Chapter 2
แสงโคมไฟบนโต๊ะไม้สีเข้มในห้องทำงานชั้นบนสุดของ เศวตากรุ๊ปส่องสว่างเพียงจุดเดียวกลางโต๊ะ เอกสารกองใหญ่เรียงอย่างเป็นระเบียบ ปลายปากกาหมึกดำตวัดลายเซ็นด้วยความมั่นคงทุกฉบับ โดยมีชายหนุ่มเจ้าของตำแหน่งประธานนั่งอยู่ที่นั่นดวงตานิ่งเฉยปราศจากความเหนื่อยล้า ไม่เร่งรีบทุกการเคลื่อนไหวดูเหมือนถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า
เสียงเคาะประตูดังขึ้นหนึ่งครั้งก่อนที่มันจะเปิดออกโดยไม่รอคำอนุญาต นที มือขวาคนสนิทของคามิน ก้าวเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารบางในมือ ใบหน้าเคร่งขรึมสะท้อนว่ามีเรื่องด่วน
“พวกนั้นมาถึงแล้วครับ คุณคามิน” คามินยังไม่เงยหน้า เขาเซ็นเอกสารอีกฉบับก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ให้พวกมันรอไปก่อน”
“ผมแจ้งไปแล้ว แต่เขาอยากให้คุณคามินไปดูของด้วยตัวเองครับ” น้ำเสียงของนทีฟังดูนิ่งแต่แฝงแรงกดดัน มือของคามินหยุดลง เขาปิดแฟ้มลงช้า ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น แววตาไม่ได้ถามว่าใครเพราะเขารู้ดีว่าหมายถึงใคร นายทุนนักค้าอาวุธผิดกฎหมายจากตะวันออกกลาง
“ที่ไหน”
“ท่าเรือตะวันออก โกดังหมายเลข 4 ครับ ผมส่งคนตรวจพื้นที่รอบนอกแล้ว ปลอดภัย…แต่คนของเขามีอาวุธทุกคนครับ” คามินลุกขึ้น ถอนหายใจแรง เขาหยิบเสื้อสูทจากพนักเก้าอี้แล้วสวมมันช้า ๆ ก่อนเดินผ่านนทีไป พร้อมคำสั่งเพียงสั้น ๆ
“เตรียมรถ”
ท่าเรือที่นัดหมาย
ท่าเรือฝั่งตะวันออกเงียบจนน่าขนลุก ต่างจากฝั่งเมืองที่เต็มไปด้วยเสียงรถและแสงไฟที่นี่มีเพียงเสียงลมกับคลื่นที่ซัดกระทบผนังโกดังสนิมเงียบ ๆ ประตูเหล็กถูกเลื่อนเปิดออกช้า ๆ แสงสลัวภายในเผยให้เห็นเงาคนหลายร่างยืนเรียงอยู่ลึกเข้าไป ใกล้ลังไม้ขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้เปิดคามินก้าวเข้าไปช้า ๆ นทีตามห่างสองก้าวปืนเหน็บเอวแนบเนียนกับสูทเรียบไร้รอยยับ ชายคนหนึ่งในชุดลินินสีเข้มเดินออกจากเงา ร่างสูง หนวดเคราเรียบ รอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้าแฝงไว้ด้วยความระแวดระวัง
“คุณคามิน…ในที่สุดผมก็ได้เจอตัวจริง” ภาษาไทยของเขามีน้ำเสียงต่างชาติปนอยู่ชัด คามินไม่ตอบ ไม่มีท่าทีจะทักทายใด ๆ
“ของอยู่ในนั้น?”
“ใช่ ครบตามที่คุณต้องการ ผมอยากให้คุณเห็นกับตาว่ามันคู่ควรกับราคาที่คุณจ่าย” เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า ชายร่างใหญ่ก็เปิดลังไม้ขนาดใหญ่ เผยให้เห็นอาวุธปืนกลรุ่นใหม่เอี่ยมพร้อมกล่องกระสุนเรียงอย่างเป็นระเบียบ
คามินยื่นมือไปหยิบปืนขึ้นช้า ๆ น้ำหนักพอดีมือ นิ้วคลึงที่ไกเบา ๆ ปลดแม็กกาซีน เช็กทุกชิ้นส่วนด้วยความแม่นยำและคุ้นเคย การเคลื่อนไหวของเขาชัดเจนจนแม้แต่คนเคยผ่านสงครามก็ต้องหยุดมอง
“บาลานซ์ดี” เขาพึมพำก่อนจะเงยหน้า แล้วหันปลายกระบอกปืนเล็งใส่คนขาย วินาทีนั้นคนตรงหน้าเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ ใครบางคนกลืนน้ำลายแทบไม่ทันแต่เขาก็ลดปืนลงช้า ๆ วางกลับเข้าไปในลังไม้ดังเดิม เสียงไม้กระทบกันดังแน่นพอจะทำให้หัวใจคนทั้งโกดังสะดุดวูบ
“ใช้ได้” คำพูดสั้น ๆ เหมือนคำตัดสินจากศาล เต็มไปด้วยอำนาจ เขาปิดฝากล่องไม้ลงด้วยมือเปล่า เสียงกระแทกดังก้องในความเงียบก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง
“ตกลง ราคาตามที่เสนอ ไม่มีต่อรอง” ชายตรงหน้ายิ้มฝืนพยักหน้ารับรวดเร็ว สีหน้าไม่แน่ใจว่าควรดีใจหรือกลัวมากกว่ากันคามินหมุนตัวเดินกลับไปที่ทางออกของโกดัง สายลมจากทะเลพัดปลายเสื้อสูทให้ปลิวเล็กน้อย ฝีเท้าของเขาหนักแน่นทุกก้าว เมื่อถึงหน้าประตูเขาหยุดก่อนจะเอ่ยกับนทีที่เดินตามมาเสียงเบา
“ให้คนขนของไปเก็บที่โกดังใหญ่”
“ครับ” นทีพยักหน้ารับคำสั่ง คามินขึ้นรถสีดำสนิทที่คนขับรถรอเปิดประตูให้ เขานั่งลงก่อนจะพูดกับนทีอีกครั้ง
“นายตามไปคุมความเรียบร้อยด้วย เสร็จแล้วค่อยตามฉันไปที่ท่าเรือ”
“…ฉันอยากเช็กอะไรบางอย่าง” คำพูดนั้นไม่ได้กดเสียง แต่มีน้ำหนักมากพอให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยซักถาม รถเคลื่อนออกจากโกดังเงียบ ๆ ทิ้งนทีไว้เบื้องหลัง พร้อมลูกน้องที่เริ่มขนของตามคำสั่ง แต่เมื่อรถของคามินลับสายตาไปแล้ว กลับมีใครบางคนปรากฏตัวจากเงาเงียบ เสียงรองเท้าบูทกระทบพื้นดังหนักแน่น ร่างชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตดำพับแขนก้าวออกมาจากหลังกองไม้ ฌอน ใบหน้าเรียบสนิทแต่นัยน์ตาวาวโรจน์ ชายอีกสองคนเดินตามมาช้า ๆ คนหนึ่งสะพายกล้องเลนส์ยาวอีกคนยืนนิ่งเงียบเหมือนไม่มีตัวตน
“มึงกล้าปฏิเสธกู…” ฌอนพูดเบา ๆ แต่เสียงนั้นเหมือนคมมีดกรีดกลางอากาศ
“…ทั้งที่กูให้ข้อเสนอที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้” ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ลูกน้องเขารู้ดีหากเขาเริ่มพูดคำว่าแค้นกับใครอีกฝ่ายไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบ
“ยังไม่พอ มึงแย่งปิดดีลที่ท่าเรือของกูอีก”
“…คิดว่ากูจะยอมแพ้?” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นเปิดภาพอะไรบางอย่างก่อนจะกำมันแน่น ข้อนิ้วขึ้นสีขาวแล้วพูดเสียงต่ำ
“ออกรถ ตามมันไป”
ท่าเรือฝั่งเหนือแดดยามบ่ายคล้อยส่องสะท้อนผิวน้ำ แสงสีทองทอดเงาเรือบรรทุกลำเปล่าที่โยกไหวตามกระแสลมพัดเบา ๆ ทว่าบริเวณโดยรอบกลับถูกปิดล้อมไว้แน่นหนามีป้ายติดชัดว่า ‘พื้นที่ส่วนตัว ห้ามบุกรุก’ รถสีดำสนิทแล่นมาจอดช้า ๆ ประตูเปิดออกพร้อมร่างของชายผู้เป็นเจ้าของพื้นที่คนใหม่ คามินก้าวลงจากรถอย่างเงียบ ๆ ไม่มีมือขวา ไม่มีการ์ด มีเพียงเขาและคนขับรถที่เฝ้ารออยู่ห่าง ๆ เขาเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างระมัดระวัง ฝีเท้าหนักแน่นแววตากวาดมองโถงกว้างที่เต็มไปด้วยเศษซากของเรือเก่าถูกทิ้งไว้เป็นกลุ่ม ๆ เขาเดินไปจนถึงปลายสะพาน จุดนั้นเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้า ทุกอย่างดูนิ่งเกินไป ราวกับถูกจับแช่ไว้ในเงาสงบก่อนพายุจะมา
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากรถ คนขับหยิบโทรศัพท์ขึ้นทันทีก่อนจะรีบเดินตรงไปหาคามิน
“มีสายเข้าครับ นาย” คามินรับมันมานิ่ง ๆ แนบโทรศัพท์กับหู ปลายสายคือนที
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับคุณคามิน ผมกำลังจะถึงท่าเรือแล้ว” คามินมองทะเลเงียบ ๆ ลมทะเลตีปลายสูทเบา ๆ ก่อนจะตอบสั้น
“อืม…ที่นี่ไม่มีอะไรผิดปกติ”
“…ฉันกำลังจะกลับ” เขากดวางสาย เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง จากนั้นก็หมุนตัวกลับเตรียมเดินไปขึ้นรถ
ไม่นานรถเลื่อนกลับทางเดิม แต่ไปได้เพียงไม่ถึง 300 เมตร เสียงเครื่องยนต์ที่นิ่งและในเสี้ยววินาทีนั้นเอง บึ้ม! เสียงระเบิดดังกึกก้อง สะเทือนลั่นทั้งบริเวณ แรงอัดจากระเบิดมหาศาลพุ่งขึ้นพร้อมเปลวไฟที่กลืนรถทั้งคันในพริบตา เสียงเหล็กกระแทก กระจกแตกร้าว ปะทะกันสนั่นราวกับฉากสงคราม ฝุ่นควันตลบ เสียงโครงเหล็กบิดเบี้ยวลั่นลาน
ภายในรถคนขับสิ้นใจในทันที คามินถูกแรงอัดดันร่างกระเด็น เสียงกะโหลกกระแทกกับโครงเหล็กดังชัด หายใจติดขัดจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ รถของนทีแล่นเข้ามาถึงในเวลาไล่เลี่ย เสียงระเบิดยังไม่ทันจาง เขากระโจนออกจากรถ วิ่งฝ่าควันไฟเข้ามาทันที
“คุณคามิน!!” เสียงของนทีดังก้อง ทั้งเครียดทั้งสั่น เขากระแทกเท้าใส่กระจกด้านข้าง ดึงเปิดประตูอย่างบ้าคลั่ง ร่างของคามินนอนแน่นิ่ง เลือดไหลอาบหน้าผาก ใบหน้าไร้สติ ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ลูกน้องอีกคนพุ่งเข้ามาช่วยทันที นทีออกแรงดึงร่างเจ้านายออกจากซากรถ มือของเขาสั่น และมันคือครั้งแรกที่เขาแสดงความกลัวออกมา
“คุณคามิน…ได้ยินผมไหมครับ!” ไม่มีคำตอบใด ๆ ทันทีที่นทีดึงตัวคามินออกห่างจากรถ เสียงตูมระเบิดลูกที่สองดังซ้ำ เปลวไฟพุ่งขึ้นเหนือชั้นอากาศอีกครั้ง
โรงพยาบาล – ห้องฉุกเฉิน
ไฟสีแดงเหนือประตูยังคงสว่าง ฝีเท้าสองคู่เดินเร่งมาตามทางเดิน ดอนคอร์เลโอเน่และคุณหญิงพิศมัย ใบหน้าของทั้งสองคนเคร่งเครียด ดวงตาของหญิงผู้เป็นแม่บวมช้ำจากน้ำตา ส่วนอดีตเจ้าพ่อมาเฟียผู้สงบนิ่ง บัดนี้มีเพียงไฟกรุ่นอยู่ในแววตา เมื่อเห็นนทีที่เปื้อนเลือด ดอนเอ่ยเสียงต่ำ
“คามินอยู่ไหน”
“ข้างในครับ…” เสียงของนทีเบาราวกับกระซิบ คุณหญิงพิศมัยยกมือปิดปาก น้ำตาเริ่มไหลอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ดอนพาภรรยาไปนั่งก่อนจะหันกลับมาถามนทีด้วยน้ำเสียงต้องการความจริง
“ใครทำ!!”
“ตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดครับ แต่เรากำลังตามรอยจากจุดเกิดเหตุ คาดว่าจะได้เบาะแสเร็ว ๆ นี้ครับ”
ดอนเงียบไปครู่ ก่อนจะพูดช้า ๆ แต่หนักแน่น
“จับมันมาให้ได้ แล้วอย่าให้ใครแตะตัวมันก่อนฉัน…” ดอนพูดต่อ “…ฉันจะจัดการมันเอง”
“รับทราบครับท่าน” นทีก้มศีรษะลงต่ำ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปช้า ๆ เมื่อเสียงฝีเท้าของนทีเลือนหายไป เหลือเพียงความเงียบในโถงโรงพยาบาล คุณหญิงพิศมัยนั่งกำชายกระโปรงแน่น น้ำตาอาบแก้มเงียบ ๆ ส่วนดอนยังคงยืนนิ่งแต่ไฟในดวงตานั้นเริ่มสั่นไหว
สองชั่วโมงผ่านไป
ไฟแดงเหนือประตูห้องฉุกเฉินยังคงสว่างจ้า เวลาผ่านไปช้า ๆ จนในที่สุด บานประตูก็เปิดออก แพทย์ในชุดสีเขียวก้าวออกมาอย่างสงบ ใบหน้าตึงเครียดแต่ควบคุมได้
“คุณคามินพ้นขีดอันตรายแล้วครับท่าน”เขาพูดตรงไปยังดอนคอร์เลโอเน่ ก่อนพูดต่อ
“บาดแผลภายนอกไม่มีจุดใดเป็นอันตราย อวัยวะภายในยังทำงานปกติ แต่…” หมอเว้นจังหวะนิดหนึ่ง ดวงตากวาดมองไปยังผู้เป็นพ่อแม่
“เนื่องจากสมองได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง จึงหมดสติไปทันทีหลังเหตุการณ์”
คุณหญิงพิศมัยยกมือทาบอก น้ำตารื้นขอบตาเงียบ ๆ แต่สายตายังจับจ้องหมออย่างมีหวัง
“ผลสแกนเบื้องต้นพบจุดฟกช้ำบริเวณกลีบหลังของสมองซึ่งเป็นส่วน ควบคุมการมองเห็นครับ”
ดอนคอร์เลโอเน่ขมวดคิ้วทันที “หมายความว่าไง?”
“แรงกระแทกทำให้เกิดความเสียหายบริเวณประสาทตา อาจมีผลกระทบต่อการมองเห็นระยะยาว เราจำเป็นต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด และรอจนกว่าคุณคามินจะฟื้นตัวก่อน จึงจะสามารถตรวจได้อย่างละเอียดครับ” ดอนนิ่งแต่เสียงของเขากดต่ำ
“ทำยังไงก็ได้ให้ลูกชายฉันหายเป็นปกติ” ดอนเม้มปากแน่น
“เขาต้องหาย” แม้จะไม่ตะโกน แต่ทุกคำคือคำสั่งที่ไม่มีวันปฏิเสธได้ หมอพยักหน้าช้า ๆ
“หมอจะทำเต็มที่ครับท่าน”
สามวันต่อมา
แสงแดดอ่อนรอดผ่านม่านสีขาว เงาไม้ไหวตามลม บรรยากาศเงียบเกินกว่าจะเชื่อว่าเจ้าของเตียงกลางห้องเคยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงปืน คามินนอนนิ่งใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำเริ่มจางลงบ้างแล้ว จังหวะเครื่องวัดชีพจรยังคงสม่ำเสมอ สายน้ำเกลือเชื่อมจากข้อมือไปยังเครื่องด้านข้าง คุณหญิงพิศมัยนั่งอยู่ข้างเตียง มือของเธอประคองมือลูกชายไว้แน่น ตาแดงช้ำจากการอดนอน ข้าง ๆ ดอนคอร์เลโอเน่ยืนกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่พูดอะไร ในขณะนั้นเองเสียงประตูเปิดออก นทีเดินเข้ามา สีหน้าตึงเครียด
“ทราบตัวคนลงมือแล้วครับท่าน…”
“ฌอน หยาง คือคนอยู่เบื้องหลังครับ”
ดอนขยับศีรษะช้า ๆ แววตาเปลี่ยนเป็นดุดันทันที
“จับมันมาให้ฉัน”
“ครับท่านตอนนี้คนของเราควบคุมตัวมันไว้ที่โกดังใหญ่เรียบร้อยแล้วครับ”
ดอนไม่พูดซ้ำ เขาหันหลังเตรียมจะออกคำสั่ง แต่แล้วเสียงเบาหวิวเล็ดลอดจากลำคอของคามิน คุณหญิงพิศมัยสะดุ้งทันทีหันกลับไปจับมือเขาแรงขึ้น
“คามิน…ลูก” เสียงจังหวะชีพจรเต้นสม่ำเสมอดังลอดเข้ามาในความรู้สึกพร่าเบลอ กลิ่นยาและกลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยแตะปลายจมูกร่างทั้งร่างหนักอึ้งราวกับจมหายไปในเงามืดที่ไร้ที่สิ้นสุด
คามินขยับเปลือกตาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกแรกที่ไหลท่วมเข้ามาไม่ใช่ความเจ็บแต่เป็นความว่างเปล่า ทุกอย่างเงียบ มืดไม่มีอะไรเลย ไม่มีแสง ไม่มีรูปร่าง ไม่มีแม้แต่เงา นิ้วมือเรียวยาวยกขึ้นอย่างสับสน แตะที่เปลือกตาเบา ๆ เหมือนอยากให้มันเป็นแค่ฝัน แต่ไม่ว่าจะแค่นิดหรือแรงแค่ไหนความมืดก็ยังคงแนบแน่นรอบตัว
“ทำไม…” เสียงแหบแห้งเล็ดลอดอย่างยากเย็น
“ทำไมมัน…มืด…?” เสียงนั้นไม่ดังแต่ความตระหนกเริ่มกัดกินทุกอณู คิ้วเรียวขมวดแน่น หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจร้อนระอุ เสียงของเขาหลุดออกมาอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนและสั่นสะท้านกว่าเดิม
“ฉัน…มองไม่เห็น…” คำพูดนั้นไม่ดัง แต่สั่นสะเทือนคนทั้งห้อง เหมือนทุกเศษเสี้ยวของความแข็งแกร่งถูกดึงร่วงตรงกลางอก หมอและพยาบาลกรูกันเข้ามาทันที
“คุณคามินรู้สึกตัวแล้วใช่ไหมครับ” หมอพูดขึ้นเร็ว ๆ ไม่มีคำตอบมีเพียงใบหน้าเรียบเฉยที่จ้องไปยังความว่างเปล่า
“หมอขอตรวจหน่อยนะครับ” หมอเปิดไฟฉายเล็ก ๆ ส่องตรงไปยังดวงตาทั้งสองข้างของคามิน
“เห็นแสงไหมครับ?”
“…ไม่” คำตอบสั้น แต่เสียงพร่า หมอรีบตรวจต่อ ตรวจม่านตา กล้ามเนื้อตา การตอบสนอง พยาบาลจดข้อมูลเงียบ ๆ
“ม่านตาไม่มีการตอบสนองครับ”
“แล้ว…จะหายไหม?” คุณหญิงถามทั้งที่เสียงแทบไม่ออก หมอมองหน้าทั้งครอบครัว
“จากที่ตรวจเบื้องต้นระบบรับแสงยังไม่ทำงาน หมอจะทำการสแกนซ้ำอีกครั้งครับ”
ดอนคอร์เลโอเน่ยืนฟังเงียบ ๆ สายตาจ้องไปที่ลูกชาย หัวใจราวกับแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แล้วจะกลับมามองเห็นได้แค่ไหน”
หมอหันไปสบตาก่อนจะตอบแบบตรงไปตรงมา
“โอกาสฟื้นการมองเห็นยังมีครับ แต่น้อยมากและต้องใช้เวลา”
คุณหญิงพิศมัยเบือนหน้าหนี ริมฝีปากเม้มแน่น ขณะที่ดอนยังยืนนิ่งไม่หลบสายตาหมอ
“ในเคสของคุณคามิน หมอได้ให้ยาสเตียรอยด์เข้มข้นสูงทันทีแต่ยังไม่พบการตอบสนองใด ๆ หลังจากผ่านไปกว่า 72 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าเราต้องพิจารณาผ่าตัดลดแรงกดบริเวณประสาทตาโดยตรงครับ” หมอพูดต่อ “เป็นการผ่าตัดเฉพาะทางที่ซับซ้อนแต่อาจเปิดโอกาสให้เส้นประสาทมีโอกาสฟื้นฟูในระยะยาว”
คามินนอนนิ่งแต่ปลายนิ้วนิ่งจิกผ้าห่มแน่น เขาได้ยินทุกคำและเขาเข้าใจทุกอย่าง ห้องทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างเตียง แล้วเสียงเธอก็ดังขึ้น
“ผ่าเลยค่ะหมอ” ทุกคนในห้องชะงัก มองมาทางคุณหญิงพิศมัย ใบหน้าของเธอยังเปื้อนน้ำตา แต่สายตาแน่วแน่กว่าทุกคน
“แม่ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน…แต่ลูกแม่ต้องกลับมามองเห็นให้ได้”
“หมอจะเตรียมทีมเฉพาะทางทันทีและจะเริ่มผ่าตัดโดยเร็วที่สุดครับ” หลังจากที่หมอเดินออกไป ในห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง คามินยังคงขมวดคิ้วแน่นราวกับไม่เชื่อว่านี่เป็นความจริง ในขณะที่ดอนกับคุณหญิงเองก็เงียบ น้ำตาไหลอาบแก้ม ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้ากังวลและเป็นห่วงลูกชายไม่น้อย