EPISODE 01 เงื่อนไขต้องห้าม [1]

2220 Words
EPISODE 01 เงื่อนไขต้องห้าม [1]  คอนโด A “ตามสบายนะครับมีน” หลังจากที่พี่คุณปิดประตูห้อง เขาก็หันกลับมาบอกฉันที่กำลังยืนงงๆ อยู่ในห้องพัก ก่อนจะวางกระเป๋าเดินทางสองใบที่เขาเป็นคนอาสาถือมันขึ้นมาให้ไว้ที่กลางห้อง ซึ่งฉันก็ได้แต่ยิ้มขอบคุณเขาเหมือนทุกที “เดี๋ยวพี่เอากระเป๋าไปเก็บในห้องให้ก็แล้วกัน” อ่า...ที่นี่มีกี่ห้องนอนกันนะ ได้ยินแล้วอดจะสงสัยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ทันจะได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน “เอ่อ พี่คุณคะ คือว่าห้อง...” “ที่นี่มีห้องเดียวครับ แบ่งกันคนละครึ่งก็แล้วกัน พี่บอกไอ้เมษมันแล้ว มันโอเค” แล้วเขาจะไม่ถามฉันสักคำเหรอว่าฉันโอเคหรือเปล่า? “ทำหน้าแบบนั้นแปลว่าไม่ไว้ใจพี่สินะ งั้นเดี๋ยวพี่เสียสละออกมานอนที่โซฟาก็ได้” พี่คุณบอกยิ้มๆ ในขณะที่ฉันยิ้มไม่ออกเลยสักนิด ฉันจะกล้าทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ เขาเป็นเจ้าของห้องนะ ส่วนฉันน่ะมาขออาศัย แล้วอะไรคือการที่พี่เมษรู้ว่าที่นี่มีแค่ห้องนอนเดียวแล้วเขายังโอเค ทั้งที่ปกติแล้วแค่ฉันขอไปค้างกับยัยแอลเขายังไม่ค่อยไว้ใจ “ไม่เป็นไรค่ะ เราแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้ค่ะ” ฉันตอบแล้วยิ้มเจื่อน “พี่ล้อเล่นน่ะ ปกติแล้วพี่ไม่ค่อยได้เข้าไปนอนในห้องหรอก เชิญมีนตามสบายก็แล้วกัน” “อ้าว แล้วปกติพี่คุณนอนที่ไหนคะ” ฉันรีบถามด้วยความแปลกใจ “ก็โซฟานี่แหละ ส่วนมากพี่จะเตรียมการสอนจนดึกน่ะ บางทีก็ดูบอลบ้างดูหนังบ้างก็เลยนอนมันตรงนี้เลย” พี่คุณบอกยิ้มๆ ก่อนที่เขาจะยกกระเป๋าเดินทางของฉันเข้าไปเก็บในห้องตามที่เขาบอกตั้งแต่แรก จริงสินะ...เขาเป็นอาจารย์นี่นา งานหลักก็คงเป็นการเตรียมการสอน ในขณะที่นักศึกษาอย่างฉัน...อย่าให้พูดเลย ในขณะที่พี่คุณเอากระเป๋าเข้าไปเก็บให้ ฉันก็ได้แต่ยืนมองโซฟาตัวยาวตรงหน้า ซึ่งพอเห็นว่ามันสามารถเลื่อนออกมาเป็นเตียงนอนได้ ฉันก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้นอนตรงนี้ได้ เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงไม่เดินเข้าไปนอนในห้องเหมือนกันน่ะนะ จะว่าไป โดยรวมแล้วห้องพักของพี่คุณสะอาดสะอ้านมากเลยทีเดียว ข้าวของทุกชิ้นในห้องถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ กรอบรูปที่วางโชว์อยู่ทุกกรอบหันเอียงองศาแทบจะเท่ากันหมดเลยด้วยซ้ำ ไหนจะเฟอร์นิเจอร์และของแต่งห้องที่เน้นไปทางสีฟ้าและสีขาวนั่นอีก บ่งบอกว่าเจ้าของห้องน่าจะเป็นผู้ชายที่รักความสะอาดเบอร์ใหญ่เลยทีเดียว ที่มุมห้องด้านในเป็นโต๊ะทำงานของพี่คุณ ด้านหลังเป็นชั้นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือมากมาย ทุกเล่มถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและคงจะแยกเอาไว้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน สังเกตได้จากสัญลักษณ์ที่ถูกแปะเอาไว้ด้านหน้าชั้นแต่ละชั้น มุมของห้องครัวดูเรียบง่ายแต่ยังคงเน้นความสะอาดและเป็นระเบียบ ตามขอบตู้แขวนนี่ไม่มีแม้แต่ฝุ่นเกาะอยู่เลยด้วยซ้ำ จานชามช้อนถูกแยกเก็บเอาไว้เป็นสัดส่วน แม้แต่แก้วที่ดูเหมือนว่าเพิ่งจะผ่านการใช้งานมาเมื่อเช้า ก็ยังถูกแขวนเอาไว้ที่ชั้นแขวนเหนือซิงค์ล้างจานที่เงาแวบ ไม่มีแม้แต่คราบน้ำให้เห็น “หิวเหรอมีน” เสียงของพี่คุณทำให้ฉันสะดุ้งโหยงก่อนจะต้องรีบหันกลับไปยิ้มเจื่อนๆ ใส่เขาที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้อง ท่าทางตกอกตกใจของฉันทำให้เขาหัวเราะเบาๆ ในขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหัวขโมยที่ถูกเขาจับได้คาหนังคาเขาว่ากำลังสำรวจหาข้าวของมีค่าในห้องของเขาอย่างไรอย่างนั้น “นิดหน่อยค่ะ” ฉันตอบอายๆ จะปฏิเสธแล้วบอกว่าฉันกำลังแอบสงสัยว่าเขาเป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่าก็คงจะน่าเกลียด แต่สารภาพตามตรงว่าความสะอาดและเป็นระเบียบของเขามันทำให้ฉันเริ่มสงสัย “ในตู้เย็นมีสลัดอยู่นะ พี่ซื้อมาเมื่อวาน เอาออกมากินก่อนได้เลย” “อ่า...ค่ะ” นอกจากรักความสะอาดแล้วเขาน่าจะรักสุขภาพด้วยนะ อืม...ยิ่งทำให้น่าคิดยิ่งขึ้นไปอีก “งั้นเดี๋ยวมีนซื้อมาคืนนะคะ” ฉันบอกตามมารยาทก่อนจะเปิดตู้เย็นมองหาสลัด ซึ่งมันก็อยู่ตรงหน้านี่แหละ ยังไม่หิวก็จริง แต่กินสักหน่อยแก้เขินก็ได้ Rrrrr... เสียงโทรศัพท์ของพี่คุณทำให้ฉันที่กำลังจะเอ่ยปากชวนเขากินสลัดด้วยกันเป็นอันต้องเงียบลง ก่อนจะทำทีเป็นหันกลับไปหยิบอุปกรณ์การกินติดมือมา แล้วเดินมานั่งลงที่โต๊ะกินข้าว จัดการกับสลัดกล่องนั้นเงียบๆ เพียงลำพัง เฮ้อออ ฉันควรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตดีนะ เหมือนถูกลอยแพยังไงก็ไม่รู้ ออด~ เสียงออดที่หน้าห้องก็ทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นจากผักสลัดใบเขียวที่เพิ่งจะใช้ส้อมจิ้มมันขึ้นมา ในขณะที่พี่คุณที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา ซึ่งเหมือนจะคุยเรื่องงานเพราะฉันเห็นว่าเขาเปิดเอกสารอะไรบางอย่างอยู่ด้วยก็ไม่รู้ ก็เงยหน้าขึ้นมามองประตูเหมือนกัน หลังจากนั้นเขาก็หันมามองหน้าฉัน แล้วมองกลับไปที่ประตูอีกรอบ หรือว่าเขาจะให้ฉันเดินไปเปิดประตูนะ คงใช่มั้ง เขาน่าจะคุยธุระสำคัญอยู่เพราะสีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดเชียว ฉันลุกขึ้นเตรียมจะมุ่งหน้าไปที่ประตู “เดี๋ยวพี่เปิดเองครับ” เป็นอันว่าฉันนั่งลงที่เดิมอย่างรู้หน้าที่ กินสลัดต่อไป งั่ม! ออดดด~ เสียงออดครั้งที่สองดังยาวขึ้นกว่าเดิม เร่งให้พี่คุณที่เพิ่งจะวางสายโทรศัพท์และกำลังเดินไปเปิดประตูต้องก้าวเท้าให้ยาวขึ้นอีก ตื๊ดๆ แต่แล้วความสนใจทั้งหมดของฉันก็ถูกเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดึงกลับมา ยัยแอล! ‘Lalla_L >>> ถ้าแกยังไม่ตาย โทรกลับหาฉันด้วย’ อย่างน้อยมันก็รู้ว่าฉันอาจจะยังไม่สะดวกคุย ถึงได้เลือกจะไลน์มาบอกก่อนน่ะนะ ฉันจิ้มสลัดคำสุดท้ายใส่ปากพร้อมกับกดโทรศัพท์โทรกลับหายัยแอลทันที ระหว่างที่กำลังรอมันรับสายก็ยังแอบมองไปที่พี่คุณเป็นระยะๆ เพราะว่าจนป่านนี้แล้วเขาก็ยังยืนคุยกับคนที่มากดออดเรียกหน้าประตูอยู่เลย “ฮัลโหล ยังไม่ตาย มีอะไร” ฉันกรอกเสียงลงไปก่อนจะวางจานสลัดลงในซิงค์ หันกลับมาเก็บกล่องสลัดหย่อนใส่ถังขยะแล้วเดินกลับเข้ามาคุยโทรศัพท์ในห้อง ตั้งใจว่าจะเอาของออกจากกระเป๋าด้วย ไหนๆ วันนี้ฉันเองก็คงไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว [แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่าแกอยู่ไหนยัยมีน แล้วทำไมอยู่ๆ แกถึงทิ้งฉันเอาไว้กลางสนามบินตอนตีสี่ แกกล้าดียังไงหา!] มันก็พูดซะเว่อร์เลย ฉันไม่ได้ทิ้งมันไว้กลางสนามบินสักหน่อย แค่ทิ้งเอาไว้ที่ทางเข้าเอง “โทษที มีเรื่องว่ะ พี่เมษให้เพื่อนเขามารอรับฉันที่สนามบินเลย ตอนนี้ฉันอยู่ที่คอนโดของเพื่อนเขาแล้ว” ฉันสารภาพ ทั้งที่ตอนนี้ฉันเองก็อยู่ในห้องแล้วแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องกระซิบกระซาบ มันเหมือนจะเป็นการปรับตัวโดยอัตโนมัติ [ฉันว่าแล้ว พี่เมษฉลาดเป็นกรด มีเหรอเขาจะรู้ไม่ทันแก] “นั่นสิ เจ็บใจชะมัด แล้วนี่แกอยู่ไหน กลับถึงห้องรึยัง” ฉันอดจะถามไม่ได้ รู้สึกผิดอยู่นิดๆ ที่โทรตามให้มันไปรับแต่ดันทิ้งให้มันขับรถกลับคนเดียว ทั้งที่คอนโดมันกับสนามบินก็ไม่ใช่เส้นทางที่ใกล้กันเลย [เพิ่งถึงเมื่อกี้นี่แหละ ฉันก็แค่อยากถามให้แน่ใจว่าแกโอเครึเปล่า ว่าแต่เพื่อนพี่เมษเขาเป็นยังไงบ้างวะ ท่าทางไว้ใจได้มั้ย ถึงจะรู้ว่าพี่เมษคงสแกนมาดีแล้ว แต่ก็อดห่วงแกไม่ได้อยู่ดีว่ะ] ฉันซาบซึ้งจนน้ำตาจะไหล “ก็คงไว้ใจได้นั่นแหละ อีกอย่างคือ...งานดีมากเลยแก๊!!!” ฉันอยากเสียงสูงกว่านี้สักร้อยเท่าแต่ทำได้เพียงป้องปากกระซิบบอกก่อนจะกระโดดลงไปนอนบนเตียง เอาเป็นว่าขอเม้าท์ก่อน ของเอาไว้จัดทีหลัง [ฉันว่าแล้วเชียว เพราะแบบนี้แกถึงได้ยอมขึ้นรถไปกับเขาง่ายๆ สินะ แกนี่มันร้ายจริงๆ ไม่ต้องแปลกใจ หรอกว่าทำไมพี่เมษเขาถึงไม่ไว้ใจให้แกอยู่คนเดียว] ยัยแอลว่าด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แต่ฉันจะคิดซะว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน “ถึงฉันจะร้าย แต่ก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหลให้เขาเป็นห่วงสักหน่อย ช่างเหอะ...พูดถึงพี่เมษแล้วเครียด มาพูดเรื่องของเรากันดีกว่า” [แกไม่ควรใช้คำว่าเรื่องของเรา ฉันขนลุก] “เออๆ ก็เรื่องงานของเรานั่นแหละ ตกลงว่าฉันจะทำยังไงดีวะ แกช่วยคิดหน่อยดิ” ฉันรีบถามเข้าประเด็น ตอนนี้ฉันคิดว่านอกจากเรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว ฉันน่าจะยังมีปัญหาเรื่องการเดินทางเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง อย่างแรกที่รู้ก็คือฉันไม่มีรถ เพราะพี่เมษไม่ยอมให้ฉันอารถมาด้วย คงเพราะกลัวว่าฉันจะเถลไถลหรือไม่ก็คงกลัวว่าบิลค่าน้ำมันของฉันจะยาวเป็นหางว่าว พี่เมษบอกเอาไว้แค่ว่าให้ไปกลับมหา’ลัยพร้อมกับพี่คุณ แค่สองสามวันให้ฉันอดทนไปก่อน ใช่สิ...เขาก็พูดได้นี่ เขาไม่ใช่คนที่ต้องมารู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระคนอื่นอย่างฉันนี่นา ต่อให้เขาจะบอกว่าเขาบอกพี่คุณเอาไว้แล้ว หรือจะคิดว่าตัวเองสนิทกับพี่คุณมากแค่ไหนก็เถอะ คนเรามันก็ต้องเกรงใจกันบ้าง ส่วนอีกข้อนึงน่ะเหรอ ฉันไม่ชินกับการต้องคอยรายงานหรือขออนุญาตคนอื่นเวลาจะไปไหนมาไหนทั้งที่ตัวเองไม่ใช่เด็กแล้วยังไงล่ะ น่าอายชะมัด ป่านนี้ไม่รู้ว่าพี่คุณจะมองฉันเป็นเด็กไม่รู้จักโตหรือเปล่า เรียนจนจะจบแล้วพี่ชายยังหวงเหมือนเด็กสามขวบที่จำทางกลับบ้านไม่ได้เนี่ย เฮ้อ จากเดิมที่วางแผนเอาไว้ว่าจะไปขอซุกหัวนอนอยู่ที่คอนโดของยัยแอล เพื่อที่จะได้ไปไหนมาไหนพร้อมกันกับมันสบายๆ ฉันก็ดันถูกพี่เมษตลบหลังจนต้องมาอยู่กับพี่คุณที่นี่ ทุกอย่างมันก็เลยผิดแผนไปหมด [ก็ต้องตามเดิมนั่นแหละ แกรับงานไว้แล้วนี่ ดีลไว้แค่สองชั่วโมงไม่ใช่เหรอ] “ก็ใช่สิ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่จำนวนชั่วโมง แต่มันอยู่ที่ว่าฉันจะบอกพี่คุณว่ายังไง ถึงจะคิดว่าเขาคงไม่ถาม แต่ก็ไม่อยากให้มันดูน่าสงสัย” ฉันครุ่นคิดพลางลอบถอนหายใจ [ก็จริง งั้นเอางี้ เดี๋ยวฉันแวะไปรับแกก็ได้ วันนี้ฉันไม่ได้จะไปไหนอยู่แล้ว ถ้าแกบอกเขาว่าออกไปช้อปปิ้งหรืออะไรก็ได้ตามประสาผู้หญิง เขาคงไม่สงสัยหรอกมั้ง] “ฉันก็รอให้แกพูดแบบนี้อยู่พอดี” ฉันรีบบอกพร้อมกับยกขาขึ้นตีอากาศไปมาด้วยความดีใจ ก่อนจะพลิกตัวเองกลับมานอนคว่ำมองกระเป๋าเดินทางของตัวเองที่เพิ่งจะเปิดมันเอาไว้แต่ยังไม่ได้หยิบอะไรออกจากกระเป๋าเลยแม้แต่อย่างเดียว [ฉันก็รู้แต่แรกแล้วเหมือนกัน นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันอยากจะได้พี่ชายแก แกคิดว่าฉันจะลงทุนขนาดนี้มั้ยยัยมีน] “น่าร้ากก เดี๋ยวพี่เมษกลับมาเมื่อไหร่ฉันจะล่อลวงเขาไปใช้บริการนัดเดทกับแกเลย” [ผิดคำพูดนี่หมาเลยนะ] “ฮ่าๆๆ รู้น่า ขอบใจนะแก เย็นนี้เจอกัน ฉันจัดของก่อน บาย” ฉันบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนจะกดวางสายแล้วลุกขึ้นจากเตียง อย่างน้อยก็โล่งใจไปได้หนึ่งเปราะที่เย็นนี้ฉันไปทำงานที่รับเอาไว้ได้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นฉันต้องแย่แน่ๆ เลย “พี่เมษนะพี่เมษ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหยุดมีนได้เหรอคะ รู้จักมีนน้อยไปซะแล้ว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD