PROLOGUE [1]
PROLOGUE [1]
“แค่นี้ก่อนนะ เขามาแล้ว แกรีบๆ มาให้ไวเลย ขับรถดีๆ ด้วยล่ะ” ฉันกรอกเสียงลงไปตามสายเร็วๆ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าแล้วหันไปฉีกยิ้มให้กับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาทางฉัน
ใบหน้าของเขาคมเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรงอย่างคนรักสุขภาพและออกกำลังกายสม่ำเสมอ เส้นผมสีดำขลับที่ถูกตัดให้สั้นเสมอตามประสาผู้ชายรักสะอาดทำให้ใบหน้าดูมีออร่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงฟันขาวๆ ที่เรียงเสมอกัน บ่งบอกว่าเขาแปรงฟันอย่างถูกสุขลักษณะและน่าจะหมั่นตรวจสุขภาพช่องปากอยู่เป็นประจำ
“มองอะไรยัยมีน อะนี่น้ำ”
“อุ๊ย! พี่เมษก็...ส่งให้แบบนี้ไม่ฟาดขวดน้ำใส่หัวมีนเลยล่ะคะ” ฉันถลึงตาใส่ พลางรีบหดหัวและเอี้ยวตัวหลบขวดน้ำในมือของพี่เมษแทบไม่ทัน เพราะเขาทำท่าจะเอาขวดน้ำในมือฟาดหัวฉันจริงๆ
ใช่ค่ะ ผู้ชายที่ฉันเพิ่งจะอวดอ้างสรรพคุณตามจริงไปเมื่อครู่คือ ‘พี่เมษ’ นายเมษา มหาทรัพย์มีสกุล พี่ชายแท้ๆ ของฉันเอง ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ฉันจะหน้าตาดีเหมือนพี่ เพราะพันธุกรรมที่ดีเลยทำให้เรามีหน้าตาดีกันทั้งบ้านไงล่ะ
“รับไปสิ เมื่อกี้พี่ได้ยินเราบ่นหิวน้ำไม่ใช่รึไง” พี่เมษบอกเสียงเข้มก่อนที่เขาจะยื่นขวดน้ำเปล่าที่เปิดฝาพร้อมเสียบหลอดเอาไว้ด้านในเรียบร้อยส่งมาให้
“โห ใจดีจัง ยอมเดินไปซื้อน้ำให้น้องด้วย”
“เปล่า พี่ก็หิว พอดีกินแล้วมันเหลือ ฝากทิ้งด้วย”
“ง่ะ...พี่เมษก็” ฉันทำหน้างอใส่ ก่อนจะเปิดขวดน้ำแล้วดูดจนหมดขวดแก้เซ็ง เพราะเอาเข้าจริงก็คือพี่เมษดูดมันไปครึ่งขวดแล้ว โธ่เอ๊ย! ไอ้เราก็คิดว่ารักน้อง
“อย่าลืมที่พี่สั่งนะยัยมีน”
แล้วระหว่างที่ฉันหันไปทิ้งขวดน้ำใส่ถังขยะ พี่เมษก็ยังไม่วายจะย้ำ
“รู้แล้วค่า มีนจำได้ขึ้นใจแล้ว และขอรับรองว่ามีนจะดูแลตัวเองให้ดีตามที่พี่เมษย้ำนักย้ำหนาแน่นอน พี่เมษไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ฉันหันกลับมาอ้อนพลางฉีกยิ้มกว้างใส่
“ถ้าเราไม่ติดสอบ พี่คงลากเราไปด้วย”
“พี่เมษก็พูดเหมือนมีนไม่อยากไปงั้นแหละ เอาน่า… มีนเรียนจะจบแล้วนะคะ พี่อย่าทำเหมือนมีนอายุหกขวบแบบนั้นสิ โอ๋ๆ” ฉันยื่นมือไปตรงหน้าพี่เมษ ก่อนจะหมุนข้อมือไปมาแบบที่เขาชอบทำเวลาล้อเลียนฉัน หัวเราะเสียงดังแล้วกอดแขนพี่ชายเพียงคนเดียวของฉันเอาไว้แน่น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่เมษกำชับฉันนักหนาให้ฉันดูแลตัวเอง แต่เขาย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ย้ำจนฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าที่ผ่านมาฉันทำอะไรให้เขาคิดว่าฉันดูแลตัวเองไม่ได้หรือเปล่า
เรื่องของเรื่องก็คือ...
เมื่อวานหลังจากพี่เมษได้รับโทรศัพท์จากพ่อว่าแม่ประสบอุบัติเหตุตกบันไดที่โรงแรมที่พักจนเอ็นข้อเท้าอักเสบ ระหว่างที่พ่อกับแม่ในวัยเกษียณของเราเดินทางไปฮันนีมูนรอบที่ 32 ที่ฝรั่งเศส วันนี้พี่เมษก็เลยต้องบินด่วนตามไปที่นั่นเพื่อจะช่วยดูแลพ่อกับแม่ในเบื้องต้น ถึงพ่อจะยืนยันแล้วว่าแม่ไม่เป็นอะไรมาก รวมถึงแม่เองก็บอกว่าไหวและยังอยากจะอยู่เที่ยวต่อ แต่ฉันกับพี่เมษก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
เราสองคนพี่น้องจึงตกลงกันว่าเพื่อความสบายใจของเราทั้งคู่ คงต้องให้พี่เมษที่พอจะเคลียร์งานที่นี่ได้เป็นคนบินตามไปช่วยดูแลพ่อกับแม่จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และถ้าฉันไม่ติดสอบในวันมะรืนนี้ ฉันเองก็อยากจะตามไปด้วยเหมือนกัน
สรุปได้สั้นๆ ว่าฉันถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวยังไงล่ะ นั่นแหละเหตุผลที่พี่เมษย้ำนักย้ำหนาให้ฉันดูแลตัวเองระหว่างที่เขาต้องบินไปฝรั่งเศส
“ก็เรามันโตแต่ตัวนี่นา แล้วนี่เอากระเป๋าเสื้อผ้ามาครบเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ลืมอะไรอีกรึเปล่า”
“เอามาครบแล้วค่ะ ไม่ลืมอะไรแน่นอน” ฉันบอกอย่างมั่นใจ เพราะตรวจสอบทุกอย่างอยู่หลายรอบแล้วก่อนจะปิดกระเป๋าแล้วออกจากบ้านมาพร้อมกับเขา
งงล่ะสิ เหตุผลที่ฉันเก็บกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยทั้งที่ฉันไม่ได้กำลังจะบินไปฝรั่งเศสกับพี่เมษ ก็เพราะฉันต้องไปที่อื่นแทนยังไงล่ะ ซึ่งฉันเองก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะต้องไปอยู่ที่ไหน และกำลังนึกเซ็งอยู่ในใจแต่ต้องเก็บอาการ
“ดี แล้วนี่โทรนัด ‘ไอ้คุณ’ แล้วรึยัง”
“ยังค่ะ ตั้งใจว่ารอส่งพี่เมษขึ้นเครื่องก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยโทร”
“แล้วทำไม...”
“เอาน่าพี่เมษ มีนรับรองด้วยเกียรติของน้องสาวพี่เลยว่าหลังจากที่พี่เมษก้าวเข้าเกตไปปุ๊บ มีนจะติดต่อหาพี่คุณปั๊บ หลังจากนั้นก็จะให้ลุงยศขับรถไปส่งที่คอนโดของพี่คุณ และอยู่ที่นั่นจนกว่าพี่จะกลับมารับแน่นอน” ฉันรีบไล่เรียงลำดับการปฏิบัติตัวระหว่างที่เขาไม่อยู่ให้เขาฟัง เพราะถ้าฉันไม่พูด เขานั่นแหละที่จะเป็นคนพูด ซึ่งฉันฟังจนเบื่อแล้ว
เฮ้อ~ อะไรคือการที่เขาสั่งให้ฉันไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนของเขาระหว่างที่เขาไม่อยู่ดูแลฉัน แถมยังฝากฝังฉันเอาไว้กับเพื่อนของเขา ทั้งๆ ที่ฉันบรรลุนิติภาวะแล้ว
มิหนำซ้ำเพื่อนของเขาที่ชื่อคุณอะไรนั่นก็ยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก!
ตกลงเขาเป็นห่วงฉันจริงหรือเปล่าเนี่ย?
“ดี ท่องได้แล้วก็ทำให้ได้ด้วย”
...ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ เครื่องบินของสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 930 พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปฝรั่งเศส ขอเชิญผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่องได้ ณ ทางออกหมายเลข 12 โปรดขึ้นเครื่องได้ ขอบคุณครับ…
“พี่ต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองนะยัยมีน”
“รับทราบค่ะ พี่เมษก็เหมือนกันนะคะ ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็เดินทางปลอดภัยนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมของฝาก อ้อ...ถ้าถึงแล้วรีบโทรหามีนด้วยนะ มีนเป็นห่วงแม่” ฉันกับพี่เมษร่ำลากันพอเป็นพิธี ก่อนที่พี่เมษจะจุ๊บเหม่งฉันหนึ่งทีตามธรรมเนียมแล้วลากกระเป๋าเดินทางออกไป
เวลาที่ได้ยืนมองแผ่นหลังของพี่ชายกำลังเดินห่างออกไปแบบนี้มันรู้สึกใจหายเหมือนกันนะ ปกติแล้วฉันกับพี่เมษสนิทกันมาก ถึงเราจะอายุห่างกันตั้ง 9 ปี แต่ระยะห่างของอายุก็ทำให้เขาทำหน้าที่พี่ชายได้อย่างสมบูรณ์แบบมากๆ เขาดูแลฉันเป็นอย่างดีมาตลอดราวกับว่าฉันเป็นลูกสาวที่เขาเบ่งคลอดออกมาเอง เวลาฉันจะไปไหน เขาก็คอยรับคอยส่งหรือเวลาที่เขาจะไปไหน เขาก็มักจะชวนฉันไปด้วยกันเสมอ พอเราต้องไกลกันแบบนี้ ถึงจะแค่ไม่นาน แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนจะเหงาขึ้นมา…
...ซะเมื่อไหร่ล่ะ!!!...
“เยส!” ฉันชักศอกเข้าสีข้างเบาๆ เมื่อพี่เมษเดินลับสายตาไปเรียบร้อยแล้ว
โอ๊ย! อิสรภาพที่ฉันตามหา แม้ไม่รู้ว่าพี่เมษจะไปกี่วัน เพราะคงจะต้องรอให้พี่เมษประเมินอาการของแม่ก่อน แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่ฉันจะบิน และขอให้มั่นใจในตัวน้องมีนคนนี้เลยว่า น้องมีนจะบินให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉลองที่นานๆ จะได้ออกจากกรงทองสักที!
“ฮัลโหล ยัยแอล แกใกล้ถึงรึยัง” ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะรีบติดต่อยัยแอลเพื่อนรักพร้อมกับรีบโกยออกจากสนามบินเพื่อเดินตรงกลับไปเอากระเป๋าเดินทางที่รถ ซึ่งก่อนจะเข้าไปส่งพี่เมษ เหมือนลุงยศจะบอกว่าขอขับรถมาจอดแถวๆ นี้นี่นา
นั่นไง ฉันเจอลุงยศแล้ว
[ฮ้าววว ขอสิบห้านาที] แอลตอบพร้อมหาวเสียงดังใส่โทรศัพท์
“โอ้โห ฉันโทรตามแกตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน แล้วป่านนี้แล้วแกยังไม่ถึงเนี่ยนะ นี่แกขี่เกวียนมารึไง” ฉันอดไม่ได้ที่จะแซะ
[เอาน่า นี่มันเพิ่งจะตีสี่นะยัยมีน แกจะไม่ให้เวลาฉันแหกขี้ตาตื่นบ้างรึไง เอาเป็นว่าแกรอฉันอยู่ที่ทางออกไหนก็ไลน์บอกแล้วกัน ฉันขยี้ตาขับรถก่อน แล้วเจอกัน]
“เออๆ แกก็แบบนี้ทุกที” ฉันบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะกดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง
หลังจากที่นัดแนะกับยัยแอลเรียบร้อย ฉันก็ก้าวเท้าให้ยาวขึ้นเพื่อเร่งทำเวลา
ฉันเตรียมทุกอย่างมาพร้อมแล้ว และทุกอย่างที่ว่า ก็ไม่ได้ถูกเตรียมมาเพื่อจะไปขออาศัยอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าอย่างพี่คุณอะไรนั่นด้วย
จริงๆ ฉันค่อนข้างมั่นใจนะว่าเพื่อนพี่เมษคนนี้จะต้องไว้ใจได้ เพราะไม่อย่างนั้นพี่เมษคงไม่ไว้ใจให้ฉันไปอยู่กับเขาหรอก ยิ่งเขาเป็นผู้ชายด้วยแล้วยิ่งเป็นไปได้ยากที่พี่เมษจะไว้ใจ นั่นทำให้นอกจากฉันจะคิดว่าพี่คุณอะไรนั่นเป็นคนดีถึงดีมากๆ แล้ว ฉันยังแอบคิดว่าบางทีเขาอาจเป็นเกย์ก็ได้
มันจะมีสักกี่เหตุผลที่ทำให้พี่ชายผู้แสนจะหวงน้องสาวอย่างพี่เมษไว้ใจเพื่อนผู้ชายคนอื่นให้คอยดูแลฉันล่ะ! บอกเลยว่ายาก สั่งให้ฉันเลิกกินบุฟเฟต์ยังง่ายกว่า
“อ้าว กระเป๋าหนูไปไหนคะลุงยศ” ฉันรีบถามเมื่อเดินมาจนถึงรถ แต่พอเปิดประตูท้ายรถฉันกลับพบเพียงความว่างเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ฉันเห็นกับตาว่าลุงยศยกกระเป๋าเสื้อผ้าของฉันทั้งสองใบมาใส่ไว้ให้แล้วนี่นา
“ลุงยกไปไว้ที่รถให้แล้วครับ” ลุงยศบอกยิ้มๆ แต่ฉันนี่ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
“รถใครคะ”
“ก็รถเพื่อนของคุณเมษที่คุณเมษให้มารับคุณมีนไงครับ”
เดี๋ยว!!!
อะไรกันเนี่ย!!!