สองสตรีรับสำรับกลางวันร่วมกันจนทุกอย่างแล้วเสร็จในเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม (หนึ่งชั่วโมง) เสี่ยวจวงจึงขอตัวไปหารถม้าโดยที่ ทิ้งให้คุณหนูนั่งรออยู่ที่ร้านบะหมี่พร้อมกับข้าวของที่หาซื้อมาเมื่อครู่
แต่ด้วยความเบื่อหน่ายของสตรีต่างภพที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่องมันมีมากกว่าการมานั่งเฝ้าของและรอรถม้า จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว เฉินลี่หลินลุกออกไปจากโต๊ะแล้วบอกกับเจ้าของร้านว่า “ท่านลุงเจ้าคะ ข้าฝากของพวกนี้เอาไว้สักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ พอดีข้าเห็นร้านขายภาพวาดอยู่ตรงนั้น ข้าอยากจะไปดูสักหน่อยน่ะเจ้าค่ะ” ชี้ไปที่ร้านเล็กๆ ที่มีภาพวาดสีน้ำติดอยู่ประปราย แม้ไม่มีชื่อร้านหรือคนเข้าออก แต่จากที่เห็นชายชราเดินออกมามองซ้ายมองขวาแล้วเดินกลับเข้าไป ก็เข้าใจเอาเองว่าท่านลุงผู้นั้นอาจจะเป็นเจ้าของร้าน ในความที่สนใจเรื่องนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางจึงไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสได้ดูผลงานข้างทางของยุคโบราณนี้
“ร้านของอาถงน่ะรึ ไปสิ ของพวกนี้เดี๋ยวตาดูให้”
^^ “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” สองขาบอบบางรีบเดินไปยังร้านเล็กที่ว่านั้นทันที นับจากตรงนี้นางต้องเดินผ่านร้านตีดาบ มีบุรุษมากกว่าห้าคนยืนรายล้อมนายช่างร่างใหญ่ผู้นั้น แน่นอนว่าทุกคนมองตามนาง และเฉินลี่หลินมิได้สนใจผู้ใด นั่นเพราะนางมิใช่เจ้าของร่างนี้ อีกทั้งยังไม่รู้จักพวกเขา ใครจะมองตาม ใครจะเรียกขาน ล้วนแล้วแต่ไม่หยุดเดิน จนกระทั่ง อีกเพียงสามก้าวจะถึงร้านภาพวาด นางกลับพบ โหยวซานซุน!!
“ฮึ เฉินลี่หลิน ข้าไปหาเจ้าจนถึงจวน ที่แท้ก็ออกมาเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่เองรึ” ราชเลขาโหยวซานซุนกอดอกวางมาด ด้านหลังเป็นบ่าวชายคนสนิทยืนเฝ้าอย่างไม่ละสายตา
ทั่วบริเวณนั้นมีผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ แม้ไม่เทียบเท่าใจกลางตลาดแต่ก็นับได้ว่ามากกว่ายี่สิบคน หลายคนซุบซิบนินทา หลายคนหยุดทุกการกระทำและเฝ้ามอง นั่นเพราะทั่วเมืองหลวงแห่งนี้จะมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าคุณหนูสกุลเฉินหลงใหลได้ปลื้มท่านราชเลขาคนใหม่โหยวซานซุน แต่มายามนี้ นอกจากคุณหนูเฉินจะไร้กิริยาอาการตื่นเต้นดีใจอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว นางกลับแสดงอาการคล้ายเกลียดชัง?
เฉินลี่หลินคนใหม่เบะปากสู้ มองบุรุษที่นางไปหมดสติอยู่ในจวนเขาเมื่อวานขึ้นลง ขึ้นลง ‘มาแล้วสินะ เจ้าตัวปัญหา’ พลางยกมือกอดอก ใบหน้าไร้รอยยิ้มส่งไปอีกทั้งยังแสดงออกว่ารังเกียจให้เห็นกันซึ่งๆ หน้า “ไปหาข้าทำไม จำได้ว่าข้ามิได้บอกให้ท่านไปหานะ”
“ฮึ สตรีที่แอบรักชอบข้ามานานเช่นเจ้าน่ะรึ จะมิอยากให้ข้าไปหา ข้ากลัวว่าถ้าเจ้ารู้เช่นนี้แล้วคงดีใจจนตัวสั่นแต่แอบเก็บอาการเอาไว้แน่ๆ ไร้ยางอายเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นโจวเลยจริงๆ” ในคำเหยียดหยามต่อว่านั้น โหยวซานซุนยังลอบมองสตรีในชุดสีส้มอ่อนอย่างนึกแปลกใจ แต่เดิมนางชอบเพิ่มสีสันบนใบหน้าและเครื่องประดับบนศีรษะจนแทบไม่เหลือที่ว่างราวกับตนเองเป็นพระสนมก็ไม่ปาน ต่างจากยามนี้ที่มีเพียงผ้าผูกผมเพียงสองชิ้น หรืออาการวิปลาสจะหายไปแล้ว?
“เฮอะ! ข้าช่างโง่เง่านัก ที่เผลอไล่ตามบุรุษฝีปากเน่าเหม็นเช่นเจ้ามาได้เป็นปีๆ” มองคู่กรณีของนางที่กำลังหน้าแดงก่ำพร้อมกับกำหมัดแน่น ‘หึ’ “ใบหน้ารึ ก็หาใช่จะรูปงามกว่าผู้ใดแถวนี้ ข้าจะบอกอะไรให้นะคุณชายโหยว อันที่จริงแล้วข้ามิได้รักชอบหรือหลงใหลท่านเลยแม้แต่น้อย ที่ข้าตามติดท่านต้อยๆ เป็นเพราะข้าแค่อยากเอาชนะ” แบมือขึ้นสองข้างแล้วยักไหล่ “ในเมื่อมันเสียเวลาและถูกผู้คนครหากันหนักเข้า ข้าก็คิดว่า ข้าจะถอยห่างให้ท่านกับสตรีอีกคนที่ท่านพึงใจนางเสีย ให้ครองรักกันไปเลย ดีรึไม่” ^^
โหยวซานซุนโกรธจัด เสียงซุบซิบนินทาดังระงมจนฟังมิได้สรรพ จังหวะที่กำลังขายหน้า ตัวเขาผู้มิเคยยอมแพ้จึงเผลอกล่าวโต้ออกไปอีกว่า “โกหก! เจ้าชมชอบข้า รักเพียงแค่ข้า ใต้หล้านี้มีผู้ใดไม่รู้บ้าง ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย จงก้มหัวขอโทษข้าเสีย แล้วข้าจะยอมให้เจ้าได้ติดตามเกี้ยวพาข้าเช่นเดิม!!”
°∆° “ฮ๊า!!” เฉินลี่หลินยกมือขึ้นทาบอกกับคำพูดมั่นหน้า! “เหนื่อยสมองจริงๆ บุรุษผู้นี้สอบเป็นราชเลขาได้อย่างไรกันเนี่ย!” สองขาบอบบางเดินเข้าหาอีกฝ่ายในระยะประชิด ดวงตากลมโตมองสบกับดวงตาคมโดยไร้ความลังเล หลงใหลหรือเขินอายเช่นเก่าก่อน สถานการณ์ในตอนนี้จะเป็นอย่างไร ใครจะเล่าลือไปไหน...มันหาใช่เรื่องสำคัญสำหรับนางอีกต่อแล้ว เพราะเรื่องที่สำคัญมากกว่าคือเรื่องนี้ที่กำลังจะพูดต่างหาก “เจ้าฝันอยู่รึโหยวซานซุน ข้าไม่ขอโทษ! ไม่ต้องมาให้โอกาสข้า บุรุษไร้ยางอาย! แล้วจงจำใส่หัวของเจ้าไว้ด้วย หากผืนแผ่นดินนี้มีเจ้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียว ข้าจะบวชชีทั้งชีวิต!!”
เสียงฮือฮาดังไปทั่วท้ายตลาดนั้น และทุกคนในที่นี้ต่างพากันมองว่าท่านราชเลขาที่ควรสุขุม กำลังกระทำตนไม่เหมาะสม นอกจากยืนโต้เถียงกับสตรีแล้ว ยังด่าว่านางราวกับนางมิใช่สตรีมีสกุล ทั้งๆ ที่มันมิใช่เลย ในเสียงซุบซิบทั่วบริเวณนั้น ทุกคนเห็นสตรีสกุลเฉินที่ป่าวประกาศว่ามิได้ชมชอบคุณชายโหยว เดินเลี่ยงออกไปอีกทางคล้ายกับจบการสนทนา แต่เหตุการณ์ที่เห็นกลับมิใช่ เมื่อผู้รั้งตำแหน่งราชเลขากลับสบประมาทตามหลังร่างบางนั้น
“ข้าจะรอดูว่าจะมีบุรุษใดหาญกล้าต้อนรับเจ้าเข้าสกุล หึ”
เฉินลี่หลินใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างเบื่อหน่ายให้กับบุรุษหมาบ้าโหยวซานซุนที่กล้าเอ่ยคำราวกับเขาเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่ดีที่สุดในแคว้น สองตากลมมองไปยังร้านขายภาพวาดที่มีบุรุษผิวขาวเรือนร่างสูงสง่าผู้หนึ่งกำลังยืนวิเคราะห์ภาพเด็กน้อยท่ามกลางสายฝนอยู่ ความคิดชั่วขณะนั้นหรือสิ่งใดชักนำมิรู้ได้ นางเดินตรงไปพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก “ที่จริงแล้วข้ากำลังพึงใจบุรุษผู้หนึ่งอยู่ เรานัดหมายกันตรงหน้าร้านขายภาพวาด เผื่อท่านจะไม่รู้นะคุณชายโหยวซานซุน ข้าคิดว่าข้าคงจะหันไปตามติดบุรุษคนใหม่ ที่มิใช่ท่านอีกต่อไปแล้ว” โบกมือให้บุรุษนามโหยวซานซุนที่ยังยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่หันกลับไปมอง ‘หากข่าวลือที่กล่าวหาว่านางหลงใหลโหยวซานซุนจะหมดลงได้...นั่นหมายถึงนางต้องเริ่มก่อข่าวลือใหม่และตัดจบให้ได้ในเร็ววัน’ สองขาเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของบุรุษรูปงามที่อยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้ม นางแตะข้อศอกของอีกฝ่าย ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย ที่น่าแปลกใจกว่าสิ่งอื่นใดคือนางเห็นเงาสีดำเจือจางที่นางจำได้ว่าเงานั้นคือวิญญาณเจ้าของร่างนี้กำลังโบกมืออยู่ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่สนใจก่อนจะกล่าวกับบุรุษรูปงามที่หันหน้ามาหานางว่า “รอข้านานหรือไม่เจ้าคะ” ^^ เขย่งเท้าขึ้น แล้วทำสิ่งไม่คาดคิด ฟอด!! (หอมแก้ม)
“...” บุรุษผู้ถูกหอมแก้ม...ยืน อึ้ง?
ในความเงียบกริบนั้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของทุกคนที่ต่างพากันแยกย้ายหายไปคนละทิศละทางไม่เว้นแม้แต่โหยวซานซุนที่มองหนึ่งบุรุษกับหนึ่งสตรีที่เคยวิ่งไล่ตามเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่อาจจะทำให้ตนถูกครหาได้อีก สองขาแกร่งเดินออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกขุ่นมัว?