Prologue
บทนำ
ในโลกที่แสงส่องไม่ถึง กฎข้อแรกของการมีชีวิตคืออย่าเชื่อใจใคร
กฎข้อที่สองคืออย่าหวังว่าความไว้ใจจะรอดจากกระสุน
และกฎข้อที่สาม เมื่ออยู่ในเกมอย่าเป็นเพยงคนดู ต้องเป็นผู้นำเสมอ
คามิน คอร์เลโอเน่ เศวตาภิวัฒน์ ในวัยยี่สิบเจ็ดปี คือผู้นำของอาณาจักรสีเทาที่แม้แต่ กฎหมายยังเอื้อมไม่ถึง ประธานบริษัทที่ไม่กล้ามีใครตรวจสอบ ผู้นำเครือข่ายสีเทา เบื้องหลังอุตสาหกรรมผิดกฎหมาย เจ้าของคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและผู้ควบคุมระบบเงินไหลวนที่สามารถลากใครลงเหวได้ในพริบตา
เขาเป็นทายาทรุ่นที่ห้าของตระกูล ‘เศวตาภิวัฒน์’ เชื้อสายอิตาลีที่สืบทอดธุรกิจใต้ดินมาหลายชั่วอายุ โตมากับคำสอนที่ฝังแน่น ‘อำนาจไม่เคยได้มาด้วยมือที่สะอาด’
โลกของเขาไม่มีคำว่าพี่น้อง ไม่มีคำว่าเพื่อน มีแต่คำว่าผลประโยชน์และอำนาจ แม้แต่ตอนนั่งกินข้าวในบ้านของตัวเอง เขายังพกปืนอยู่กับตัวเสมอ
“หมอนั่นมันโรคจิต”
“มันไม่มีหัวใจ”
“ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลา”
คำพูดเหล่านี้ไม่เคยทำให้เขาขมวดคิ้ว เพราะมันคือความจริง เขาคือมาเฟียยุคใหม่ ที่ไม่แคร์ภาพลักษณ์ ไม่ต้องการคำว่าหล่อหน้าตาดีไม่ต้องการให้ใครรัก มีเพียงแค่คำว่าศัตรูและอำนาจเท่านั้นที่ทำให้มีชีวิตอยู่ แต่ในใจลึกที่สุดยังมีบางสิ่งที่เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่ตัวเอง
“เศวตาภิวัฒน์จะเข้าประชุมด้วยไหม”เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นกลางห้องประชุมใหญ่ โต๊ะวงรีสีดำวาวเรียงรายด้วยผู้ชายในชุด สูท 12 คน บางคนเหลือบมองบางคนหลบตา ไม่มีใครกล้าตอบ
‘เศวตาภิวัฒน์’ ไม่ใช่แค่นามสกุลแต่มันคือเงามืดของส่วนหนึ่งของโลก ที่ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน
เสียงเปิดประตูกระจกดังขึ้นช้า ๆ เงาร่างสูงในสูทดำก้าวเข้ามา ไม่มีคำแนะนำตัวไม่มีเสียงประกาศมีเพียงเสียงฝีเท้าเรียบนิ่งที่กดทับอากาศให้หนักลง ชายหนุ่มเสยผมเรียบใบหน้าคมกริบ ไร้รอยยิ้มดวงตาเย็นเยือกจนมองไม่เห็นความรู้สึกใด ๆ
เขามองไปทั่วโต๊ะโดยไม่รู้สึกอะไร ใบหน้าผู้คนตรงหน้ามีแต่เหงื่อและกลิ่นไอของความกลัว
“การประชุมจะเริ่มภายในสามนาที” เขาพูดแค่นั้น เสียงทุ้มต่ำเรียบนิ่งไม่ต้องมีโทนข่มขู่ใดแต่ทั้งห้องกลับเย็นวาบราวกับกับอุณหภูมิลดลงอย่างกะทันหัน ชายคนหนึ่งด้านซ้าย ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนักลงทุนคาสิโนจากชายแดนเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“เรารอให้คุณมาถึงก่อนครับ คุณคามิน”
คามินไม่ตอบเพียงเดินตรงไปยังหัวโต๊ะวางเอกสารลงบนโต๊ะด้วยจังหวะที่แม่นยำแล้วหันหน้าไปยังคนพูด
“ทำไมต้องรอ”
“มันเป็นข้ออ้างให้ประชุมช้าลงงั้นเหรอ”
ไม่มีใครกล้าเถียงหรือแม้แต่กระพริบตายังเบาลงเพราะในห้องนี้ทุกคำพูดคือดาบที่พร้อมจะเฉือน ภาษาในห้องประชุมดูเหมือนถ้อยคำทางธุรกิจแต่ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้รู้ดีมันคือการแบ่งสรรผลประโยชน์จากเส้นทางที่ไม่มีใครพูดถึง คำบางคำถูกกรองจนเกือบเป็นกลาง บางคำเฉียบพอจะบอกว่าใครถือดุล และในห้องนี้ คามินไม่ได้แค่เป็นผู้นำ เขาคือผู้ควบคุมที่ทุกคนเล่นอยู่โดยไม่มีสิทธ์วางกติกาเอง
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลงชายหนุ่มลุกขึ้นโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าเพียงเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้อง ฝีเท้ายังเรียบนิ่งเหมือนตอนเข้ามา ประตูกระจกปิดเบา ๆ และทันทีที่เงาของเขาลับสายตา เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ บรรยากาศที่เหมือนหายใจไม่ทั่วท้องก็คลายลง ชายคนหนึ่งสบตาเพื่อนร่วมโต๊ะก่อนจะพูดเสียงต่ำ
“ไอ้เด็กเมื่อวันซืน อายุแค่นี้ทำเป็นกร่าง”
อีกเสียงหนึ่งแทรกขึ้นคล้ายเอือมระอา
“พวกเศวตาภิวัฒน์ก็แบบนี้แหละ
แต่ชายอีกคนกลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาวางแก้วน้ำลงช้า ๆ และกระซิบเสียงเรียบ
“ไม่สิ…พวกมันแค่ไม่เคยพลาด”
“แต่คนที่ไม่เคยพลาดมักจะตายเร็ว” ประโยคนั้นจบลงลงในความเงียบ ไม่มีใครค้านและไม่มีใครกล้าออกความเห็น เพราะทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าพูดมากไปอาจจะไม่มีวันได้พูดอีกเลย
ปารีสในฤดูใบไม้ผลิ
อากาศเริ่มอุ่นแสงแดดอ่อนกรองผ่านหน้าต่างห้องพักนักศึกษากระดาษเก่า ๆ กับกาแฟดำยังลอยอวลในอากาศ ในห้องนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเก็บของลงกระเป๋าเดินทางอย่างเงียบงัน
อลัน หรือ คุณชายอลัน เดอแวโรซ์ ลูกชายคนเดียวของท่านทูต ตระกูลผู้ดีที่มีสายเลือดผสมไทย–อังกฤษ ที่เรียนจบด้านศิลปะและการจัดการจากสถาบันเก่าแก่ อลันใช้ชีวิตห่างจากบ้านเกิดมานาน เขาพับเสื้อเชิ้ตตัวสุดท้ายลงในกระเป๋า หยิบแฟ้มเอกสารและสมุดสเก็ตช์เล่มเก่าขึ้นมาเช็ก บนปกนั้นมีชื่อภาษาอังกฤษเขียนไว้ด้วยลายมือของตัวเอง เขาไม่ได้เปิดมันดู แต่รู้ดีว่าข้างในคือรอยดินสอจากค่ำคืนที่เงียบที่สุด และหนึ่งในภาพนั้นคือภาพของใครคนหนึ่งที่เขาไม่เคยตั้งใจวาดด้วยซ้ำ แต่ก็หลุดมาทุกครั้งที่ใจเผลอ
“Tu es vraiment sûr de rentrer en Thaïlande demain ?” (แน่ใจเหรอว่าพรุ่งนี้นายจะกลับไทย) เสียงเพื่อนร่วมชั้นถามขึ้น ขณะยืนพิงประตูพร้อมถือแก้วกาแฟในมือ อลันเงยหน้าขึ้นจากกระเป๋า ไม่ยิ้ม ไม่แสดงสีหน้ามีเพียงแววตาที่มั่นคง เงียบเกินกว่าจะเดาใจได้
“Oui” (อืม)
“Tu vas me manquer, mon prince silencieux” (ฉันต้องคิดถึงนายแน่ ๆ เจ้าชายคนเงียบ ๆ ของฉัน) น้ำเสียงอีกฝ่ายคล้ายล้อเลียนแต่ก็จริงใจเกินกว่าจะหัวเราะ อลันไม่ตอบทันที ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ออกมา
“C’est chez moi là bas” (ที่นั่นคือบ้านของฉัน) คำพูดนั้นหลุดออกมาเบากว่าที่ตั้งใจแม้จะพูดภาษาฝรั่งเศสคล่องเหมือนเจ้าของภาษาแต่ในน้ำเสียงนั้นกลับไม่แน่ใจนักว่าคำว่า ‘บ้าน’ ยังนิยายได้ชัดอยู่ไหม เพื่อนพยักหน้าช้า ๆ แล้วเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้อลันอยู่กับความเงียบที่เคยชินมาตลอดหลายปี
อลันจัดกระเป๋าต่อจนก่อนจะหยิบกล่องไม้ขนาดเล็กจากลิ้นชักที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในเป็นเวลานาน เขาเปิดออกมองมันแล้วยิ้ม ให้กับตัวเอง
สนามบินสุวรรณภูมิในเช้าตรู่
เสียงล้อกระเป๋าลากดังเบา ๆ ไป ตามพื้นหินแกรนิต ทามกลางนักเดินทางที่เร่งรีบในแบบของตัวเอง ชายหนุ่มร่างบางเดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า สูทสีเทาเรียบสนิทเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงสั่งตัดเข้ารูป ทุกฝีก้าวแม้จะไม่ได้เร่งรีบแต่กลับมีจังหวะที่แน่นอนอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ได้ยิ้มให้ใคร แค่เดินออกมาเงียบ ๆ และหยุดยืนตรงประตูหน้า เงยหน้ามองฟ้าที่ร้อนกว่าเดิม
“อากาศยังเหมือนเดิม…” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถเบนซ์สีดำที่มาจอดรับโดยไม่พูดอะไรมาก
บ้านตระกูลเดอแวโรซ์
บ้านหรูตั้งอยู่ในเขตเก่าแก่ของกรุงเทพฯ มีรั้วสูง ต้นไม้ใหญ่ และเงาของความเงียบที่สั่งสมจากรุ่นสู่รุ่นเมื่อรถยนต์หรูแล่นมาจอดตรงทางเดิน แม่บ้านวัยกลางคนคนหนึ่งก็รีบวิ่งออกมาต้นรับน้ำเสียงของเธอเปล่งออกมาด้วยความตื่นเต้นเกินกว่าจะเก็บไว้ได้
“คุณชาย…คุณชายกลับมาแล้ว!” เสียงนั้นทำให้คนในบ้านเริ่มทยอยโผล่หน้าออกมาทีละคนก่อนที่ประตูบานใหญ่ของบ้านจะ ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว มาดามวิราวรรณผู้เป็นมารดาในชุดผ้าไหมสีอ่อนก้าวลงบันไดด้วยความเร็วที่ใคร ๆ ก็แทบไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื้นตันใจที่เธอเก็บซ่อนไว้มานานนับปี
ทันทีที่ประตูรถเปิดออก อลันก้าวลงมาอย่างสง่างาม แต่เมื่อสบตามารดาเขาก็ยิ้มออกมาทันทีก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดหญิงผู้ให้กำเนิดแน่นราวกับจะชดเชยเวลาทั้งหมดที่เคยหายไป กลิ่นหอมจากตัวผู้เป็นมารดาความอบอุ่นที่คุ้นเคยจนแทบลืมไปแล้ว เขาหลับตาลงแล้วแนบลงไหล่มารดาปล่อยให้หัวใจได้คลายตัวอย่างเงียบงัน
“ลันกลับมาแล้วครับคุณแม่…” เสียงของเขานุ่มอ่อนและแฝงด้วยชความตื่นเต้นจาง ๆ ที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวอุ่นขึ้นราวแสงแดดช่วงสาย มาดามกอดตอบแน่นไม่แพ้กัน ลูบหลังลูกชายช้า ๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นเบา ๆ
“แม่คิดถึงลูกมาก…”
“ลันก็คิดถึงคุณแม่ครับ…”
ไม่มีคำอื่นใดอีกเพราะคำว่าคิดถึงเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้
ทั้งคู่กอดกันเงียบ ๆ อยู่นานจนแม่บ้านคนสนิทเดินออกมา
มาด้วย สีหน้าปลื้มปริ่ม
“คุณชายโตขึ้นเยอะเลยนะคะ…หล่อขึ้นเยอะเลย”
“ป้าทอง” อลันหันไปยิ้มให้พร้อมยกมือไหว้ไหว้ ก่อนจะเอ่ยแซว
“ลันคิดถึงอาหารฝีมือป้าทองมากเลยครับ” เสียงพูดคุยหัวเราะดังขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้บ้านที่เคยเงียบกลับมาอบอุ่นเหมือนความทรงจำอีกครั้ง