Chapter 1
ค่ำคืนวันพฤหัสบดีตึกกระจกสูง 38 ชั้นใจกลางเมืองยังคงเปิดไฟสว่างขณะที่ตึกอื่น ๆ เริ่มดับแสง ผู้คนทยอยกลับบ้าน แต่ที่ชั้น 33 ของตึกนี้ห้องประชุมใหญ่เริ่มมีความเคลื่อนไหว ไม่มีใครรู้ว่าใต้ชื่อบริษัทลงทุนซึ่งปรากฏอยู่บนป้ายหน้าตึกนั้นแท้จริงคือศูนย์ควบคุมเครือข่ายธุรกิจสีเทาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ห้องประชุมเปิดออก ชายในสูทสีดำเรียบเดินเข้ามาเป็นคนแรก ผมเสยเรียบ ดวงตาคมเข้มไร้อารมณ์ ใบหน้าหยิ่งเฉย เยือกเย็นจนกว่าจะอ่านความคิดได้ เขาเดินตัวเปล่ามีเพียงมือขวาคนสนิทที่เดินตามมาเงียบ ๆ ก่อนจะหยุดยืนที่เก้าอี้หัวโต๊ะแล้วกล่าวเสียงเรียบ
“เริ่มได้”
ชายอีกห้าคนที่นั่งอยู่ในห้องหันมามองแทบจะพร้อมกัน ไม่มีใครกล้าพูดแทรกแม้แต่ชายสูงวัยที่อายุมากกว่าเขาเกือบสองเท่ายังนั่งหลังตรงไม่แม้แต่จะกล้าสบตาโดยตรง
นที มือขวาคนสนิทยืนอยู่ข้างหลัง มือประสานอยู่หน้าตัว ไม่ขยับแต่ตาทั้งสองกับสังเกตุทุกความเคลื่อนไหวในห้องอย่างไม่พลาดแม้แต่วินาทีเดียวเขาพร้อมจะลงมือทันทีหากสิ่งใดเบี่ยงเบนจากแผนที่วางไว้ คามินเป็นฝ่ายเปิดการประชุมอย่างตรงประเด็น
“เส้นทางจัดส่งฝั่งเหนือที่คุณรับผิดชอบ มีปัญหา” เสียงนั้นหันไปทางชายคนหนึ่งทางฝั่งซ้าย อีกฝ่ายสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะพยายามตั้งสติตอบเสียงร้อนรน
“ผมเช็กแล้ว เส้นทางนั้นปลอดภัย ไม่มีคนคอยจับตา—” แต่ยังไม่ทันจบประโยค คามินก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงเดิม ไม่ดังแต่เฉียบขาด
“มีสายสืบจากฝั่งยุโรป”
“เมื่อวานพวกมันแฝงเข้ามาในกลุ่มของคุณแล้ว” เขาไม่ได้ขึ้นเสียงแต่คำพูดนั้นกลับเฉียบเท่าความเงียบที่กดทับทั้งห้อง
“ถ้าคุณมั่นใจว่าเส้นทางนั้นสะอาด…”
“นั่นแปลว่าคุณยังไม่เข้าใจว่าโลกนี้สกปรกแค่ไหน” ไม่มีใครกล้าเถียง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจดัง เพราะในห้องนี้การค้านหมายถึงการยอมรับว่าตนเองประมาท
“คุณต้องรีบจัดการทันที อย่าปล่อยให้ข้อมูลภายในหลุดออกไป” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนหมุนปากกาในมือช้า ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง “ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
อีกฝ่ายรีบพยักหน้ารับ ตอบเสียงสั่น
“รับทราบครับ คุณคามิน” คามินวางปากกาลงแล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ
“ประชุมต่ออีกสิบห้านาที ผมมีเจรจาต่อ
“ใครคิดว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ถึงตอนจบ ออกไปได้เลย”
เงียบ ไม่มีใครกล้าลุก ไม่มีใครกล้าขยับ เพราะในห้องนี้ไม่มีใครอยากเป็นคนนอกแผนของเขา
3 ชั่วโมงผ่านไป
เกือบเที่ยงคืนหลังจากการเจรจากับนายทุนผ่านพ้นไปด้วยดีบรรยากาศในรถหรูเงียบสนิทมีเพียงเสียงเครื่องยนต์ต่ำ ๆ และแสงไฟจากถนนที่ไหลผ่านหน้าต่างเป็นเงาเลื่อนทับใบหน้าคมเข้มของคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง คามินนั่งนิ่งข้อมือพาดบนที่วางแขน สายตาทอดมองออกไปนอกรถ ไม่ใช่เพื่อดูวิวแต่เหมือนกำลังมองทะลุบางสิ่งที่อยู่ไกลกว่านั้น
บ้านเศวตาภิวัฒน์
เสียงประตูหน้าบ้านหลังใหญ่ของตระกูลเศวตาภิวัฒน์เปิดออกเบา ๆ เงียบกว่าทุกคืน แสงจากโคมไฟริมทางทอดเงายาวเข้าไปในโถงกลาง รองเท้าหนังขัดเงาก้าวข้ามธรณีประตูอย่างมั่นคงร่างสูงในสูทเข้มเดินช้า ๆ ผ่านห้องรับแขกอย่างเงียบเชียบ คามินเพิ่งกลับจากประชุมลับในหัวสมองยังคงเรียบเรียงบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาถอดสูทพาดแขนเตรียมจะเดินขึ้นบันไดแต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเงามืด
“ประชุมเสร็จแล้วเหรอ” เสียงนั้นทุ้ม ลึกเย็นเฉียบ พอจะทำให้ใคร ๆ ก็ตามที่ได้ยินตั้งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว
ซัลวา คอร์เลโอเน่ เศวตาภิวัฒน์ หรือใคร ๆ ก็เรียกว่า ดอนคอร์เลโอเน่ มาเฟียรุ่นที่สี่ของตระกูล คำว่า‘ดอน’ คำเรียกขานที่ไม่ได้มีไว้เพื่อบ่งบอกชื่อแต่มันคือตำแหน่งสูงสุดของตระกูลมาเฟีย ตำแหน่งที่มีทั้งอำนาจ ความเคารพ และความกลัวในคราวเดียวกัน เขานั่งอยู่บนโซฟาหนังสีเข้มในตำแหน่งประจำเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาเข้มแนบตัว มือข้างหนึ่งถือแก้ววิสกี้ที่เหลือเพียงก้นแก้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขานั่งตรงนี้มานานแค่ไหน เพราะคนอย่างเขามักปรากฏตัวเฉพาะเวลาจำเป็น คามินหันไปช้า ๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนเขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบ
“ครับ”
“ได้สิ่งที่ต้องการไหม”
“เจรจาได้เกินครึ่ง แต่ยังไม่ตกลงทั้งหมด เพราะอีกฝ่ายมีเงื่อนไขอื่นอยู่”
ดอนยกแก้วขึ้นจิบสายตานิ่งกริบมองลูกชายผ่านขอบแก้วโดยไม่กระพริบตา
“แล้วแก…คิดว่าไง”
คามินไม่ตอบทันทีเขาเดินเข้าไปวางสูทบนพนักโซฟาตรงข้ามก่อนจะพูดช้า ๆ
“ผมคิดว่าการเจรจาครั้งนี้มันราบรื่นเกินไป”
“แต่ผมจะตามเกมต่อ อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะลงมือก่อน” ห้องเงียบอีกครั้ง รอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นมุมปากของชายมีอายุ ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความพอใจแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เห็นอะไรบางอย่าง แล้วมั่นใจว่าเลือดของเขาไหลเวียนอยู่ในตัวลูกชายคนนี้อย่างเต็มเปี่ยม
“แกเป็นคนที่เก่งนะ ใช้สัญชาตญาณนักล่าของแกให้เต็มที่”
“แต่จำไว้อย่างหนึ่ง…”
“เมื่ออยู่ในเกม อย่าเป็นแค่คนดู”
“บางครั้ง…การลั่นไกก่อนต่างหากที่จะรอด” คามินพยักหน้าอีกครั้งท่าทางยังนิ่งแต่แววตาเริ่มมีประกายที่เปลี่ยนไป
“ผมรู้ครับพ่อ”
“เมื่อจะลงเล่น ผมต้องเป็นผู้คุมเกมเท่านั้น”
บ่ายของวันหนึ่ง
คาเฟ่ส่วนตัวชั้นลอยของโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ห้องกระจกโปร่งใสที่เปิดให้เฉพาะแขกระดับสูงเท่านั้น วันนี้คามินมีนัดกับชายคนหนึ่ง คนที่เขาไม่เคยต้องอยู่ในห้องเดียวกันมาก่อนแต่วันนี้ต้องนั่งตรงข้ามกันและหายใจในอากาศเดียวกัน เขาเข้ามาก่อนเวลา สูทสีดำสนิทเรียบไร้รอยยับ มือข้างหนึ่งซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงดวงตาคมกริบกวาดมองรอบห้องด้วยสายตาแนบเนียนก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะอย่างมั่นคง
ไม่ถึง 5 นาทีต่อมาประตูห้องเปิดอีกครั้งชายหนุ่มในสูทสีงาช้างก้าวเข้ามาผมดำสนิทหวีเรียบเฉียงข้างหน้า ตาคมละมุนแบบลูกครึ่งจีน ทว่าแววตาและบุคลิกกับเยือกเย็นสงบเกินกว่าจะเรียกว่าอ่อนโยน
ฌอน หยาง นักลงทุนจากฮ่องกง ผู้ที่เพิ่งเริ่มขยับเข้ามาในวงการเงียบ ๆ และวันนี้เขาต้องการมาขยับให้ไปไกลกว่านั้น
“คุณคามิน” ฌอนเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสุภาพ รอยยิ้มแตะที่มุมปากก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม ไร้ความเกร็ง ไร้ความเร่งรีบราวกับต้องการการยอมรับจากคนตรงหน้า
“ขอบคุณที่เสียสละเวลามาคุยกับผม” คามินไม่ตอบแค่พยักหน้านิด ๆ เอื้อมมือหยิบปากกาบนขอบโต๊ะแล้วหมุนมันเล่นราวกับประเมินอยู่เงียบ ๆ ฌอนวางกระเป๋าหนังไว้ข้างตัวแล้วเปิดบทสนทนาอย่างตรงไปตรงมา
“ครั้งที่แล้วข้อเสนอของผมอาจยังไม่ถูกใจคุณ”
“แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว” คามินยังคงนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่ขยับ
“ผมมีนายทุนจากจีนสองรายใหญ่ที่สนใจร่วมขยายเครือข่ายกับคุณ”
“เงินสดหมุนเวียนระดับร้อยล้านเหรียญ”
“ระบบปลอดการตรวจสอบ ข้อมูลเข้าถึงได้โดยตรง”
“ถ้าคุณสนใจข้อเสนอนี้ ผมติดต่อสายตรงได้ทันที” คามินเอนหลังเล็กน้อย พิงพนักเบา ๆ ไม่แสดงความตื่นเต้น ไม่มีคำถามก่อนจะพูดออกมาเพียงคำเดียว
“ไม่” ฌอนชะงักไปเพียงวินาทีเดียวเร็วพอจะกลบด้วยรอยยิ้มเดิมเหมือนไม่สะเทือนอะไรเลย
“คุณยังไม่ได้ฟังรายละเอียดเลยนะ”
“ไม่จำเป็น” เสียงของคามินเรียบแต่จังหวะเงียบระหว่างคำ เยือกเย็นพอจะทำให้อุณหภูมิในห้องลดลงได้ทันที
“ผมคิดว่าคุณมีบางอย่างที่น่าสนใจกว่านั้นนะ”
ฌอนเลิกคิ้วเล็กน้อย “คุณหมายความว่าไง”
“ขายธุรกิจของคุณให้ผม” คามินพูดต่อ “แล้วผมจะดูแลมันให้” เสียงนั้นเรียบ แต่เฉียบเหมือนการเชือดโดยไม่ต้องกดมีด รอยยิ้มของฌอนเริ่มฝืดเล็กน้อย หัวเราะเบา ๆ พอเป็นมารยาทก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่อ่อนลง
“ผมไม่เคยคิดว่าคุณสนใจธุรกิจเล็ก ๆ ของผมด้วย” เขาเงียบไปครู่ก่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม “แต่ผมคงให้ไม่ได้หรอกคุณคามิน กว่าผมจะสร้างมันขึ้นมา” คามินหยุดมือวางปากกาลงบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นสบตาเต็ม ๆ โดยไม่กระพริบ
“ตามใจคุณ ผมแค่ลองเสนอ แต่ผมก็คิดว่าคุณจะไม่ทำอะไรที่มันเกินตัวหรอกนะ” เขาหยุดนิดหนึ่งแล้วพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่เรียบเท่าเดิมแต่เย็นเข้ากระดูก
“เพราะคุณก็รู้ว่าไม่มีอะไรลอดจากสายตาผมได้”
ฌอนไม่ตอบ รอยยิ้มค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้า เขาลุกจากเก้าอี้อย่างนิ่งหยิบกระเป๋าหนังขึ้นมาช้า ๆ แล้วเอ่ยเบา ๆ
“งั้นไว้เจอกันนะครับ…คุณคามิน” น้ำเสียงอย่างสุภาพแต่ฝีเท้าที่ก้าวเดินออกไปนั้นหนักขึ้นกว่าตอนเข้ามาเหมือนคนที่กำลังพกความแค้นกลับไปโดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้ใครเห็น บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้งหลังเงาของฌอนลับตาไป คามินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือแตะขอบแก้วน้ำโดยไม่ยกขึ้น ดวงตานิ่งราวกับกำลังทบทวนลมหายใจของใครบางคนที่เพิ่งออกไป เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังอย่างเงียบเชียบ
“คุณฌอนออกไปแล้วครับ” นทีพูดขึ้นหลังจากแน่ใจว่าห้องปลอดภัยจากสายตาใด ๆ คามินพยักหน้าเล็กน้อย
“สีหน้าของเขาตอนออกไปดูไม่ค่อยพอใจครับ” นทีรายงานต่อเสียงจริงจัง
“อืม” คามินตอบสั้น ๆ เคาะโต๊ะเบา ๆ หนึ่งครั้งจังหวะนั้นเหมือนชั่งใจกับอะไรบางอย่าง
“หมอนี่ไม่เคยเล่นสะอาด ทำเป็นอยากร่วมทุน แต่จริง ๆ เข้ามาสืบมากกว่า”
“เมื่อคืนผมได้ตรวจประวัติเขาคร่าว ๆ มาแล้วครับ” นทีตอบทันควัน
“ในช่วงห้าปีหลัง เขาร่วมทุนหลายที่โดยไม่ออกนาม”
“แต่ละดีลระดับสิบหลักที่ผ่านตัวกลางฟอกเงินใหญ่ในเอเชียกลางแล้วก็มีอีกสองดีลที่เชื่อมกับกลุ่มทุนสีเทาในจีนแผ่นดินใหญ่” นทีเว้นไปครู่ก่อนพูดต่อ “มีสายข่าวบอกว่าเขาพยายามลงเกมในไทยด้วยครับ” คามินเงียบไม่ตอบอะไรในทันที นิ้วหยุดนิ่ง
“คุณคามินคิดว่า...” เสียงของนทีขาดหายไป คามินหันหน้าไปมองช้า ๆ สีหน้าไม่เปลี่ยน
“ถ้ามันคิดว่ามันแน่ ก็ลองดู ปล่อยให้เหยื่อมันคิดว่าเราไม่เล่นด้วย แล้วมันจะเดินมาใกล้พอให้เรางับคอมันทีเดียว” นทีหยักหน้ารับ ไม่ถามอะไรอีก เขารู้ดีเขาไม่ใช่คนวางเกมแต่เขาเป็นคนลงมือ
อีกฟากหนึ่งของเมือง
คอนโดระดับไฮเอนด์ใจกลางกรุงเทพฯ กระจกบานใหญ่เผยให้เห็นวิวแม่น้ำทอดยาวสุดสายตา แสงเมืองสลัวทาบพื้นเนียนเรียบ กลิ่นเครื่องหอมในอากาศเจือด้วยความร้อนจากแดดยามเย็นที่ยังไม่จาง
ฌอน หยางถอดสูททิ้งลงบนโซฟาหนังแท้ปลายนิ้วปลดกระดุมข้อมืออย่างเชื่องช้า ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเงียบ ๆ มือข้างหนึ่งคลายออกจากกำหมัด อีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นเช็กข้อความหน้าจอสว่างจ้ากลางห้องที่เงียบ ทุกอย่างดูเงียบสงบแต่คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยกิ่นเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เบอร์ที่โชว์บนจอคือเจ้าของท่าเรือฝั่งตะวันออกดีลที่เขากำลังจะปิดภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฌอนกดรับสายเสียงตอบรับเหมือนนักธุรกิจมืออาชีพ
“คุณฌอน ผมโทรมาแจ้งเรื่องท่าเรือครับ”
“ยังไม่ถึงวันเซ็นสัญญาเลยนะคุณเจ้าของ” เขาพูดกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง อีกฝ่ายเว้นจังหวะสั้น ๆ ก่อนจะพูดเร็วขึ้นราวกับอยากให้มันจบ
“มีคนยื่นข้อเสนอที่ดีกว่าคุณ เข้ามาเมื่อบ่ายนี้”
“แล้วเขาก็ปิดดีลภายในครึ่งชั่วโมง”
“ใคร” เสียงของฌอนยังไม่เปลี่ยนแต่เย็นลงแบบไม่มีการพราง
“เออ…คุณคามินครับ” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แม้สายยังไม่ตัดแต่ฌอนไม่พูดอะไรอีกมือที่ถือโทรศัพท์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว จนข้อนิ้วขาวซีด เขากดวางสายเดินไปยืนตรงหน้ากระจกบานใหญ่มองแม่น้ำเบื้องล่างที่เคยให้ความรู้สึกสงบแต่ตอนนี้มันนิ่งจนน่าอึดอัด
“ซื้อท่าเรือตัดหน้ากู หลังจากเพิ่งปฏิเสธกูไม่กี่ชั่วโมง” ริมฝีปากเขาขยับช้า ๆ เสียงต่ำและขุ่นราวกับคำรามในลำคอ
“นี่มึงท้าทายกูใช่ไหม…ไอ้คามิน” ดวงตานิ่งเปลี่ยนเป็นแววกราดเกรี้ยวในทันที ขณะที่ริมฝีปากยังคงกระซิบกับตัวเองเบา ๆ แต่ชัดพอจะสั่นสะเทือนในอกตัวเขาเอง
“งั้นกูจะทำให้มึงเห็น…”
“ว่าการปฏิเสธกู มันแพงแค่ไหน”
เช้าวันหยุดในย่านเก่าแก่ของเมืองกรุง ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ แสงแดดส่องลอดหลังคาบ้านสไตล์ยุโรปสองชั้นตระกูลเดอแวโรซ์ เสียงนกร้องบางเบา กลิ่นขนมปังอบใหม่จากครัวลอยมาตามลมอุ่น บนระเบียงชั้นสองชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีอ่อนยืนอยู่เงียบ ๆ มือข้างหนึ่งถือแก้วชาอุ่น อลันกลับมาได้หลายวันแล้วแต่ทุกอย่างในบ้านก็ยังดูแปลกตาทั้งที่ของทุกชิ้นอยู่ที่เดิม แม้กระทั่งต้นลั่นทมที่เขาเคยปลูกสมัยเด็กก็ยังยืนต้นนิ่งอยู่นอกหน้าต่าง เสียงรถจอดหน้าบ้านดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู แล้วฝีเท้าคุ้นเคยก็กระทบกับพื้นหินหน้าบ้าน
“ลัน” เสียงใส ๆ ดังขึ้นจากชั้นล่างของตัวบ้าน น้ำเสียงที่เขาไม่เคยลืมแม้จะห่างกันหลายปีก็ยังไม่เปลี่ยน อลันยิ้มมุมปากก่อนจะเดินลงไปช้า อย่างไม่รีบร้อน และที่ปลายทางเดิน หญิงสาวในชุดเดรสสีฟ้าอ่อน ผมยาวถักเปียครึ่งศีรษะ ยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น ดวงตากลมโตคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหมือนเคย
ชบา ลูกสาวเจ้าของโรงแรมดังย่านสีลม เพื่อนสนิทในวัยเด็กและเป็นคนเดียวที่เขาไม่เคยโกหกอะไรได้เลยจริง ๆ
“แกกลับมาแล้ว ไม่เห็นติดต่อฉันบ้างเลย” เขายิ้มก่อนจะเดินเข้าไปกอดเพื่อนรักอย่างแน่น
“ฉันเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันเอง” เสียงของเขาอ่อนลงกว่าปกติ แบบที่มักจะเป็นเฉพาะกับไม่กี่คนในโลกใบนี้ เขาถอยออกเล็กน้อย ผายมือให้ชบาเดินไปยังโซฟาในห้องรับแขก แม่บ้านเข้ามาเสิร์ฟชาร้อนลงบนโต๊ะช้า ๆ ชบานั่งลงอย่างสบาย ๆ ยกแก้วชาขึ้นจิบอย่างมีจังหวะก่อนจะถามขึ้นเรียบ ๆ
“แล้วเป็นยังไงบ้าง” ชบาถามต่อ “กลับมาแล้วจะอยู่ยาวเลยหรือเปล่า… หรือต้องกลับไปอีก”
อลันเม้มปาก นิ่งไปเล็กน้อย ยกแก้วชาขึ้นจิบ ไม่ตอบทันที
“ที่นี่ยังเหมือนเดิม”
“แกตอบไม่ตรงกับที่ฉันถามเลยนะ” ชบายิ้มเอ็นดู เธอวางแก้วลงแล้วหันมองเพื่อนสนิทตรง ๆ น้ำเสียงยังนุ่ม แต่ประโยคต่อไปเหมือนปลายมีดเฉือนเบา ๆ
“แล้วได้เจอเขาหรือยัง?” ประโยคนั้นมาช้ากว่าที่ใจคิด แต่เร็วพอจะทำให้อลันชะงัก เขาขยับตัวนิดหนึ่ง นิ้วหยุดขยับก่อนจะย้อนถามเสียงเบา
“แกหมายถึงใคร”
ชบาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายอย่างคนที่รู้คำตอบตั้งแต่แรก
“ก็คนที่ตอนเด็ก ๆ แกตัวติดกับเขาตลอดไง ไปไหนแกก็เดินตามเขาตลอด” ชบาเอ่ยไปครู่ก่อนพูดต่อ
“รู้ไหม ตอนนี้เขาเป็นดอนแล้วนะ” คำพูดนั้นราวกับกระตุกภาพในอดีตให้ฉายซ้อนขึ้นมา ภาพของเด็กชายที่ตัวสูงกว่า ชอบแกล้งชอบเอาหนอนมาหลอก ชอบแย่งขนมแย่งปากกาและชอบพูดจาเหมือนรังแกแต่ก็เป็นคนเดียวที่คอยปกป้องเขาตลอด อลันหลุบตาลง สูดหายใจเข้าช้า ๆ กาอนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยเบา ๆ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า
“ยังไม่ได้เจอ”
“ผ่านมาเป็นสิบปี… เขาคงเปลี่ยนไปเยอะแล้วแหละ”
ชบาไม่พูดอะไรต่อเธอเพียงแค่มองเพื่อนด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วจิบชาต่ออย่างเงียบ ๆ
อีกฝั่งของคามิน
แสงแดดยามเช้าสาดผ่านผ้าม่านทึบไหลมาหยุดตรงโต๊ะข้างเตียง ห้องของคามินไม่มีภาพแขวน ไม่มีของตั้งโชว์ มีแค่เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น เรียบ เงียบ และไร้สีสันและไร้สีสัน เขายืนอยู่หน้ากระจก สวมเสื้อเชิ้ตสีดำแนบลำตัว ขยับเนกไทให้เข้าที่อย่างแม่นยำแล้วเอื้อมไปหยิบนาฬิกาข้อมือสีเงินจากถาดหนัง ขณะที่สายตากำลังจะละไปเขาเหลือบเห็นสิ่งหนึ่งวางอยู่สิ่งหนึ่งวางอยู่บนชั้นไม้ตรงมุมกระจก กล่องไม้ขนาดเล็ก มันนอนเงียบอยู่ตรงนั้นมานาน เงียบจนน่าจะถูกลืมไปแล้วแต่เขากลับเก็บมันไว้อย่างตั้งใจมือที่มั่นคงและแข็งแกร่งในการจับอาวุธค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ไม่มีฝุ่น ไม่มีรอย ทั้งที่เขาไม่เคยเปิดมันเลยแต่ก็ไม่เคยปล่อยให้มันโทรม เขาจ้องกล่องอยู่เงียบ ๆ ก่อนภาพหนึ่งจะแล่นผ่านเข้ามาในหัวทันที
ภาพของเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งที่เงยหน้าพูดกับเขาในวันนั้น
‘พี่มิน…พรุ่งนี้ลันต้องไปเรียนต่อแล้วนะ’ เขานึกภาพนั้นได้ชัดเจนแม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน ตอนนั้นกล่องไม้ใบนี้อยู่ในมือเขา เขาเตรียมจะยื่นมันให้ แต่สุดท้ายคำเดียวที่ออกจากปากเขากลับมีแค่ว่า
‘อืม’ ไม่มีคำอื่น ไม่มีคำอวยพร ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เขาจ้องกล่องในมือเขายังจ้องกล่องใน มือด้วยสายตาเรียบเฉยเกินกว่าจะเดาได้ว่าคิดอะไรในใจ จากนั้นเขาก็ปิดกล่องลงเงียบ ๆ วางมันกลับที่เดิมเหมือนกับที่วางทุกความรู้สึกทิ้งไว้แบบนั้น เพราะในโลกของเขาการไม่พูดอะไรคือคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว