4 (1/2)

2101 Words
                ‘เพราะโชคดีไม่ได้เป็นของคุณเสมอไป’                 แม้คุณพีบอกว่าจะไม่รายงานให้ทางบริษัทที่ภัทรทำงานอยู่ทราบ แต่เขาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี เหมือนตัวเองกำลังถูกกุมความลับเอาไว้ หน้าที่การงานของเขาอยู่ในกำมือของคุณพี ผู้ชายบนโลกออนไลน์ที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าตากัน จะถูกเด้งหรือจะอยู่ต่อกำลังขึ้นอยู่กับผู้ชายคนนั้น                 ภัทรไม่ชอบที่ตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานะแบบนี้เลย แม้คุณพีจะบอกเขาว่าไม่ต้องกังวล รู้ว่านี่คือเรื่องผิดพลาด แต่เขาก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี เพราะหน้าที่การงาน อนาคตของเขากำลังอยู่ในมือของคุณพี ภัทรไม่ได้ตั้งใจที่จะโชว์ตราปักบนเสื้อเชิ้ต ให้ใครได้รู้ว่าเขาทำงานกับบริษัทใหญ่ แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปแล้ว สุดท้ายก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมที่เกิดจากความไม่ระมัดระวังของตัวเอง                 พอมีความผิดติดตัว ภัทรก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ปกติยามเข้าบริษัท เขามักจะมาพร้อมกับจิตใจที่เบิกบานตามประสาบัณทิตที่เพิ่งจบและพร้อมจะโชว์ศักยภาพตัวเองให้ที่ทำงานได้เห็น แต่สองสามวันมานี้กลับไม่ใช่เลย…                  นอกจากจะวิตกกังวล จิตใจไม่เบิกบานเหมือนอย่างเคยแล้ว ในขณะเดียวกันภัทรก็ไม่ได้เข้าทวิตเตอร์อีกเลย นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง เขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไม่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องใต้สะดือกับใครอีก แม้คน ๆ นั้นจะเป็นคุณพีก็ตาม                 ตอนแรกทุกอย่างดูเหมือนจะดีไปเสียหมด ทั้งในโลกออนไลน์และในโลกความจริง แต่พอข้ามคืนทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เพราะจนถึงวันนี้สามวันแล้วที่ภัทรไม่ได้ติดต่อกับคุณภาสกร แม้ตอนนี้เราจะมีช่องทางการติดต่อกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางไลน์หรือเบอร์โทรศัพท์ แต่เรากลับไม่ได้คุยกับเลย คุณเขาอาจจะยุ่งและตอนนี้ภัทรเองก็ไม่มีกระจิตกระใจจะคุยกับใครเท่าไรนัก                 “ภัทรเป็นอะไร ขอบตาคล้ำมาอีกแล้ว” พี่นัทเอ่ยถามภัทรด้วยน้ำเสียงกังวล หลังเห็นหน้าตาเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องดูหมองพิกล มิหนำซ้ำยังขอบตาคล้ำมาอีก บ่งบอกว่าอีกฝ่ายนอนไม่เพียงพอ                 “พอดีมีเรื่องจะคิดนิดหน่อยครับ” ภัทรว่าพลางทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ทำงาน                  เมื่อคืนกว่าเขาจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตีสี่ เพราะมีความผิดเป็นชนักติดหลัง ปรึกษาใครก็ไม่ได้ทำให้ภัทรอึดอัดอยู่ทุกขณะ ขนาดจะกินข้าว สมองที่ยังหวนให้นึกถึงความผิดที่เขาทำไว้อยู่ดี                 ความผิดที่มีคนรับรู้ตามหลอกหลานธนภัทรอยู่ทุกฝีก้าว สามวันมาแลที่ภัทรไม่สามารถยิ้มได้อย่างสบายใจและทุกครั้งที่เขาหลับตา เรื่องแย่ ๆ ที่พลั้งพลาดไปแล้วก็มักจะผุดขึ้นมาให้คิดมากส่งผลให้นอนไม่หลับเสมอ                 “มีอะไรปรึกษาพี่ได้เสมอนะ” พี่นัทว่าต่อด้วยความหวังดี ภัทรขอบคุณตัวเองเสมอที่เขาได้รู้จักกับพี่คนนี้ แต่น่าเสียดายเรื่องนี้เธอไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้                 “ขอบคุณมากครับพี่”                 ถึงจะมีเรื่องส่วนตัวให้เครียดมากเพียงใด แต่พอถึงเวลางานภัทรก็พยายามทำงานเต็มที่อย่างเช่นทุกครั้ง แต่สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของเขา ภัทรกลัวเสมอยามที่หัวหน้าเดินเข้ามาหา แม้อีกฝ่ายจะเข้ามาหา เพราะชวนคุยเล่นเฉย ๆ แต่ภัทรก็กลัวอยู่ดี                 ภัทรกลัวว่าตัวเองจะถูกเรียกพบจากฝ่ายบุลคล เพื่อสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น จะบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับทางบริษัทก็คงเถียงไม่ขึ้น เพราะมันเกี่ยวกับบริษัทโดยตรง มีตราบริษัทเด่นหราอยู่ในภาพนั้นและท้ายที่สุดแล้ว มันก็คือการทำให้บริษัทและองค์กรเสียชื่อเสียง                 “ภัทร!”                 “ครับ!”                 “เป็นอะไร เหม่ออีกแล้วนะเรา” พี่ชาติผู้เป็นหัวหน้าแผนกเอ่ยท้วงภัทรเป็นรอบที่สองของวัน หลังเห็นลูกน้องในปกครองมองออกไปทางหน้าต่างเป็นเวลานาน                 “ขอโทษครับ พี่ชาติมีไรหรือเปล่า”                 “เอ้ย! พี่ไม่ได้ว่าเรานะ แค่เห็นว่าเราใจลอยเลยเรียกเฉย ๆ เป็นห่วง”                 “….”                 “เห็นมีอาการใจลอย ตาใต้คล้ำมาได้สองสามวันแล้วพี่” พี่นัทที่นั่งอยู่ทำงานถัดจากโต๊ะของภัทรพูดเสริม นั่นจึงทำให้พี่ชาติยิ่งมองภัทรราวกับจะจับผิดกัน                 “เป็นอะไร เครียดเรื่องงาน? มันหนักเหรอ” พี่ชาติเอ่ยถามภัทร                 “เปล่าครับ”                 “อ้าว แล้วเป็นอะไร”                 “ผม…เครียดเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย” ภัทรตอบเสียงแผ่ว ไม่แม้แต่จะอธิบายว่าเรื่องทางเงิน ความรักหรืออะไร เขาตอบเพียงสั้น ๆ ว่าเครียดเรื่องส่วนตัว เป็นอันรู้กันว่าไม่ใช่เรื่องที่คนนอกจะก้าวก่าย                 “งั้นพี่จะไม่ยุ่งแล้วกัน แต่ถ้าไม่สบายใจก็ทักมาปรึกษาได้นะ”                 “ขอบคุณมากครับพี่”                   การทำงานงวันนี้ไม่ได้เหนื่อยเหมือนอย่างทุกวัน เพราะภัทรได้เคลียร์ส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบไปหมดแล้วตั้งแต่วันก่อน แต่พอถึงเวลาเลิกงาน ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงที่ควรจะเหลือกลับบ้านหายไปไหนหมด ภัทรถอนหายใจออกมา หลังพาร่างพัง ๆ ของตัวเองมาถึงชั้นล่างของบริษัทแล้ว                 หลังออกจากบริษัทภัทรก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามเป๊ะ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงที่ภัทรจะแวะเข้าบ้านเพื่อเอากระเป๋าโน้ตบุ๊กและพวกเอกสารไปเก็บ เพราะวันนี้เขาต้องไปรับเจ้าโอ๊ตที่โรงเรียนด้วยตัวเอง ปกติภัทรจะให้หลานชายใช้บริการรถรับส่ง จ่ายเงินเป็นรายเดือน แต่วันนี้คนขับขอหยุดไปทำธุระที่บ้าน ทำให้ภัทรต้องไปรับหลานชายเอง                 การเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและบริษัทค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับภัทร มันเป็นวิถีชีวิตแบบเมืองกรุงที่แท้จริง ยกตัวอย่างขากลับที่ภัทรต้องทำซ้ำ ๆ ในทุก ๆ วัน คือภัทรจะต้องนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีอนุสาวรีย์และต่อด้วยรถเมล์อีกหกป้ายกว่าจะถึงบ้าน ดีหน่อยที่บริษัทอยู่ติดถนนใหญ่ การคมนาคมค่อนข้างสะดวก เขาสามารถลงสถานีที่ใกล้ที่สุดแล้วเดินเท้าเข้าบริษัทได้ โดยไม่ต้องต่อรถอีกทอดหนึ่ง                 ตอนเลิกงานก็ว่าเหนื่อยแล้ว กว่าจะฝ่าการจราจรมาจนเห็นชายคาบ้านตัวเองก็ทำเอาธนภัทรถึงกับแทบเข่าทรุด ภัทรหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังของตัวเองเดินจากปากซอยมาจนถึงบ้าน ซึ่งใช้เวลาราว ๆ สิบนาที                 ขณะที่ภัทรกำลังรวบรวมเรี่ยวแรงเดินไปถึงบ้านให้ได้ สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปรถคันงามที่แสนคุ้นตากำลังจอดอยู่ใต้ร่มไม้หน้าบ้าน พอรู้ว่าเป็นรถของใคร ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากไหน อยู่ดี ๆ ภัทรก็เกิดอาการฮึดขึ้นมา จนในที่สุดเขาเดินสับขามาถึงหน้าบ้านในเวลาอันสั้น ภัทรไม่ได้เดินเข้าบ้านก่อน แต่เขาเดินมาตรงมายังรถของคุณอาทิตย์เลย ซึ่งคุณเขาเองก็ลดกระจกรถรออยู่แล้ว                 “คุณอาทิตย์ สวัสดีครับ” ภัทรเอ่ยทักทายคุณเขาอย่างมีมารยาท พยายามจะยกมือไหว้ทั้ง ๆ ที่มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยข้าวของที่เอามาจากที่ทำงาน แม้ในตอนนี้ภัทรจะอยู่ในสภาพอิดโรย แต่ก็ยังพยายามส่งรอยยิ้มสดใสให้กับคุณเขาอยู่ดี                 ดูเหมือนวันนี้คุณเขาจะไม่ได้เข้าบริษัท เพราะอยู่ในชุดไปรเวท ดูอ่อนกว่าตอนอยู่ในชุดทำงานไปหลายปีและไม่ว่าคุณภาสกรจะอยู่ในชุดไหน คุณเขาก็ยังดูหล่อเสมอ สมกับที่ความหล่อของคุณเขาเป็นที่กล่าวขานของเหล่าพนักงาน                 “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันเลยนะครับ” คุณอาทิตย์ผงกหัวรับไหว้แล้วชวนคุยต่อ                 “ครับ ว่าแต่ทำไมถึง……” ภัทรเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง เขาเลิกคิ้วสูงมองหน้าคุณอาทิตย์เชิงถามว่าทำไมคุณเขาถึงได้มาจอดรถแช่ไว้หน้าบ้านตัวเองและดูเหมือนคุณอาทิตย์เองก็รู้ว่าภัทรต้องการสื่ออะไร                 “พอดีผมผ่านมาแถวนี้ ไม่รู้ว่าคิดอะไรเหมือนกัน แต่มาจอดอยู่หน้าบ้านคุณได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว”                 “อ๋อ…..”                 “แล้วนี่คุณภัทรจะเข้าบ้านเลยเหรอครับ”                 “ใช่ครับ เดี๋ยวผมเอาของไปไว้แล้วจะต้องออกไปรับหลานต่อ”                 “เหรอครับ ไม่ยักรู้ว่าปกติตอนเย็นคุณจะต้องไปรับหลานด้วย”                 “ปกติก็ใช้บริการรถรับส่งแหละครับ แต่วันนี้เขาขอหยุด”                 “งั้นเดี๋ยวผมพาไปรับ หลานคุณเลิกกี่โมง?”                 “ครับ? อ้อ ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมเกรงใจ” พอจับต้นชนปลายได้ว่าคุณเขาจะพาไปรับหลานที่โรงเรียน ภัทรก็รีบปฏิเสธความหวังนั้นทันที โรงเรียนเจ้าโอ๊ตใกล้แค่เท่านี้เขาไปรับเองได้                                 “น้ำครับ”                 “ขอบคุณครับ” คุณภาสกรรับน้ำเย็น ๆ จากมือภัทร เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ทำให้ภัทรต้องเชื้อเชิญคุณเขาให้เข้าบ้านเสียก่อน พอถึงเวลาสี่โมงเย็น เราถึงจะไปรับหลานด้วยกัน                 จากตอนแรกภัทรยืนกรานว่าจะไปรับหลานเอง แต่พอถูกคุณเขาพูดนิดพูดหน่อย สุดท้ายภัทรก็ต้องใจอ่อนยอมให้ไปด้วยกัน                 ธนภัทรเกรงใจในความหวังดีของคุณเขาเสมอ แต่พอคุณอาทิตย์ยันยันว่าการพาไปรับหลานครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไร อีกทั้งยังอยากไปด้วย ภัทรจึงไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีนั้นได้ จึงต้องเออออให้คุณเขาไปด้วยกัน                 เหตุการณ์การเสิร์ฟน้ำให้แขก ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังมองออกไปทางหน้าต่างเหมือนจะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง มันชวนให้ภัทรนึกถึงวันคืนฝนตกอย่างอดไม่ได้ ต่างก็ตรงที่ว่าตอนนี้เป็นตอนกลางวัน ส่วนครั้งนั้นคือตอนกลางคืน                 “ช่วงนี้คุณพักผ่อนน้อยเหรอ” หลังจากคุณภาสกรดื่มน้ำเสร็จ คุณเขาก็หันมาถามภัทรด้วยเสียงนุ่มหูและเสียงของคุณภาสกรก็ทำให้ภัทรหลุดออกจากภวังค์                 “ครับ?”                 “วันนี้คุณดูอิดโรย มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” คุณเขาไม่ว่าเปล่า ยังใช้มือข้างหนึ่งมาลูบแก้มภัทรด้วยความอ่อนโยน ทำเอาคนที่ยืนรับสัมผัสรู้สึกใจเต้นแรงและอ่อนระทวย                 “มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ”                 “มีเรื่องให้คิด?”                 “ใช่ครับ”                 “……”                 “เอ่อ…จะว่าไปผมก็มีเรื่องอยากถามคุณนิดหน่อย” ภัทรพูด เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องอยากจะถามคุณอาทิตย์อยู่พอดี                 “มีเรื่องอยากถาม? เรื่องอะไรครับ”                 “เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องจริงหรอกนะครับ แต่ผมก็แค่อยากรู้…” ภัทรเกริ่นถามออก พอเห็นว่าคุณเขากำลังจ้องเพื่อรอว่าภัทรจะถามอะไรกันแน่ ทำเอาคนถามรู้สึกประหม่า                 “ถ้าคนในบริษัททำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง คุณอาทิตย์จะทำยังไงเหรอครับ”                 “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝ่ายบุคคลจะต้องรับผิดชอบและผมเชื่อว่าฝ่ายบุคคลเขารู้ครับว่าจะจัดการยังไง เขาคงต้องประเมินก่อนว่ามันส่งผลต่อบริษัทมากแค่ไหน โทษหนักสุดก็คงไล่ออก”                 “แล้วถ้าพนักงานคนนั้นเป็นคนที่คุณรู้จักล่ะครับ”                 “คุณเหรอครับ?” คราวนี้ภัทรถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกคุณเขาถามกลับ ทำเอาคนที่มีชนักติดหลังอย่างภัทรใจร่วงไปถึงตาตุ่ม ไม่มีความกล้าแม้แต่จะสบตาคุณเขาด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนภัทรชอบมองตาคุณเขาเหลือเกิน                 “เปล่าครับ….ไม่ใช่ผม” ภัทรปฏิเสธเสียงแผ่ว ยังคงไม่กล้าสู้หน้าอยู่ดี                 “……”                 “แต่ถ้าสมมติว่าเป็นผม…..”                 “ผมคงจะผิดหวังกับคุณมากครับ” เมื่อภัทรถามเช่นนั้น คุณภาสกรก็ตอบกลับมาทันที นั่นยิ่งทำให้คนมีความผิดรู้สึกว่าคุณเขาจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด                 ภัทรไม่อยากให้คุณภาสกรผิดหวังในตัวเขา                 “……เข้าใจแล้วครับ”                 “ถ้ารู้แล้วอย่าทำให้ผมผิดหวังนะ….ธนภัทร”             
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD