เมื่อมอเตอร์ไซค์คันเก่าเคลื่อนตัวออกห่างไปไกลจนพ้นสายตาไปแล้ว ดรีมจึงได้เดินเข้าแฟลตแล้วไขกุญแจเข้าห้องพร้อมกับ กับข้าวสองถุงที่ยังคงอุ่นๆอยู่แล้วเปิดไฟเมื่อเห็นว่าในห้องมืดสนิท...ไม่มีแสงสว่างเหมือนกับทุกวัน
ภายในห้องเช่า วันนี้มันดูเงียบจนผิดปกติกว่าทุกวันเพราะถ้าเธอกลับมาบ้านไม่ว่าดึกแค่ไหนจะมีแม่ของเธอรอเธอกลับถึงห้องถึงจะนอนแต่ทว่าวันนี้กลับไม่เหมือนทุกครั้ง มันเงียบเสียจนน่าใจหายดรีมจึงรีบวางถุงกับข้าวแล้วเดินเข้าไปดูในห้องนอน
"แม่คะ..." ดรีมส่งเสียงเรียกถึงแม้ว่าแม่เธอจะไม่ได้ยินแต่ความเคยชินของเธอยังคงอยู่ถึงแม้จะผ่านมาหลายปี แสงสว่างที่ผ่านประตูเข้ามาทำให้พอมองเห็นภายในห้อง ที่นอนที่ว่างเปล่า ถูกปูเอาไว้อย่างเรียบร้อยไม่มีแม้แต่ร่องรอยคนนอนดรีมจึงเอื้อมมือเปิดไฟดู เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
"...แม่ไปไหน?" ดรีมรีบกดดูโทรศัพท์มือถือแต่ไม่กลับไม่มีข้อความของแม่แม้แต่ข้อความเดียวเธอจึงโทรเข้ามือถือของแม่และกดส่งข้อความหารัวๆกว่าหลายสิบข้อความ...จนกระทั่งเสียงประตูถูกเปิดออก
แกร๊ก!
"...แม่!!" ดรีมรีบเดินไปรับแม่ของเธอด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง แล้วช่วยถือถุงผลไม้ที่เต็มสองไม้สองมือ พลางพูดเบาๆปนบ่นตามประสาของคนที่เป็นห่วง เมื่อกลับมาบ้านแล้วไม่เห็นคนเป็นแม่เหมือนอย่างเคย เธอวางถุงผลไม้บนอ่างล้างจานแล้วเอ่ยถามแม่ทันที
จากนี้ในวงเล็บเป็นบทสนทนาโดยใช้ภาษามือของแม่ดรีมกับดรีม
"(แม่ไปไหนมาค่ะ)"
"(พอดีร้านก๋วยเตี๋ยวเขาขาดคนล้างจานพอดี แม่เลยไปทำแทนเขาแค่วันนี้วันเดียว)"
"(หนูตกใจมากเลย มาค่ะเดี๋ยวหนูเตรียมข้าวให้แม่เอง แม่อาบน้ำก่อนไหมคะ)"
"(ดีเหมือนกัน หนูกินก่อนเลยไม่ต้องรอแม่)"
"(หนูกินมาแล้วค่ะ)"
"(แปลกจัง ปกติหนูกลับมากินกับแม่)"
"(พอดีเพื่อน รุ่นน้องที่ทำงานพาไปเลี้ยงค่ะ)"
ดุจดาวสังเกตใบหน้าของลูกสาวที่กำลังฉายแววความสุขที่ไม่อาจปิดบังคนเป็นแม่อย่างเธอได้ และอีกอย่าง ภาษามือในตอนแรกที่ทำแค่ใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างปัดขึ้นปัดลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแบมือหนึ่งข้างแล้วคว่ำเลื่อนฝ่ามือให้ต่ำลงแล้วขยับไปที่ข้างหูปัดไปมาแทน มันทำให้ดุจดาวจับสังเกตได้ไม่ยาก เพียงแต่ดุจดาวยังไม่อยากถาม ถ้าหากว่าลูกสาวของเธอจะมีแฟนก็คงจะพามาหาเธอเอง แค่รอให้ดรีมมั่นใจ
"(รุ่นน้องมาทำงานใหม่เหรอ)" ใบหน้าของดุจดาวกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี
"(ค่ะแม่)"
"(แม่ยิ้มอะไรเหรอคะหรือว่ามีอะไรดี เล่าให้หนูฟังได้ไหมคะ)"
"(เปล่าจ๊ะ แม่แค่เห็นหนูมีความสุข แค่นี้แม่ก็มีความสุขแล้ว)"
"(จริงสิ หมวกกันน็อกของใครเหรอลูก แม่ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว พอดีแม่หลับ)"
"(...ของน้องที่ทำงานที่บริษัทค่ะแม่)" ดุจดาวพยักหน้ารับรู้อย่างช้าๆ และตอนนี้เธอเริ่มมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าตอนนี้ลูกสาวของเธอกำลังมีบางอย่างที่กำลังปิดบังเธออยู่และแน่นอนว่า น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรุ่นน้องที่ทำงาน...
"(ถ้าอย่างงั้นแม่ไปอานน้ำก่อนนะ)" ดุจดาวเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องนอนแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำด้วยใบหน้าที่มีความสุขถ้าหากว่าลูกสาวของเธอจะยอมเปิดใจรับให้ผู้ชายคนใหม่เข้ามา เพราะตั้งแต่วันนั้นลูกสาวของเธอก็ไม่เคยมองหรือสนใจผู้ชายคนไหนอีกเลย
ดรีมไม่ได้ห้ามแม่เรื่องทำงาน เพราะเธอเคยห้ามแล้วแต่แม่ของเธอก็ยังคงแอบไปทำอยู่ดีดรีมก็เลยไม่ได้ซักถามอะไรมาก ทุกอย่างเป็นไปตามกิจวัตรประจำวัน เมื่อกินข้าวเรียบร้อยเป็นดรีมที่คอยเก็บจาน ล้างจานและทำความสะอาดก่อนนอนเหมือนอย่างเคย
แฟลตตึกส้ม ห้องริมชั้นหนึ่งถึงแม้เนื้อที่จะแคบแต่คานโลกับเจมส์สั่งทำและตกแต่งห้องให้ใหม่เลยทำให้ดูน่าอยู่ ทุกอย่างเพียบพร้อมกับไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ราวกับว่าดิเชร์อยู่ที่นี้มาเกือบหนึ่งปีตามที่ตึกส้มสร้างเสร็จและเปิดให้เช่า
"นายครับ นี่คือประวัติคุณดุจดาวและคุณปลายฝัน ภิญโญครับ ส่วนอีกอันเป็นประวัติของนายชนินทร์ ธาดาศิริกุล พ่อเลี้ยงของคุณปลายฝันครับนายน้อย"
"ขอบคุณมากครับ พี่ๆไปนอนก่อนได้เลยครับ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมโทรเรียก"
"ครับนายน้อย / ครับนายน้อย" คานโลกับเจมส์เดินออกจากห้องดิเชร์เพื่อเข้าอีกห้องที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของห้องดิเชร์
ใบหน้าคมเคร่งขรึมไร้อารมณ์ แฝงไปด้วยความเยือกเย็นราวกับถอดแบบมาจากคนเป็นพ่อ ทุกครั้งที่โกรธใบหน้าจะนิ่งเต็มไปด้วยความเย็นชา เคร่งเครียดจนบางครั้งดูเหี้ยมเกรียมหากว่ามีใครมากระตุกหนวดเสือ นั่นอาจหมายถึงชีวิตหากเกินกว่าจะให้อภัย ยิ่งอ่านก็ยิ่งปวดใจทำไมต้องทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีทางสู้
"ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ" ดิเชร์พูดเสียงลอดไรฟัน ดวงตาคมหรี่ลงอย่างอันตราย มือกำเข้าหากันแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจที่มีต่อนายชนินทร์ เห็นทีเขาต้องไปปรึกษาพ่อและแม่ของเขา มันน่าจะดีกว่า...จะได้จัดการให้เด็ดขาดกันไปเลย
ดิเชร์วางประวัติของชนินทร์ลงบนโต๊ะแล้วล้วงเอามือถือของตนเองกดโทรหากลุ่มเพื่อนๆ เพื่อคุยเรื่องการซ้อมลงสนามและเรื่องของดรีม
เช้าวันต่อมา ดุจดาวเห็นดรีมอาบน้ำแต่งตัวแล้วชงกาแฟดื่มตั้งแต่ยังไม่สว่างดีจนตอนนี้เกือบจะเจ็ดโมงเช้าแล้ว เธอจึงถามออกไปว่าทำไมวันนี้จะรีบไปทำงาน หรือว่าจะไปไหนก่อนหรือเปล่า
ใบหน้าสวยแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไปแบบอ้อมแอ่ม เพราะอยู่ๆดรีมก็ทำมือแบบอ่อนแรงขึ้นมา ดุจดาวได้แต่อมยิ้มแววตาของเธอพอที่จะอ่านออกว่าตอนนี้ดรีมรู้สึกอย่างไรเธอจึงบอกกลับไปว่า
"(ถ้าไม่กินข้าวก็อย่าลืมหมวกกันน็อกนะ)" แค่นั้นก็ทำเอาดรีมไปไม่เป็น มือไม้เริ่มอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางดูเกะกะไปหมดจนดุจดาวอดขำไม่ได้กับความเขินอายของดรีม เมื่อดรีมตั้งสติได้เธอก็เดินเข้าไปหอมแก้มคนเป็นแม่หนึ่งฟอดใหญ่ๆ แล้วตอบออกไป
"(เอาไว้ เดี๋ยวหนูจะพาเขามาแนะนำนะคะแม่)" ดุจดาวพยักหน้าแล้วยิ้มกว้างให้กับดรีม
เมื่อได้เวลามอเตอร์ไซค์คันเก่าก็ขี่มาจอดที่หน้าแฟลต แล้วเปิดชิลด์เพื่อส่งยิ้มหวานให้กับดรีม
"รอนานไหม" ดิเชร์ถามในขณะที่หยิบหมวกกันน็อกจากมือดรีม ใส่ให้กับเธอแล้วเอาหลังมือแตะผ่านแก้มขาวเบาๆในขณะที่ดรีมมีสีหน้าที่แดงระเรื่อแต่ก็ไม่ได้หลบหลีกมือของดิเชร์แต่อย่างใด
"ไม่...ไปกันเถอะ" น้ำเสียงสดใสตอบออกไป ก่อนที่ดรีมจะขึ้นนั่งเหมือนอย่างเคย ตอนนี้เธอกอดดิเชร์ที่เอวได้อย่างไม่มีท่าทีที่เคอะเขินเหมือนในตอนแรกแล้ว
"หิวข้าวไหม กินอะไรมาหรือยัง" ดรีมถามเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหน้าแฟลต
"ยังเลยครับ" ดิเชร์เอามือของตัวเองจับที่มือของดรีมแล้วลูบไปมาอย่างแผ่วเบา
"เดี๋ยวแวะหน้าบริษัทนะมีหมูปิ้งข้าวเหนียว เดี๋ยวพี่เลี้ยงเองห้ามปฏิเสธเด็ดขาด"
"คร้าบ คร้าบ คุณผู้หญิง" ดิเชร์ตอบกลับลากเสียงยาวๆอย่างอารมณ์ดี
แต่สำหรับดรีมเธอนิ่ง...ราวกับว่าเคยได้ยินคำนี้เรียกเธอมาก่อน เธอหยุดนิ่งอยู่สักพักและนึกอยู่อย่างนั้นจนดิเชร์เอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าดรีมเงียบไป
"พี่ดรีมครับ พี่ดรีมเป็นอะไรไปครับ มีอะไรหรือเปล่า"
"อ๋อ เปล่าๆพี่แค่รู้สึกคุ้นๆกับคำเมื่อกี้ที่นายพูด"
"ผมพูด คำไหนครับ ผมพูดตั้งเยอะ"
"ก็คำว่า คุณผู้หญิงไงเหมือนพี่เคยได้ยินใครบางคนเรียกแบบนี้มาก่อน แต่มันนานมากแล้วนะมันลางๆ ลางเสียจนพี่นึกว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่สุดท้ายแล้ว มันยังไงรู้ไหม"
"ยังไงครับ"
"พี่ตื่นมาจากฝัน กลายเป็นว่าพี่ตื่นขึ้นมาในโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยสักเท่าไหร่...รู้ไหมผู้ชายในฝันเขาหล่อมาก"
"สรุปแล้วพี่ไม่ได้ฝัน พี่เห็นหน้าเขาหรือเปล่าครับ"
"หึใช่ๆ พี่ไม่ได้ฝัน พูดแล้วก็ขำ มันเป็นความรู้สึกน่ะพี่คิดว่าเขาคงหล่อมากๆ ทั้งจิตใจและหน้าตา"
"อยากฟังพี่เล่าจัง ว่าเรื่องเป็นยังไงต่อ"
"ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ก็แค่คืนนั้นพี่เมามาก มากเสียจนไม่ได้สติแต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ฉวยโอกาสหรือทำอะไรที่ไม่ดีกับพี่เลยนะ ตรงกันข้าม พี่จำได้ว่าผู้ชายคนนั้นอุ้มพี่ขึ้นไปส่ง แล้วจับพี่โยนลงบนเตียง นึกแล้วก็อดขำไม่ได้" ดรีมหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเล่าต่อ
"พี่ได้ยินลางๆว่า นอนทั้งอย่างงั้นนั่นแหละหรือ...นั่นแหละประมาณนั้น อ้อแล้วก็ เขาบอกชื่อพี่ด้วยนะแต่พี่เหมือนได้ยินว่าชื่อเชน แล้วผู้ชายคนนั้นชอบเรียกพี่ว่า คุณผู้หญิง นี่ไงที่พี่บอกว่าคุ้นๆมิหนำซ้ำนะ ผู้ชายคนนั้นยังจ่ายค่าโรงแรมหรูพร้อมกับอาหารเช้าเสิร์ฟถึงห้องอีกด้วย พูดแล้วก็อยากเจอผู้ชายคนนั้นอีกจัง"
"ผมหึงนะ กอดผมอยู่แต่พูดถึงผู้ชายอีกคน"
"ตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม" ดรีมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด
เอี้ยด!! รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าตีไฟชิดซ้ายแล้วจอดตรงที่เป็นถนนขอบทางสีขาว
"จอดทำไม แล้วทำไมต้องเบรกกะทันหันมันอันตรายรู้ไหม"
"ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผม และยอมรับผมเป็นแฟน" น้ำเสียงของดิเชร์เต็มไปด้วยความสุขและแววตาที่เปล่งประกายสดใส
อีกด้านที่บ้านเดี่ยวสองชั้นสไตล์โมเดิร์น ชนินทร์ที่รู้สึกไม่แน่ใจแต่ก็ต้องการไขว่าใบหน้าของผู้ชายที่มาส่งลูกเลี้ยงของตนเองนั้นเขาต้องเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแน่ๆ ชนินทร์หมกมุ่นอยู่กับหน้าข่าวสารต่างๆ และบทสัมภาษณ์ของทุกสำนักพิมพ์และคอลัมน์ มาหนึ่งวันเต็มๆ เพราะเขากำลังมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ มันอาจจะเป็นหนทางที่จะทำให้บ้านและธุรกิจของตัวเองไปรอด หากว่าผู้ชายคนที่เขาเห็นเป็นไปอย่างที่เขาคิดเอาไว้
"คุณคิดมากไปหรือเปล่า เด็กผู้ชายคนนั้นอาจจะแค่หน้าโหลหรือไม่ก็แค่คล้ายๆ...ใครสักคน" น้ำเสียงที่แหลมของมุกดาบวกกับอารมณ์ของชนินทร์ที่กำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้โมโหและดาลเดือดมากไปกว่านี้ เขาจึงหลับตาแล้วหายออกมายาวๆก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจวนเจียนหมดความอดทนกับคนตรงหน้าอย่างมุกดา
"ไม่! ผมว่าผมแน่ใจ...ว่าเคยเหมือนเห็นเด็กผู้ชายคนนั้นที่หน้านิตยสารหรือไม่ก็สำนักพิมพ์สักที่หนึ่ง"
"แล้วงานที่ไปคุยวันนั้น เขาว่ายังไงอุตส่าห์ลงทุนเลี้ยงข้าวไปตั้งเกือบหมื่น"
"เขาเลื่อนนัดเซ็นสัญญาพรุ่งนี้ คุณลืมหรือไงมุกดาถามมากจริงๆเลยนะ ไม่ใช่ว่าอยากจะหาเรื่องด่าผมก็เลยหยิบยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดไม่หยุด แล้วนี่พิ้งค์พลอยป่านนี้แล้วทำไมยังไม่ลงมาเสียที เดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอกวันนี้มีเรียนเช้านี่"
นัยน์ตาสีดำสนิทราวกับมีเพลิงพวยพุ่งออกมา ชนินทร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วพูดออกไปอีกหนึ่งประโยค
"ขึ้นไปดูลูกสิ ยืนค้ำหัวอยู่ได้ ไม่ได้เรื่อง!!"