PROLOGUE [2]
“อ้าว กระเป๋าหนูไปไหนคะลุงยศ” ฉันรีบถามเมื่อเดินมาจนถึงรถ แต่พอเปิดประตูท้ายรถฉันกลับพบเพียงความว่างเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ฉันเห็นกับตาว่าลุงยศยกกระเป๋าเสื้อผ้าของฉันทั้งสองใบมาใส่ไว้ให้แล้วนี่นา
“ลุงยกไปไว้ที่รถให้แล้วครับ” ลุงยศบอกยิ้มๆ แต่ฉันนี่ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
“รถใครคะ”
“ก็รถเพื่อนของคุณเมษที่คุณเมษให้มารับคุณมีนไงครับ”
เดี๋ยว!!!
อะไรกันเนี่ย!!!
“ลุงกำลังจะโทรถามคุณหนูมีนอยู่พอดีว่าจะให้ลุงรอขับรถตามไปส่งรึเปล่าน่ะครับ”
สรุปว่าที่ลุงยังอยู่ก็เพื่อจะถามฉันแค่นี้น่ะเหรอลุ้งงง ทำไมไม่ถามเรื่องกระเป๋าฉันก่อนล่ะ ยกไปเลยแบบนี้ ทีนี้ฉันจะทำยังไง
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณหนูมีน”
“มะ… ไม่มีอะไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะลุง ลุงกลับเลยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูไปกับพี่คุณได้” ฉันพูดโดยที่ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไม ทำไม ทำไม…
มันต้องเป็นแผนการของพี่เมษแน่ๆ เลย โอ๊ย ไอ้พี่เมษ!!!
ตื๊ดๆ
แล้วพี่ชายจอมบงการของฉันก็ส่งข้อความมาพอดี นี่คงกะเวลาได้สินะว่าฉันรู้เรื่องแล้ว
‘Mr. Aries >>> อย่าดื้อล่ะ แล้วก็อย่าคิดว่าพี่รู้ไม่ทันเรา’
ขออนุญาตเกลียดพี่ชายตัวเองจะได้มั้ยนะ!
ตื๊ดๆ
ยังไม่หยุดอีก!!!
‘Mr. Aries >>>ไอ้คุณมันเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย เพราะฉะนั้นมันค่อนข้างจะเจ้าระเบียบแล้วก็เป็นคนตรงต่อเวลา
อย่าดื้อกับมันล่ะ มันไม่ดุหรอก แต่เพื่อนมันที่ชื่อเมษดุมาก ระวังไว้’
ฮือ… ฉันอยากจะร้องไห้ แค่นี้ต้องขู่กันด้วยเหรอ แล้วนี่สรุปคือเขาจะให้ฉันไปอยู่กับเพื่อนเขาให้ได้ใช่มั้ย เขามีเพื่อนเป็นอาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกให้เตรียมตัวล่วงหน้าเลยล่ะ!
ฉันกำโทรศัพท์ในมือแน่น รู้สึกอยากจะกรี๊ดเสียงดังๆ ติดตรงที่สิ่งที่ทำได้คือการเดินคอตกกลับมาที่รถยนต์คันสีดำที่จอดเลยไปข้างหน้าไม่ไกล
โอ๊ย...ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย พี่เมษนะพี่เมษ ดักทางไว้แล้วทำไมไม่บอก ฉันจะได้ไม่ต้องโทรปลุกให้ยัยแอลมารับ นี่ถ้ามันขับรถมาถึงแล้วฉันบอกว่าฉัน (จำใจ) เปลี่ยนใจไม่ไปกับมันแล้ว มีหวังมันได้ด่าฉันหูชาแน่
กระจกรถคันนั้นค่อยๆ ลดระดับลงเผยให้เห็นใบหน้าของคนขับ ที่ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาตีสี่ แต่เขากลับไม่มีท่าทีงัวเงีย หรือว่าดูเหมือนเพิ่งตื่นเลยสักนิด
ใบหน้าใสๆ ของเขาดูมีเสน่ห์มากแถมยังดูเด็กกว่าอายุตั้งเยอะ เพราะถ้าเขาเป็นเพื่อนกับพี่เมษนั่นก็แปลว่าเขาอายุ 31 ปีแล้ว กรอบหน้าชัดเป๊ะ ดวงตาคมๆ พอมองรวมๆ กับคิ้วสีดำสนิทที่เรียงเส้นสวยอย่างนั้นยิ่งทำให้เขาดูเหมือนพระเอกในนิยาย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีระเรื่อดูสุขภาพดี แถมที่ข้างแก้มใสๆ นั่นก็ยังดูเหมือนว่าเขาจะมีลักยิ้มด้วย
“ลืมอะไรรึเปล่าครับ”
นอกจากจะไม่มีท่าทีงัวเงียแล้ว ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงของเขาก็ยังละมุนมากด้วย
และคนที่เพิ่งจะพูดกับฉันไปเมื่อครู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก เขาก็คือ ‘พี่คุณ’ เพื่อนพี่เมษที่เป็นอาจารย์สอนกฎหมายนั่นแหละ
“เอ่อ มะ… ไม่ลืมค่ะ” ฉันตอบตะกุกตะกักก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถพลางลอบกลืนน้ำลาย
โอ้โห! งานดีงานละเอียดก็ไม่บอกแต่แรก
ฉันเข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วปิดประตูรถลงเบาๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่คุณ ผู้ชายที่มองเผินๆ คิดว่าเดินหลุดออกมาจากแมกกาซีน
ใช่ค่ะ! เขาหล่อมาก หล่อวัวตายควายล้ม ขนาดฉันไม่ค่อยจะหวั่นไหวกับผู้ชายหล่อๆ สักเท่าไหร่เพราะเคยชินและเห็นมาเยอะยังอดใจเต้นแรงไม่ได้เลย
“พร้อมนะ”
“พะ… พร้อมค่ะ”
พร้อมอะไรวะ? ฉันนึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ไม่ได้ถามออกไป เพราะพอพูดจบ พี่คุณก็ส่งยิ้มละมุนมาให้อีกรอบ ก่อนที่เขาจะออกรถในทันที
แม่เจ้าโว้ย หล่อแบบนี้ไม่ต้องถามเลยว่าน้องมีนจะเลือกอะไรระหว่างผู้ชายกับเพื่อน
“ฮัลโหลยัยแอล”
คิดได้ฉันก็รีบโทรกลับหายัยแอลในทันที พยายามจะพูดให้เป็นปกติที่สุดเพราะไม่อยากให้พี่คุณสงสัย ถึงเขาจะหล่อแต่ฉันก็ยังไม่แน่ใจนักหรอกว่าเขาจะอยู่ทีมฉัน ถ้าเกิดว่าฉันทำอะไรให้เขาระแคะระคาย เขาอาจจะไปฟ้องพี่เมษก็ได้ และถ้ารายนั้นรู้เรื่องเข้า มีหวังได้ซื้อตั๋วเครื่องบินบินกลับมาทันทีแน่นอน
[รู้แล้วๆ แกอย่าเร่งนักเลย ฉันจะถึงแล้ว ว่าแต่แกรออยู่ตรงไหนล่ะ]
“เอ่อ คือว่าฉัน...”
เอายังไงดีล่ะ พูดยังไงให้เขาไม่รู้ว่าเมื่อครู่ฉันเกือบจะเผ่นหนีเขาไปแล้ว
[เอ่ออ่าอะไรของแก ฉันถึงแล้วนะ เร็วๆ] ได้ทียัยแอลก็เร่งฉันกลับบ้าง
“ฉันจะโทรมาบอกแกว่าขอเลื่อนนัดวันนี้ไปก่อนน่ะ”
[เลื่อนนัดอะไรของแกวะยัยมีน]
“โทษที พอดีวันนี้พี่เมษต้องบินไปฝรั่งเศสกะทันหันน่ะ ฉันเพิ่งมาส่งเขาขึ้นเครื่องเมื่อกี้นี้เลย วันนี้ฉันก็เลยไม่อยากออกไปไหนให้เขาเป็นห่วง แกก็รู้ว่าพี่เมษเขาหวงฉันแค่ไหน”
[ยัยมีน ฉันไม่ตลกนะเว้ย ฉันถึงแล้ว แกอยู่ไหน ออกมา!]
“เอาเป็นว่าตามนั้นนะ ไว้รอพี่เมษกลับมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันนะ บาย”
[อาการนี้เทกูแน่ นังแอลโดนเพื่อนเทตอนตีสี่แน่ๆ ฉันเกลียดแกจริงๆ]
ยัยแอลโวยวายมาตามสายก่อนที่ทั้งฉันและมันจะต่างคนต่างวางสายจากกัน เอาเป็นว่าเราตกลงกันได้และทุกอย่างจบลงด้วยดี...มั้ง เอาน่า เอาไว้เจอกันแล้วฉันค่อยปิดปากมันด้วยหมูกระทะ
หลังจากวางสายจากยัยแอลไปแล้ว ฉันก็ได้แต่เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วนั่งเงียบๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ ปกติแล้วฉันไม่ใช่ผู้หญิงพูดน้อยสักเท่าไหร่ แต่จะให้พูดกับคนที่เพิ่งจะเจอกันครั้งแรกแบบสนิทสนม ฉันก็รู้สึกแปลกๆ
“พี่ชื่อคุณนะ เป็นเพื่อนกับพี่เรามาตั้งหลายปี เคยได้ยินมันเล่าถึงเราให้ฟังอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยเจอเราเลย แปลกใจอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆ ไอ้เมษก็บอกว่าจะเอาน้องสาวมาฝากเลี้ยง”
โชคดีที่พี่คุณเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน เขาคงดูออกนั่นแหละว่าฉันกำลังประหม่าเพราะไม่รู้จะวางตัวยังไงกับการเจอกันครั้งแรกของเรา ซึ่งสารภาพตามตรงว่าแอบติดใจคำพูดของเขาอยู่นิดๆ
คำว่า ‘ฝากเลี้ยง’ ที่เขาพูด มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแมวยังไงชอบกล
“ค่ะ มีนก็ยังงงๆ กับพี่เมษอยู่เหมือนกัน ยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะที่รบกวน”
“ไม่รบกวนหรอกครับ คนกันเอง คิดซะว่าพี่เป็นพี่ชายมีนอีกคนก็แล้วกัน”
ฉันแพ้ผู้ชายพูดจาเพราะๆ มาแต่ไหนแต่ไร เจอแบบนี้ก็แทบจะตายอย่างสงบไปเลย
“ว่าแต่เลี้ยงไม่ยากใช่มั้ยเราน่ะ”
อ่า...ฉันควรจะตอบเขาว่ายังไงดีนะ
ท่าทางที่เขาหันมาถามแล้วเลิกคิ้วสูงใส่ ก่อนจะหันกลับไปตั้งอกตั้งใจขับรถเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับคำถามนั่นเท่าไร ทั้งที่เขายังเอาแต่อมยิ้มตลอดเวลาแบบนั้นมันทำให้ฉันประหม่าไปหมด ลักยิ้มที่ข้างแก้มของเขาทำให้หัวใจฉันเต้นรัว น่ากลัวว่าหากฉันจ้องมองเขานานกว่านี้ฉันอาจจะหัวใจวายเฉียบพลันเลยก็ได้
“ค่ะ รับรองว่าไม่ดื้อแล้วก็ไม่ซนค่ะ” ฉันตอบไหลไปตามน้ำแล้วยิ้มจนตาหยี ได้ยินเสียงพี่คุณหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วตั้งอกตั้งใจขับรถต่อไปเงียบๆ
ยังไงดีล่ะ เปิดเกมรุกเลยมั้ย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงสายแอ๊บซะด้วยสิ!