“ข้ามิเคยวาดจึงมิมีกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่รึ? แล้วมีกระดาษอะไรบ้าง ดินสอเล่า”
“ดินสอรึเจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทหน้าเครียดหนักกว่าเดิม สิ่งที่คุณหนูถามมา คงเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้จากสำนักศึกษา ซึ่งสาวใช้เช่นนางมิอาจเข้าใจได้ หลักๆ คือนางและคุณหนูมิเคยไปหาซื้อ “บ่าวคิดว่าทุกสิ่งที่คุณหนูต้องการคงจะมีอยู่ในร้านของใช้สารพัดประโยชน์สกุลจือ แต่บ่าวสงสัยเจ้าค่ะ ตอนนี้คุณหนูเจ็บป่วยส่วนใดรึไม่เจ้าคะ” ในความกลัวที่จะถูกตะคอกใส่ เสี่ยวจวงก้มหน้าลงต่ำหลบสายตา ‘นิสัยเมินเฉย เอาแต่ใจ มิฟังคำผู้อื่นและขี้โมโห มิใช่สิ่งที่คุณหนูของนางจะลืมไปหรอกกระมัง’ หรือถ้าจะลืมนิสัยเดิมได้จริง มันก็คงดี
เฉินลี่หลินผินหน้ามองสาวใช้ของตนที่กำลังก้มหน้าตัวสั่น ในคำถามนั้นแปลได้หลายความหมายและนางเลือกที่จะแปลว่า สาวใช้เป็นห่วงนางมากกว่า “ข้าหาได้เจ็บส่วนใดไม่ ช่างเถอะ ข้าขอบใจที่เจ้าถาม เอาเป็นว่าถ้าในเรือนนี้ไม่มีทั้งกระดาษและดินสอ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะไปหาซื้อพวกมันจากร้านค้าสกุลจืออย่างที่เจ้าว่า หากมันอยู่ไม่ไกลจากจวนของเรา ข้าจะเดินไป” ในคำถามเหมือนไม่รู้เส้นทางนั้น เฉินลี่หลินเลิกที่จะใส่ใจสีหน้าท่าทางของเสี่ยวจวงให้เป็นประเด็น เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้นางจะเริ่มออกไปนอกจวนเพื่อสำรวจแล้ว ยามที่อยู่ในร่างของผู้อื่นเช่นนี้ นางจะไม่เสียเวลานั่งร้องไห้ฟูมฟายเป็นเด็ดขาด
“เจ้าค่ะคุณหนู”
&&&&
ยามไฮ่ (22.00)
สตรีย้อนยุคเงยหน้ามองพระจันทร์เต็มดวงงดงาม คำถามในใจผุดขึ้นมา คล้ายกับยามนี้นางกำลังตัดพ้อกับโชคชะตาของตนเอง “เหตุใดจึงส่งข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น” ในความเงียบปะปนไปด้วยเสียงจิ้งหรีดเรไร เบื้องหน้าของระดับสายตาเป็นต้นไม้น้อยใหญ่เรียงราย มีเรือนเล็กจุดแสงไฟจากตะเกียงแขวนอยู่ตรงชายคา เยื้องไปทางขวาเป็นสนามหญ้ากลางจวนที่มีศาลาหลังใหญ่ตั้งอยู่ ด้านซ้ายมือเป็นแนวต้นไม้ใหญ่มากกว่าห้าต้น โดยใต้ต้นไม้แต่ละต้นจะมีเสาไม้เล็กๆ สำหรับแขวนตะเกียง ‘หากยามนี้มีหิ่งห้อยส่องแสงวิบวับอยู่ด้วยก็คงดี’ จู่ๆ ต้นไม้ต้นที่สองกลับปรากฏเงาสีดำเจือจาง เงานั้นเคลื่อนไหวไปมาพร้อมกับเอ่ยคำที่นางได้ยินแว่วๆ
“มาหาข้าสิ” (เสียงก้อง)
“หืม?” ขวับ! (หันซ้าย) ขวับ! (หันขวา) ภายในห้องสว่างไสวด้วยตะเกียง จะกล่าวว่าเสียงเรียกนั้นดังอยู่ใกล้หูมากก็ไม่ผิด สำคัญคือหากอีกฝ่ายที่ยืนใต้ต้นไม้ไกลออกไปจะเอ่ยให้นางได้ยิน นั่นหมายถึงอีกฝ่ายต้องตะโกน “เดี๋ยวนะ ทำไมมันถึงเหมือนฉากในภาพวาดของท่านอาจารย์สี่ทิศล่ะ” ‘เงาคนในภาพถ่ายที่สหายจากเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในภพเดิมไม่เห็น’ “แล้วใครจะไปยืนอยู่ตรงนั้นยามดึก” คิดไปคิดมาก็สรุปได้ว่า นั่นน่าจะเป็นวิญญาณเจ้าของร่าง “เฉิน ลี่หลิน” ตึ่กๆ ตึ่กๆ สองขาเล็กรีบเดินเร็วๆ ออกไปนอกเรือน โดยไม่สนใจว่าสาวใช้ในห้องข้างๆ จะได้ยิน ตึ่กๆๆ ตึ่กๆๆ นางรีบเดินไปยังต้นไม้ต้นนั้น สายตาจับจ้องเงาสีดำที่แม้นางจะเดินไปใกล้เท่าไหร่ เงาร่างนั้นก็ยังคงรออยู่ตรงจุดเดิม ตึ่กๆๆ “แฮ่กๆๆ เจ้า เรียกข้าใช่หรือไม่” แม้อยากจะถามว่าเหตุใดจึงไม่เข้าไปหานางเหมือนเมื่อยามบ่าย นางก็หาได้ถามออกไป นอกจากรอให้อีกฝ่ายหันร่างกลับมา ใบหน้ากระจ่างที่เห็นได้เรือนรางว่านี่คือเจ้าของร่างแน่นอน ไม่ได้ทำให้ผู้ที่มาจากต่างภพหวาดกลัว “ว่าอย่างไร เจ้าจะเอาร่างนี้คืนแล้วใช่หรือไม่”
เงาสีดำที่ถูกถามส่ายหน้า พร้อมกับยิ้มอ่อนๆ ^^ “ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ว่าข้าหมดวาสนาในภพนี้แล้ว และเป็นเจ้าที่ได้โอกาสใช้ร่างนี้ต่อไปทดแทนข้า อีกสามวันเท่านั้นที่ข้าจะมีโอกาสได้มาพบเจ้า มีสิ่งใดอยากถามข้าหรือไม่”
‘สิ่งที่อยากถาม?’ “คงเป็นเรื่องที่ว่า ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้ามีส่วนในการชักนำข้ามาหรือไม่”
ส่ายหน้าอีกครั้ง “ทุกสิ่งล้วนเป็นโชคชะตานำพา ข้าหาได้มีพลังมากมายจนถึงขั้นดึงวิญญาณของเจ้ามาได้ อีกอย่างคือข้ายังมิรู้ด้วยซ้ำว่าข้าต้องสิ้นชีพ ก่อนจากไปยังภพภูมิอื่น ข้ามีเรื่องที่อยากขอความช่วยเหลือ”
ในคำว่าชะตาและคำว่าตนเองต้องอยู่ในร่างนี้ตลอดไปของอีกฝ่าย ส่งผลให้เฉินลี่หลินคนใหม่ถึงกับร้องไห้ในอก แต่ถึงอย่างนั้น นางยังคงรับปากกับวิญญาณเจ้าของร่าง “ได้สิ”
“อย่าสมรสกับคุณชายโหยวและจับตัวผู้ที่วางยาเราทั้งคู่ให้ได้”
“เจ้ารู้?”
“ใช่ ข้ารู้ว่ามีคนกระทำเรื่องนี้ แต่มิรู้ว่าเป็นผู้ใด” จับลำคอตนเอง “ขะ ข้า จะหมด พลังวิญญาณ ละ แล้ว นะ นับจากนี้ หากมิจำเป็น ข้าจะมิเผยร่างมาพบ จะ เจ้า จง ใช้ ชีวิตที่เหลือให้ดี แทน ขะ ข้า” วูบ!! (ร่างเงาสีดำจางหายไป)
“หา! เดี๋ยวก่อน” สตรีต่างภพผู้ถูกไหว้วานให้ใช้ชีวิตเป็นเฉินลี่หลินต่อ หันมองหาร่างเงาสีดำรอบกาย แต่นอกจาจะไม่พบสิ่งใดแล้ว ที่ตรงนี้ยังเงียบสงบราวกับเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “หมดพลังวิญญาณ ใช้ชีวิตแทน อย่าแต่งงานกับคุณชายโหยว ตามหาคนวางยา เรื่องไม่แต่งงานน่ะไม่ยาก แต่เรื่องหาคนวางยามันไม่ง่ายเลยนะ เอาเถอะ…เพื่อเอาชีวิตรอด ยังไงก็ต้องทำนั่นล่ะ ไม่อย่างนั้นวันหน้าจะอยู่ยังไงถ้าคนร้ายไม่ถูกจับตัวเข้าคุก” สองขาบอบบางเดินย้อนกลับไปยังเรือนนอนของตนเองแล้วเริ่มไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนหลังที่นางจะต้องทำในวันพรุ่งนี้ “เรื่องแรกคงต้องไปหาซื้ออุปกรณ์วาดภาพที่ร้านค้าเสียก่อนนั่นล่ะ”
ในคืนนั้น แสงไฟจากตะเกียงในห้องมอดลงไปพร้อมๆ กับสตรีหลงภพที่นอนหลับสนิทไปด้วยความอ่อนเพลีย
&&&&
วันต่อมา
เสียงไก่ขันปลูกร่างบางที่นอนหลับสบายให้ตื่นขึ้นพร้อมกับเริ่มประมวลภาพเหตุการณ์ทั้งหมด เมื่อคืนนี้นางได้พูดคุยกับวิญญาณเจ้าของร่างที่บอกว่าตนเองนั้นสิ้นบุญแล้ว ใจความสำคัญที่จำได้ไม่ลืมก็คือการสืบหาตัวคนร้าย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือการสมรส ซึ่งมันไม่มีทางเกิดขึ้น “เอาล่ะ ตอนนี้คงเป็นเวลาเช้ามืดสินะ ขอนอนเฉยๆ รอเสี่ยวจวงมาเรียกก่อน แล้วค่อยลุกน่าจะดีกว่า อันดับแรกต้องอาบน้ำ ล้างหน้าและรับสำรับกับท่านแม่ ก่อนจะออกไปซื้อกระดาษขาวมาร่างภาพคนร้าย หลังจากนั้นค่อยสืบหา มันจะง่ายหรือไม่ง่ายก็อีกเรื่องหนึ่ง” หากจะให้คิดถึงผู้ต้องสงสัยหรือผู้บงการในยามนี้ยังคงมีอยู่สองคน คือคุณหนูหวังในชุดสีชมพูที่แม้จะไม่ได้ลงมือแต่อาจจะเป็นผู้บงการกับเจ้าของจวนสกุลโหยว “ถ้าคิดว่าทั้งสองคนร่วมมือกันกำจัดเรา อืม...อาจจะเป็นไปได้” แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะมิเกินไปหน่อยรึ ตัวนางเป็นถึงบุตรสาวของท่านรองแม่ทัพเฉิน หากนางต้องตายที่จวนนั่นจริง ดีร้ายอย่างไร คนบงการก็ต้องถูกจับได้ในไม่ช้าอยู่แล้ว ‘และพวกเขาจะกล้าเสี่ยงกันขนาดนั้นเลยรึ’ “ดูเหมือนคุณชายโหยวอะไรนั่น กำลังได้รับตำแหน่งราชเลขา เกลียดชังกันอย่างไร เขาก็ไม่น่าจะเป็นผู้วางแผนนี้รึเปล่า เอาเถอะ ข้าแค่วาดรูปสตรีผู้นั้นแล้วถามเสี่ยวจวงดูก็คงจะรู้ในไม่ช้านี้แน่ ว่านางเป็นใคร”