ายเอ็นดู และก็โล่งไปเปลาะหนึ่งที่เด็กน้อยไม่ได้หวาดกลัวหรือต่อต้านเขาอย่างที่กังวล เหมือนแพรยังดูเคารพเขาในฐานะเจ้านายของเธอเหมือนเดิม “ฉันไม่ได้มีสิทธิ์ไม่อนุญาต จำไว้ออยว่าชีวิตเป็นของเธอ อยากใช้แบบไหนก็ใช้ ไม่ต้องเกรงใจใครต่อให้รู้สึกว่าเขามีบุญคุณ” สายตาของเจตน์ให้ความรู้สึกจริงจังคล้ายกำลังบอกสอน มันเกิดความรู้สึกตื้นตันในอกกับความรู้สึกที่ได้รับการใส่ใจ เจตน์อาจดูเป็นคนนิ่งๆ แต่เขาเป็นกันเองกับทุกคนในบ้าน และกับเธอก็เหมือนเขาจะคอยบอกคอยสอนอยู่แบบนี้ พอคิดมาถึงว่าถ้าวันข้างหน้าจะได้ออกไปข้างนอกตามความฝันของตนเองก็รู้สึกใจหายขึ้นมา “แสดงว่าตั้งใจจะออกจากบ้านถ้าเรียนจบ ได้งานทำ” ยิ่งเขาถามก็ทำให้รู้สึกโหวงๆ ในอก “ค่ะคุณเจตน์” “คิดมานานหรือยัง” เด็กสาวหลบตาก่อนจะพยักหน้า “ก็ตั้งแต่ตอนมอหนึ่ง” “อืม มีอะไรในบ้านที่ทำให้ไม่โอเคหรือเปล่า” เขาถามไปเรื่อย แต่อีกคนก็ตาโตมองอย่างตกใจ รีบส่ายหน้า “ไม่ใช่แบบนั้นค่ะคุณเจตน์ อยู่บ้านนี้ดีมาก ถ้าหนูไปจากที่นี่จริงๆ ก็คงคิดถึงทุกคน” ซึ่งเจตน์ก็รับรู้ถึงความคิดถึงของคนตรงหน้าได้จริงๆ “ทุกคนนี่รวมฉันไหม” “ค่ะ คุณเจตน์หนูก็คิดถึง” พอพูดออกไปก็รู้สึกสะดุดคำพูดตัวเอง ยิ่งเหมือนเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเขาก็ยิ่งหน้าร้อนขึ้นมา เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งยื่นข้อเสนอที่น่าอายสำหรับเธอมาให้ แต่เหมือนแพรก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะขยะแขยงมัน ยิ่งกับเจตน์แล้วเด็กสาวก็ยังเคารพนับถือเขาไม่ต่างจากเดิม “อืม ดึกแล้วกลับห้องเถอะ ถ้าตัดสินใจได้วันไหนก็บอกฉัน หรือบอกป้าบัว” เหมือนแพรยกมือไหว้เขาก่อนจะเดินออกจากห้อง ทุกๆ ย่างก้าวรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะลอยได้ จนมาถึงห้อง ทิ้งตัวนอนบนเตียงภาพของเจตน์ที่เอื้อนเอ่ยเรื่องนั้นก็วกวนอยู่ในมโนสำนึก เป็นความรู้สึกที่ไม่กล้าจะคิดถึงมันแต่ก็คิดวนอยู่ซ้ำๆ แทบจะไม่รู้สึกอยากหลับอยากนอน หากพอหลับไปแล้วก็ยังเก็บเอาไปฝันได้อีก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD