Chapter 3
แสงแดดจากหน้าต่างไหลผ่านผ้าม่านที่แง้มอยู่บางส่วนทาบเงาจางบนพื้นห้องขับความว่างเปล่าให้เด่นชัด คุณหญิงพิศมัยนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงมือเรียวบางแตะลงบนปลายผ้าห่มของลูกชายเบา ๆ ดวงตาแดงก่ำพยายามกลั้นทุกหยดน้ำตาไว้ในอก เหมือนมีบางอย่างอยากพูดแต่คำพูดนั้นกลับติดค้างในลำคอไม่อาจเปล่งเสียงได้ ในที่สุดเธอก็สูดลมหายใจเข้าอย่างช้า ๆ รวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา
“คามิน ลูก...” แต่เสียงของเธอกลับถูกกลืนหายไปทันที ด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นก่อน
“ผมอยากอยู่คนเดียว” น้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง ดวงตาที่มืดสนิทยัง จ้องไปในความว่างเปล่าตรงหน้า ปลายนิ้วที่วางอยู่บนผ้าห่มกำแน่นเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงอารมณ์แต่ความตึงเครียดแผ่กระจายทั่วห้อง
“มิน…” ผู้เป็นแม่พึมพำชื่อเขา ราวกับหัวใจถูกบีบแน่น
“ออกไปให้หมด” คำสั่งเด็ดขาดถูกเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรียง ไร้อารมณ์ ทว่าทุกถ้อยคำกลับกรีดลึกลงในใจผู้ฟัง ความเงียบในห้องเริ่มแปรเปลี่ยน จากอึดอัดกลายเป็นหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก คุณหญิงไม่พูดอะไรอีก เธอกุมมือแน่นขึ้นอีกนิด แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ดอนคอร์เลโอเน่ที่ยืนเงียบอยู่ริมห้องพยักหน้าให้นที ก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่กล่าวสักคำ
“แม่อยู่ข้างนอกนะลูก” เสียงของเธอเบาราวกับสายลมแทบไม่ถึงหู แต่เต็มไปด้วยความหวังอันริบหรี่
เมื่อประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ห้องพักฟื้นยังคงเงียบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง คามินนั่งนิ่งอยู่บนเตียง มือที่วางอยู่บนผ้าห่มสีขาวขยับเล็กน้อยอย่างเชื่องช้า ปลายนิ้วแตะขอบเตียง ลูบผ่านเนื้อผ้าแต่กลับไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกได้เหมือนเคย เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่ง ร่างที่เคยควบคุมทุกอย่างกลายเป็นร่างที่ไร้อำนาจ ไร้การควบคุมแม้แต่ตัวเอง
‘แค่จะมองให้เห็น…ยังทำไม่ได้เลย’ เสียงคิดของตัวเองแว่วก้องอย่างเย้ยหยันในอก หัวใจเหมือนถูกบีบจนแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ ริมฝีปากขบแน่น พยายามไม่สั่นเขาอยากหัวเราะแต่หัวเราะไม่ออกเขาอยากร้องไห้แต่ทำไม่เป็น
“ก็แค่ตาบอด…” เขาพึมพำเบา ๆ คล้ายจะปลอบใจตัวเองแต่เสียงในหัวมันกลับกรีดแทงซ้ำ
‘แกไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว…’
หน้าห้องพักฟื้น
บรรยากาศหน้าห้องเงียบงันมีเพียงเสียงลมหายใจของผู้เป็นพ่อแม่ที่หนักอึ้ง ดอนคอร์เลโอเน่ยืนพิงกำแพงสีหน้าเคร่งขรึม ริมฝีปากเม้มแน่น สายตาไม่ละไปจากประตูห้องที่ปิดสนิทคล้ายเฝ้ารอฟังทุกความเคลื่อนไหวจากภายใน นทียืนอยู่ข้าง ๆ มือกำแน่น สายตาหนักด้วยความรู้สึกผิด เขาเอ่ยเสียงเบาและหนักแน่น
“ผมขอโทษครับท่าน…ที่ปล่อยให้คุณคามินไปคนเดียว” ดอนปรายตามองเพียงแวบ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“จับคนทำได้แล้วใช่ไหม”
“ครับ เราสืบจนเจอหลักฐานชัดเจนว่านายฌอนเป็นคนจ้างมือวางระเบิด”
“ตอนนี้เราจับได้ทั้งคนวางและตัวนายฌอนครับ”
ดอนนิ่งไปเล็กน้อยราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างในหัว โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหมายเลขอย่างรวดเร็วและแน่วแน่ เสียงปลายสายรับในพริบตา
“มาเจอฉันที่โรงพยาบาล…เดี๋ยวนี้” คำสั่งสั้น ๆ ถูกตัดสายโดยไม่รอฟังคำตอบ
ไม่นานนักชายร่างสูงใหญ่ในชุดสีเข้มเดินเร็วเข้ามา ใบหน้าเคร่งขรึมเต็มไปด้วยความตึงเครียด ชื่อของเขาคือ ศักดิ์ลูกน้องคนสนิทของดอนคอร์เลโอเน่ ตั้งแต่สมัยยังเป็นมาเฟีย คุณหญิงพิศมัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว แววตาตึงเครียด เธอลุกขึ้นถามเสียงแข็ง
“คุณจะไปไหน”
“ไปจัดการเรื่องที่ควรจัดการ” ดอนตอบโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
“รอให้ลูกหายดีก่อนได้ไหมคะ ฉันไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นอีก” ดอนหันมามองภรรยาช้า ๆ ดวงตานิ่งเฉียบ เย็นลึก
“คุณหญิงไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี” ดอนพูดต่อ “ฉันแค่จะไปสั่งสอนคนที่กล้ามาทำลูกของเรา” เขาเดินเข้าไปจับไหล่เธอเบา ๆ คล้ายจะปลอบ ทั้งที่ไม่มีคำไหนให้ปลอบได้จริง นทีขยับตัวเหมือนจะเดินตามทันที แต่ก่อนก้าวเท้าออกไป เสียงนิ่งเรียบของดอนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“อยู่ที่นี่”
“เฝ้าคามินไว้ อย่าให้ใครเข้าใกล้เขาเด็ดขาด” นทีชะงักก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่งด้วยแววตาแน่วแน่ เสียงฝีเท้าหนักแน่นสองคู่ ค่อย ๆ เดินห่างออกไปจนลับตา
ณ โกดังลับ
เสียงประตูเหล็กเปิดออก พร้อมเสียงครูดที่เสียดหู กลิ่นคาวเลือดแห้งคละคลุ้งผสมฝุ่นและอากาศอับชื้น กลางโกดังเก่า ฌอน หยางถูกมัดไว้กับเก้าอี้เหล็กทั้งตัว แขนไพล่หลัง ศีรษะถูกคลุมด้วยผ้าดำหนา ข้าง ๆ เขา ลูกน้องอีกสองคนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด เสียงหายใจแผ่วเบาราวกับกำลังจะดับลง เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ทุกขณะ หนักแน่น ช้าแต่มั่นคงเหมือนผู้ พิพากษาที่เดินขึ้นศาล
ดอนคอร์เลโอเน่เดินตรงเข้าไปถือปืนพกแน่นอยู่ในมือ ทุกคนในโกดังขยับตัวถอยโดยไม่ต้องมีคำสั่ง เงาของเขาหยุดอยู่ตรงหน้าเป้าหมายก่อนจะเอื้อมมือดึงผ้าคลุมออกเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อและความดื้อรั้น ทันทีที่เห็นใบหน้าของดอน ฌอนกลับยิ้มเย้ย หัวเราะเบา ๆ
“ดอนคอร์เลโอเน่ ยินดีที่ได้พบ—”
ปึ่ก! ด้ามปืนในมือตวัดฟาดเข้ากลางหน้า แรงปะทะทำให้ศีรษะของฌอนสะบัด เลือดซึมจากมุมปากทันที เสียงขากรรไกรหักกรอบแกรบ ลูกน้องบางคนเบือนหน้าหนี หัวของฌอนเซไปจนหายใจแทบไม่ทัน แต่พยายามกลั้วหัวเราะ ปากพอขยับได้แม้รู้ว่าไม่ควรพูดอะไรต่อ แต่ด้วยความยโสมันฝังอยู่ในจิตใจ
“โมโหขนาดนี้ ลูกชายคงตายห่าไปแล้วสินะ” ประโยคนั้นไม่ต่างจากน้ำมันที่ราดลงบนไฟ ปลายนิ้วของดอนที่อยู่บนไกปืนขยับเล็กน้อย ฌอนยังคงยิ้มเย้ย ไม่รู้ว่าประโยคนั้นจะเป็นประโยคสุดท้าย
ปัง! เสียงเดียวที่ดังก้องไปทั่วโกดัง กระสุนพุ่งฝังเข้ากลางหน้าผาก ฌอนตัวสะบัดไปตามแรง ก่อนจะทรุดแน่นิ่ง ดวงตายังเปิดกว้างแต่ไร้แวว ดอนใช้ปลายปืนงัดใบหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา จ้องไปที่ดวงตาที่เปิดอยู่ ไม่ได้แสดงความสะใจ ก่อนจะเอ่ยสั้น ๆ
“นี่คือบทเรียนที่แกได้รับ” เขาหันไปทางลูกน้อง สั่งเสียงเรียบ
“จัดการส่งศพกลับประเทศมันไป ให้พวกมันรู้ว่า ไม่มีใครกล้ามาหยามเศวตาภิวัฒน์ได้” ฝีเท้าหนัก ๆ ของเขาเดินห่างออกจากร่างไร้วิญญาณ ไม่มีใครกล้าขยับ ไม่มีใครกล้าส่งเสียง ทุกฝีเท้าราวกับการลบชื่อของศัตรูออกจากบัญชีเลือดอย่างถาวร
โรงพยาบาล
เวลาล่วงสู่ยามค่ำ แสงไฟสว่างจ้าในทางเดินชั้น 5 ของโรงพยาบาลส่องสะท้อนผนังสีขาวจนพร่า ห้องผ่าตัดคือศูนย์กลางของทุกความหวังในค่ำคืนนี้ คามินนอนนิ่งอยู่กลางห้อง สายน้ำเกลือและสายเซนเซอร์พัวพันรอบกายใบหน้าที่เคยแข็งกร้าวบัดนี้ดูสงบภายใต้ฤทธิ์ยาสลบ กลิ่นแอลกอฮอล์ตลบอบอวลผสานกับบรรยากาศกดดันที่ทำให้แม้แต่คนชินกับห้องผ่าตัดยังรู้สึกเกร็ง หมอจักษุ หมอผ่าตัดและวิสัญญีแพทย์ทำงานอย่างแม่นยำ ไม่มีคำพูดใดนอกเหนือจากประโยคที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด
“เปิดโพรงกระดูกเบ้าตาตามแนวที่วางไว้”
“เบา ๆ ระวังเส้นประสาทด้านล่าง”
“คลายแรงกดรอบเส้นประสาทตาให้สมบูรณ์” เสียงเครื่องมือแพทย์ เสียงชีพจรเต้นและการเคลื่อนไหวของมืออาชีพประสานกันเป็นจังหวะที่ตึงเครียดอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกคนรู้ดีว่าคนไข้คนนี้จะพลาดไม่ได้
เวลาผ่านไปกว่า 4 ชั่วโมงเสียงเครื่องมือสุดท้ายดับลงพร้อมการถอนหายใจเงียบ ๆ ของหมอผ่าตัด เขาพยักหน้าเบา ๆ ให้พยาบาลประจำทีม
“เรียบร้อย”
ภายนอกห้องผ่าตัด
คุณหญิงพิศมัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว หน้าห้องไฟสีแดง มือกอดอกแน่นใบหน้าซีดเผือดแต่เธอไม่ละสายตาจากประตูที่ปิดสนิทสักวินาทีเดียวไม่ว่าความกลัวจะแฝงอยู่ในใจแค่ไหน เธอก็ไม่มีวันหนีจากตรงนี้ เมื่อประตูเปิดออก หมอเจ้าของเคสเดินออกมาช้า ๆ ถอดหน้ากากออกจากใบหน้า ในแววตานั้นไม่มีรอยยิ้ม และนิ่งสนิท
“การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีครับ”
“แล้วลูกดิฉัน?” น้ำเสียงของคุณหญิงสั่นเบา
“คุณคามินปลอดภัยดีครับ” หมอพยักหน้า “แต่เรายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการมองเห็นของเขาจะกลับมาเมื่อไหร่หรือมากน้อยแค่ไหน เราต้องรอให้เขาฟื้น และประเมินปฏิกิริยาตอบสนองอีกครั้ง” หมอพูดต่อ
“แต่คุณคามิน…ยังมีโอกาสครับ” ห้องโถงเงียบสนิท ไม่มีใครพูดต่อ แต่ในใจของแม่คนหนึ่งเสียงที่พัดแรงที่สุดไม่ใช่คำว่าปลอดภัยแต่คือคำว่าโอกาส
ห้องพักฟื้นใหม่ชายหนุ่มที่ผ่านการผ่าตัดสำคัญในชีวิตหลับสนิทอยู่ท่ามกลางความมืด เปลือกตายังปิดสนิทร่างกายยังซ่อนความเจ็บปวดอยู่ภายในแต่สำหรับเขานี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ชีวิตที่เขาไม่เคยวางแผนไว้เลยสักวินาทีเดียว
2 สัปดาห์ต่อมา
เสียงเครื่องยนต์ของรถหรูสีดำจอดนิ่งหน้าบ้านหลังใหญ่ ประตูถูกเปิดล่วงหน้าอย่างเงียบเชียบ บอดี้การ์ดในชุดสูทดำยืนเรียงสองฝั่งเหมือนเงาที่เฝ้าขุนนาง คามินก้าวลงจากรถ มือหนึ่งแตะไหล่นทีเบา ๆ พอจับทิศทางได้ เขาก็เดินเอง แม้ฝีเท้าจะนิ่งเงียบ แต่แผ่นหลังที่ตรงและการก้าวเดินแบบไม่มีคำบ่น ไม่มีเสียงใด ๆ กลับเต็มไปด้วยบางอย่างที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ดวงตายังหลุบต่ำ เหมือนล่องลอยอยู่ในความเงียบที่ไม่อาจมีใครเข้าถึง
คุณหญิงพิศมัยยืนรออยู่หน้าประตู สีหน้าเธอพยายามนิ่งแต่น้ำตารื้นที่ขอบตาจนปิดไม่มิด คามินเดินผ่านเธอไป ไม่เอ่ย ไม่หยุดทักทาย
“มิน…” เสียงมารดาเอ่ยชื่อเบา ๆ อย่างระมัดระวัง ไม่มีคำตอบ ไม่มีแม้แต่การชะงักฝีเท้า คามินเดินขึ้นบันไดทีละก้าวจนร่างสูงของเขาหายลับเข้าไปในเงามืดของโถงชั้นสอง ทิ้งทุกคนไว้เบื้องหลังรวมถึงความรู้สึกที่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาคิดอะไร นทีมองตามเจ้านายเงียบ ๆ ริมฝีปากเม้มแน่น แววตาไม่ใช่แค่ห่วงใยแต่คือการเฝ้าดูคนที่เคยแข็งแกร่งที่สุดกำลังจมลึกลงในหลุมมืดที่แม้แต่เขาก็เข้าไม่ถึง
ภายในห้องนอนมืด ม่านปิดสนิทแสงใดไม่ลอดผ่าน คามินยืนนิ่งอยู่กลางห้อง มือแตะขอบโต๊ะข้างเตียงอย่างช้า ๆ คลำหาอะไรบางอย่างที่คุ้นเคย เสียงลมหายใจตัวเองดังก้องอยู่ในหัว ชัดยิ่งกว่าเสียงโลกภายนอก เขาถอนหายใจก่อนจะนั่งลงบนเตียง เอนตัวพิงพนักอย่างเงียบงัน มือกำแน่น ไม่มีใครเห็นไม่มีใครได้ยินแต่ภายในอกของชายผู้เคยยืนอยู่จุดสูงสุดบนสนามอำนาจ วันนี้เต็มไปด้วยคำถามที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มีคำตอบให้
ยามบ่ายวันเดียวกัน กลิ่นอาหารหอมอ่อน ๆ ลอยมาก่อนเสียงประตูที่เปิดออกแผ่วเบา ฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามาทีละก้าว คุณหญิงพิศมัยเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารร้อน ข้าวสวยกับต้มจืดหมูสับสาหร่ายเมนูโปรดของลูกชาย เธอจำได้ดีว่าคามินเคยชอบมันแค่ไหน เธอวางถาดลงบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะเดินไปนั่งขอบเตียงช้า ๆ สายตาอ่อนโยนมองใบหน้าที่หลับตาอยู่ของลูกชาย
“มิน… กินอะไรหน่อยนะลูก” ไม่มีเสียงตอบกลับทันที มีเพียงนิ้วที่ขยับน้อย ๆ ตามมาด้วยเสียงเรียบที่ไร้ความรู้สึก
“ผมไม่หิว” คำพูดนั้นไม่ได้แข็งกระด้าง แต่เย็นชา คล้ายคนที่กลืนไม่ลงไม่ใช่แค่อาหาร แต่รวมถึงทุกคำปลอบโยนในโลกนี้ คุณหญิงพิศมัยมองมือลูกชายที่วางบนผ้าห่มอย่างลังเล อยากจะเอื้อมไปแตะแต่กลัวคำปฏิเสธจนใจแทบแหลก
“ถ้าไม่กินอะไรเลย ร่างกายจะแย่นะลูก สักนิดก็ยังดี…”
“ผมอยากอยู่คนเดียว” คำพูดที่ตัดทุกอย่าง ไม่ต้องตะโกน ไม่ต้องแข็งแต่มันคมพอจะบาดใจมารดาคนหนึ่งจนเลือดไหลจากข้างใน เธอพยักหน้าช้า ๆ ถอนหายใจเงียบ
“งั้นแม่ออกไปก่อนนะลูก…”
“มีอะไร… เรียกแม่นะ” เสียงฝีเท้าเบาจากไปเงียบ ๆ เหมือนแสงสุดท้ายของวัน ถาดอาหารยังร้อนอยู่แต่บรรยากาศในห้องกลับเย็นกว่าทุกอย่างที่วางอยู่ในนั้น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ฤดูฝนเริ่มโปรย สายฝนเคาะหลังคาเบา ๆ แต่ไม่มีเสียงไหนดังพอจะกลบความเงียบในบ้านหลังนี้ได้ คามินไม่ออกจากห้องอีกเลย ไม่พูด ไม่ฟัง ไม่รับรู้ อาหารที่ยกเข้าไปบางครั้งไม่ได้แตะ บางครั้งถูกปัดตกจากโต๊ะ ไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้ แม้แต่แม่ที่เคยเป็นคนเดียวที่เขายอมให้แตะต้อง คุณหญิงพิศมัยนั่งเงียบหน้าห้องลูกชาย มือที่กุมไว้แน่นสั่นเงียบ ๆ แต่ในใจเธอยังแน่วแน่ว่าจะเข้าไปให้ได้
“มิน… แม่เข้าไปนะลูก” ไม่มีเสียงตอบรับ เงียบราวกับไม่มีใครอยู่หลังประตู เธอเปิดประตูเข้าไปช้า ๆ ในห้องที่ไร้แสง ร่างของชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาหลับแน่น ไม่รู้ว่าหลับหรือเพียงแค่ไม่อยากรับรู้อะไร คุณหญิงนั่งลงข้างเตียง ลูบศีรษะเบา ๆ อย่างที่เคยทำเมื่อลูกยังเป็นเด็ก มือที่เคยปกป้องเขาเสมอ แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง
เช้าวันถัดมา - บ้านเดอแวโรซ์
บ้านสีขาวสะอาดตา ท่ามกลางสวนหน้าบ้านที่เขียวขจี เสียงนกร้องเบา ๆ และกลิ่นดอกไม้ลอยอ่อน ๆ แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่คุณหญิงพิศมัยจำเส้นทางนี้ได้แม่นเพราะวันนี้เธอไม่ได้มาหาใครอื่นนอกจากเพื่อนที่เธอสามารถระบายความในใจได้
ประตูเปิดออก หญิงในชุดเรียบหรู ผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนและสายตาอบอุ่นยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู
“พิศมัย… ไม่เจอกันนานเลย เชิญด้านในก่อนจ้ะ”
มาดามวิราวรรณพูดพร้อมแตะมือเพื่อนเบา ๆ คุณหญิงพิศมัยพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า แม้ไม่ได้เอ่ยอะไรแต่ดวงตาที่แดงช้ำและมือที่กำผ้าเช็ดหน้าแน่นก็เล่าเรื่องทั้งหมดโดยไม่ต้องพูด
กลิ่นชาอ่อน ๆ และกลิ่นดอกไม้จากสวนผสมในอากาศ แสงแดดลอดม่านลูกไม้บาง ๆ ภายในมีเพียงหญิงสองคนที่เคยร่วมผ่านอะไรมามากกว่าครึ่งชีวิต คุณหญิงพิศมัยนั่งนิ่ง มือกุมถ้วยชาแน่น แม้น้ำชาจะยังอุ่นแต่ปลายนิ้วของเธอกลับเย็นเฉียบจนสั่น
“เธอมีอะไร เล่าให้ฉันฟังได้นะ” มาดามวิราวรรณเอ่ยเบา ๆ พลางแตะหลังมือเพื่อนสนิทอย่างอ่อนโยน น้ำตาเริ่มรื้นที่ขอบตา คุณหญิงพิศมัยสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพึมพำเสียงสั่น
“คือมิน… เขาถูกลอบทำร้าย โดนระเบิด…” เสียงสั่น ๆ ทำให้เพื่อนตรงหน้าชะงัก มือข้างที่กุมอยู่แน่นขึ้น “เขารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่… เขาตาบอด”
“ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เขาปิดใจ ปิดโลก ปิดทุกอย่างไว้หมดเลย…วิ” น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลเงียบ ๆ จากหางตาของหญิงที่เคยสง่าที่สุดในทุกงานสังคม แต่วันนี้เธอไม่ใช่คุณหญิงพิสมัย เธอเป็นเพียงมารดาธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว มาดามวิราวรรณโอบกอดเพื่อนเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดปลอบโยนใดจำเป็นเพราะบางครั้งการกอดก็เป็นประโยคที่ดีที่สุด
ในขณะเดียวกันศาลาริมน้ำด้านหลังบ้าน เสียงพู่กันลากบนกระดาษแผ่วเบา อลันนั่งวาดภาพเงียบ ๆ ดอกกุหลาบขาวบานอยู่กลางกระดาษด้วยเส้นสายอ่อนโยน เขาเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรถคันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้านคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนจะวางพู่กันอย่างระมัดระวัง แล้วเดินลัดเฉลียงเข้ามาทางด้านข้าง ขณะเดินผ่านห้องรับแขกเสียงฝีเท้าเงียบลง เมื่อสายตาเห็นหญิงคนหนึ่งที่เขารู้จักดี อลันยืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะสูดลมหายใจอย่างเรียบนิ่ง แล้วเดินเข้าไปด้วยมารยาทที่คุ้นเคย
“คุณน้าพิศมัย… สวัสดีครับ” เสียงเรียบ สุภาพ กิริยาเรียบร้อยดั่งเดิม คุณหญิงพิศมัยเงยหน้าขึ้น ดวงตาเธอยังแดงชื้น น้ำตายังไม่ทันแห้ง
“อลัน… กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก”
“กลับมาได้สักพักแล้วครับคุณน้า พอดีลันเรียนจบ เลยตั้งใจกลับมาอยู่กับคุณแม่ครับ” มาดามวิราวรรณมองลูกชายด้วยแววตาภูมิใจเล็ก ๆ
“โตขึ้นจนน้าแทบจำไม่ได้เลย” คุณหญิงพิศมัยเอ่ยเบา ๆ ยิ้มอย่างอ่อนแรง อลันนั่งลงอย่างสุภาพ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามเสียงเบาอย่างระมัดระวัง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” คุณหญิงพิศมัยชะงักไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็เล่าเรื่องซ้ำอีกครั้ง ราวกับการพูดออกมาจะช่วยให้ความเจ็บในอกลดลง
“มินโดนลอบทำร้ายจ้ะ”
“…เขา…สูญเสียการมองเห็น”
อลันเบิกตากว้าง ช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน บรรยากาศในห้องเงียบลงอีกครั้ง ไม่มีใครพูด ไม่มีแม้แต่เสียงนาฬิกาในหัวอลันเหมือนถูกดึงย้อนกลับไปยังวันหนึ่ง
ความทรงจำในวัยเด็ก
เสียงเห่าของสุนัขตัวโตดังก้อง เด็กชายตัวเล็กวิ่งหนีสุดชีวิต ล้มลง หัวเข่าถลอกน้ำตาคลอแต่ในวินาทีนั้นเงาร่างของใครบางคนพุ่งเข้ามาขวาง หน้าแล้วตะโกนเสียงดัง
‘ออกไปให้พ้น!’ คามิน เด็กชายตัวสูงในวันนั้นยื่นมือให้ โดยไม่พูดสักคำไม่อ่อนโยนแต่เขาคือคนเดียวที่คอยปกป้องอลันจากทุกสถานการณ์
กลับสู่ปัจจุบัน
อลันเผลอกำมือแน่น แววตาสะท้อนความรู้สึกจุกในอกที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วในความเงียบที่ทอดยาวนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเบา ๆ จากริมฝีปากของแม่ผู้สิ้นหวัง
“น้ารบกวนหนูอลันหน่อยได้ไหม…ช่วยไปเยี่ยมมินหน่อย ได้ไหมลูก” คุณหญิงพูดต่อ “มินอาจไม่ยอมรับใคร… แต่น้าว่า ถ้าเป็นหนูอลัน เขาอาจจะยอมเปลี่ยนใจ…”
อลันไม่ตอบทันที เขานิ่ง ดวงตาหลุบต่ำ ปลายนิ้วบนเข่าขยับเล็กน้อย แต่เมื่อสบตาหญิงที่เอ่ยคำขอร้องด้วยหัวใจทั้งหมดของความเป็นแม่ เขาพยักหน้าช้า ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่งแน่ว
“ครับ… ลันจะไป”