ฉันเดินเลาะออกมาทางด้านหลังร้านด้วยอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นและฉุนเฉียวเต็มที่ พอมาถึงรถมอเตอร์ไซต์กึ่งเก่ากึ่งใหม่ที่จอดไว้อยู่หลังร้านก็ขึ้นควบทันที ซึ่งมอเตอร์ไซต์คันนี้พี่อ้อมกอดเก็บเงินซื้อมือสองมาให้ฉัน
ฉันสวมหมวกกันน็อก เอาขาตั้งขึ้น สตาร์ทเครื่องเตรียมจะขับออกไป แต่ไม่ว่าจะพยายามสตาร์ทยังไงก็ไม่ติดสักที จนฉันเริ่มหมดความอดทน ตวัดขาลงจากรถมอเตอร์ไซต์และตัดสินใจจอดทิ้งมันไว้ที่นี่
ในเมื่อมันสตาร์ทไม่ติดก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะพยายามดั้นด้นต่อไป พรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางว่าจะเอายังไงกับมันต่อดีละกัน ตอนนี้ฉันไม่สบอารมณ์กับสุดสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ เดินไปโบกพี่วินมอเตอร์ไซต์หน้าปากซอยให้ไปส่งที่บ้านดีกว่า
ขณะที่กำลังเดินไปหน้าปากซอยก็คิดหาทางออกเรื่องเงินค่าเทอมที่ต้องหาให้ได้ไปด้วย คิดไปก็ปวดหัวไปด้วย อีกนิดก็จะหัวระเบิดแล้ว
ทำงานรับจ้างล้างจานก็ได้วันละไม่กี่บาทกี่สตางค์ ร้านอาหารที่รับจ้างเสิร์ฟช่วงกลางวันก็ดันมาปิดช่วงนี้
ร้านโชห่วยใกล้บ้านก็เพิ่งลาออกไปเมื่อวันก่อนเพราะใกล้จะถึงวันเปิดเทอมแล้ว และอีกเหตุผลก็คือโดนยายเจ้าของร้านกดขี่ใช้งานอย่างหนักหน่วง
พลั่ก!
ฉันเดินเหม่อลอยพลางคิดว่าจะหาเงินมาจากไหนมาเรื่อย ๆ แบบไร้จุดหมาย แถมยังลืมเรื่องโบกวินมอเตอร์ไซต์ไปด้วย จนกระทั่งหลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อชนเข้ากับใครบางคน
“ขะ..ขอโทษค่ะ” พูดขอโทษพร้อมกับโค้งหัวให้อย่างรู้สึกผิด ก่อนดวงตาจะเบิกโพลงโตด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“มะ..อ้าวยัยใจรัก!”
“เจ๊...บอลลี่!”
เจ๊บอลลี่ คือรุ่นพี่สาวประเภทสองที่ครั้งหนึ่งเคยทำงานเสิร์ฟที่เดียวกับฉันเมื่อปีก่อน เราสองคนสนิทกันเพราะพูดคุยกันถูกคอ แต่ที่ห่างหายกันไปเพราะเจ๊บอลลี่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยและย้ายไปทำงานพาร์ทไทม์ที่อื่น หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ติดต่อกับเจ๊บอลลี่อีกเลย แอบได้ยินข่าวลือแว่ว ๆ จากพนักงานด้วยกันที่ร้านว่าเจ๊แกไปทำงานที่ผับนี่แหละ
“อ๊ายยย เป็นยังไงบ้างยัยใจรัก เจ๊โคตรคิดถึ้งคิดถึงแกเลย ไม่ได้เจอกันนานมาก”
“ก็เรื่อย ๆ อะเจ๊ เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีเรื่องให้คิดหนัก”
“มานี่ ๆ มาคุยกันหน่อยสักแป๊บ”
เจ๊บอลลี่ลากแขนฉันมายืนคุยที่มุมหนึ่งหน้าร้านกาแฟที่ปิดไปแล้ว แต่ยังมีแสงไฟหน้าร้านที่เปิดสว่างไว้อยู่
“แกคิดหนักเรื่องอะไรยัยใจรัก เล่ามาให้เจ๊ฟัง เผื่อเจ๊ช่วยแกได้”
ฉันลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูตั้งอกตั้งใจรอฟังของเจ๊บอลลี่ฉันก็ตัดสินใจเล่าออกไปให้ฟังทั้งหมด แต่เป็นแบบย่อ ๆ รวบรัดนะ
“ฉันอยากช่วยแกนะ แต่ฉันเองก็เพิ่งจ่ายค่างวดรถกับค่าเทอมไปเมื่อสองวันก่อน ตอนนี้บ๋อแบ๋มากยัยใจรัก”
“ไม่เป็นไรเจ๊ ว่าแต่เจ๊พอจะมีงานที่ทำครั้งเดียวแล้วได้เงินทีละห้าหมื่นไหม?” ฉันถามออกไปแบบโง่ ๆ ทั้ง ๆ ที่คิดอยู่แล้วว่ามันคงไม่มีงานแบบนี้หรอก งานบ้าอะไรจะทำครั้งเดียวแล้วได้ตั้งห้าหมื่นถ้าไม่ใช่ดาราที่ออกอีเวนต์แค่งานเดียวก็ได้ค่าตัวเท่านี้แล้ว
“มีมันก็มีแหละ ว่าแต่แกจะกล้าทำหรือเปล่าล่ะ”
“งานอะไรเหรอ?” ฉันเอียงคอถามด้วยความอยากรู้ หูผึ่งตาลุกวาว
“ขึ้นเตียงกับเสี่ยกระเป๋าหนักสักคน เอาไหมฉันจะดีลให้สักคน ฉันทำงานอยู่ที่บาร์ มีเสี่ยหนีเมียมาเหล่อีหนูเยอะแยะเลย”
“หา!! ไม่เอาหรอก รักไม่เอาเด็ดขาด” ฉันรีบส่ายหัวเป็นพัลวัน ให้ตายก็ไม่มีทางทำงานแบบนั้น มันคือการขายตัวชัด ๆ และฉันก็ใจไม่กล้าพอที่จะทำ อีกอย่างมันผิดศีลธรรมด้วย
“มันก็มีอยู่แค่งานนี้นี่แหละที่ได้ทีละหลายหมื่น แกคิดว่ามีงานสุจริตอย่างอื่นที่ทำได้ทีละห้าหมื่นอีกหรือไงล่ะ”
แต่ก็จริงของเจ๊บอลลี่ เพราะถ้าไม่ทำงานแบบนี้หรือทำนองนี้ก็ไม่มีทางได้เงินทีละเยอะ ๆ อย่างแน่นอน นอกจากดารานักแสดงที่ฉันเพิ่งบอกไป เฮ้ออออ~
“ไม่ลองใจกล้าทำสักครั้งล่ะ แค่ครั้งเดียวเพื่ออนาคตข้างหน้าของแกไง ดีไม่ดีถ้าเสี่ยเอ็นดูและอยากเลี้ยงดู แกอาจจะสบายไปทั้งชาติก็ได้ ไม่ต้องลำบากทำงานงก ๆ ช่วยพี่สาวแบบนี้”
“มันก็น่าสน (มั้ง) แต่รักยังซิงอยู่นะเจ๊”
“สมัยนี้เขาไม่ซีเรียสกันแล้วจ้า โลกมันไปไกลแล้ว เอากีซิง ๆ ของแกมาหาเงินแทนเก็บเอาไว้ชิงโชคยังจะดีซะกว่า ดูมีประโยชน์กว่าตั้งเยอะ”
ฉันคิดตามที่เจ๊บอลลี่พูดและอีกนิดเดียวก็จะเคลิบเคลิ้มตามไปแล้ว แต่โชคดีที่ยังพอมีสติยั้งคิดอยู่
“อย่าคิดมาก นึกถึงอนาคตของแกไว้สิ แกฝันว่าอยากเข้ามหา’ ลัยมากไม่ใช่เหรอ แค่ครั้งเดียวใจรัก”
“……”
“เงินห้าหมื่นอยู่แค่เอื้อม เพียงแค่แกตอบตกลงฉันก็จะจัดการให้ทันที...และนี่ก็คือสิ่งที่ฉันพอจะช่วยเหลือแกได้ใจรัก”