EPISODE 02
ขนมจีบซาลาเปา [1]
23.45 น.
“ตกลงนี่แกไปทำงานหรือว่าแกไปวิ่งกับพี่ตูนมาวะยัยมีน ทำไมถึงได้ดูหมดเรี่ยวแรงขนาดนี้ แล้วดูทำหน้าเข้า เติมฟิลเลอร์หน่อยมั้ยแก๊...” ยัยแอลถามเสียงสูงล้อเลียนฉัน ระหว่างที่มันกำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถกลับไปส่งฉันที่คอนโด เพราะตั้งแต่ที่ฉันขึ้นรถมากับมัน ฉันยังไม่ได้พูดกับมันเลยสักคำเดียว เอาแต่นั่งถอนหายใจซ้ำๆ สลับกับทำหน้าเซ็งและหงุดหงิด
“ก็เพราะไปทำงานไงฉันถึงเหนื่อย ดีลไว้สองชั่วโมงแต่ดันขอต่อเวลา แถมยังทำเกินข้อตกลง มีหน้ามาเมาใส่ฉันอีก เป็นแก แกจะไม่เหนื่อยเหรอวะยัยแอล”
“ก็ไม่นะ”
“ถามจริง!!!” ฉันร้องถามเสียงสูงเพราะตั้งใจจะประชดใส่มัน
“ก็จริงดิ ต่อเวลาก็ได้เงินเพิ่ม แถมนอกรอบ แกก็ได้เงิน แล้วเท่าที่เห็นแกก็ยังได้กระเป๋ามาอีกตั้งสามใบ เหนื่อยก็คุ้มแหละน่า”
“แต่แกอย่าลืมนะว่าถ้ามีคนรู้เข้า มันจะไม่คุ้ม ยิ่งกับฉันที่ต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับพี่เมษนี่ยิ่งน่ากลัว ไม่รู้ว่าป่านนี้โทรหาฉันจนสายไหม้ไปแล้วรึยัง” ฉันอดไม่ได้ที่จะบ่น ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ เพราะกำลังเซ็งสุดขีด
“เอาน่า ครั้งหน้าก็ระวังเอาไว้หน่อยแล้วกัน”
“ภาวนาขอให้ฉันรอดไปรับงานคราวหน้าเถอะ” ฉันหันไปบอกก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถเพราะว่าตอนนี้ยัยแอลจอดรถที่หน้าคอนโดแล้ว
บ้าชะมัด โทรศัพท์ฉันดันแบตหมดไปตั้งแต่ห้าโมงเย็น และความซวยก็คือฉันดันไม่ได้หยิบพาวเวอร์แบงค์ใส่กระเป๋ามาด้วยน่ะสิ ก่อนหน้านี้ฉันชาร์จมันเอาไว้ในห้องนอนแล้วดันลืมหยิบไปด้วยซะได้
“ใจเย็นๆ โว้ย ถ้าแกมีเหตุผลดีๆ ไปตะล่อม เดี๋ยวพี่เมษเขาก็ยอมแกเหมือนทุกทีนั่นแหละ” ยัยแอลลดกระจกลงแล้วตะโกนบอก
“ขอให้จริง ขอบใจนะแก แล้วเจอกันวันสอบ”
“เออๆ ฝันดี”
ฉันยิ้มเจื่อน ตอนนี้ฉันว่าเราอย่าเพิ่งมองการณ์ไกลไปถึงฝันเลย เอาเป็นว่าขอแค่ให้ฉันได้มีโอกาสนอนหลับสนิทก่อนจะดีกว่า เพราะมันมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากๆ ที่ฉันจะโดนพี่เมษเทศนายาวจนอาจไม่ได้นอน
ติ๊ง!
เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นก่อนที่ประตูลิฟต์จะเคลื่อนตัวออกจากกันเมื่อมันพาฉันมาถึงชั้นที่สิบสาม ซึ่งเป็นชั้นที่พักของพี่คุณ
จริงสิ นอกจากพี่เมษแล้ว ก็อาจจะมีพี่คุณอีกคนที่เป็นด่านสำคัญ เพราะถ้าหากว่าพี่เมษติดต่อฉันไม่ได้ เขาจะต้องติดต่อพี่คุณก่อนแน่นอน เพราะว่าตอนนี้ฉันอยู่ในความรับผิดชอบของเขา
ออด~
ภาวนาขอให้พี่คุณจะยังเดินมาเปิดประตูให้ฉันก็แล้วกัน ฉันรู้ว่านี่มันดึกแล้ว แต่จะให้ฉันทำยังไงถ้าไม่กดออดเรียก
หลังจากฉันกดออดหน้าห้องและยืนรอยังไม่ทันจะถึงสองนาที บานประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยเจ้าของห้อง
อึก!
ฉันถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เมื่อถูกพี่คุณมองด้วยสายตาว่างเปล่า ต่อให้ความจริงแล้วเราจะเพิ่งเจอกันเมื่อเช้า นั่นเท่ากับว่ายังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงที่เราได้ทำความรู้จักกัน แต่ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยรู้สึกว่าสายตาของเขาเฉยชาได้ขนาดนี้เลย มิหนำซ้ำปกติแล้วบนใบหน้าของเขามักจะมีแต่รอยยิ้มที่แม้มันจะเป็นแค่การอมยิ้มหรือยิ้มจางๆ ก็ตามที แต่ตอนนี้น่ะเหรอ นอกจากไม่ยิ้มแล้วเขายังไม่พูดกับฉันสักคำ
“ขอโทษที่กลับช้าค่ะ” ฉันรีบบอก ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาในห้องด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก ส่วนพี่คุณก็เดินกลับไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานของเขาราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจกับการกลับมาของฉันเลยสักนิด
“พี่ว่ามีนโทรบอกไอ้เมษก่อนเถอะ มันพยายามติดต่อมีนตั้งแต่ช่วงเย็นแล้วน่ะ”
ถึงเขาจะยังพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่กลับไม่มองหน้าฉันเลยแม้แต่นิดเดียว
“ค่ะ พอดี...”
“พี่เห็นเราชาร์จพาวเวอร์แบงค์ไว้ในห้องน่ะ ทีหลังถ้ารู้ว่าแบตจะหมด ก็ให้โทรบอกก่อนหรือว่าส่งข้อความทิ้งเอาไว้ก็ยังดี เวลาที่ติดต่อไม่ได้ คนอื่นเขาจะได้รู้สาเหตุ”
เหมือนถูกพี่คุณเอาพาวเวอร์แบงค์ตบหน้าอย่างไรอย่างนั้น
“ค่ะ ขอโทษค่ะ” ฉันขอโทษพร้อมกับยกมือไหว้พี่คุณอีกครั้ง ก่อนจะเดินคอตกกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังและสารร่างพังๆ ของตัวเอง
โอ๊ย! ฉันควรจะทำอะไรก่อนดีล่ะเนี่ย
ชาร์จแบต! ใช่ ก่อนอื่นเลยฉันควรจะชาร์จแบตโทรศัพท์ จากนั้นก็รีบโทรกลับหาพี่เมษ หาเหตุผล ข้ออ้าง หรือว่าข้อแก้ตัวดีๆ ไปอ้อนเขาซะ ยอมโดนเขาเทศนาสักหน่อยเขาก็คงจะหายโกรธ
ฉันพยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติ ก่อนจะเดินมาหยิบพาวเวอร์แบงค์ที่ฉันชาร์จเอาไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ซึ่งตอนนี้สายชาร์จถูกดึงออกแล้ว แถมยังถูกพันเก็บเอาไว้เรียบร้อยเลยด้วย
ฝีมือพี่คุณแน่ๆ เขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นผู้หญิงที่หาความเป็นระเบียบไม่ได้ แล้วไอ้ที่เก็บสายชาร์จนี่เขาจะเอาคืนหรือเปล่านะ ฉันขอยึดเป็นของตัวเองเลยจะได้มั้ย ดูเหมือนว่ามันจะทำจากหนังอย่างดี แถมยังมีชื่อของเขาสลักเอาไว้ด้วย
เฮ้อ! ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าตัวเองทำความผิดใหญ่หลวงเอาไว้ทั้งที่ฉันแค่กลับผิดเวลา ซึ่งเอาเข้าจริง ฉันก็ตอบตัวเองได้นั่นแหละว่าการกลับดึกหรือไม่ดึกไม่ใช่ความผิดโดยตรง แต่ฉันผิดที่ดันปล่อยให้โทรศัพท์แบตหมดจนทำให้คนอื่นติดต่อไม่ได้จนพวกเขาเป็นห่วงน่ะสิ
ทำไมฉันไม่คิดให้ได้ก่อนหน้านี้นะ จริงอย่างที่พี่คุณบอกว่าอย่างน้อยฉันก็ควรจะโทรบอกพี่เมษกับเขาไว้ก่อน หรือแค่ส่งข้อความบอกพวกเขาสักนิด เพราะอีตาบ้านั่นแท้ๆ เลยที่ทำให้ฉันยุ่งจนลืมคิดเรื่องนี้ไป
ก๊อกๆๆ
“เข้ามาได้เลยค่ะพี่คุณ” ฉันรีบบอกเมื่อได้ยินเสียงพี่คุณเคาะประตู ก่อนจะละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ไปมองพี่คุณที่กำลังเดินเข้ามา
“อะ” พี่คุณยื่นโทรศัพท์ของเขาส่งมาให้ เดาได้ทันทีเลยว่าพี่เมษคงจะรอสายฉันอยู่แน่ๆ
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณพี่คุณก่อนจะรับโทรศัพท์ของเขามาด้วยความเกรงใจ ในขณะที่พี่คุณเดินกลับออกไปเงียบๆ ราวกับแค่ตั้งใจจะเอาโทรศัพท์เข้ามาให้
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกแย่เพราะการไม่รักษาคำพูดของตัวเอง กลับห้องผิดจากเวลาที่บอกเขาเอาไว้ ทำให้เขาต้องเป็นห่วง มิหนำซ้ำยังทำให้เขาต้องเดือดร้อนมาคอยตอบคำถามพี่เมษแทนฉันอีก เฮ้อ…
“ค่ะพี่เมษ”
[หายไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับ ไอ้คุณบอกว่าเราบอกมันไว้ว่าจะออกไปซื้อของ ไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง จะกลับไม่ดึก แล้วทำไมติดต่อไม่ได้ โทรศัพท์หายรึว่าถูกขโมย]
ฉันควรจะตอบคำถามไหนของพี่เมษก่อนดี
“มีนขอโทษค่ะพี่ แต่พอดีมือถือแบตหมด แล้วมีนก็ดันลืมเอาพาวเวอร์แบงค์ไป แค่ออกไปซื้อของแล้วแวะกินข้าวกับยัยแอลค่ะ” ฉันสารภาพเสียงอ่อย นาทีนี้ห้ามเสียงดัง ห้ามเถียง ไม่อย่างนั้นคืนนี้ฉันไม่ได้นอนเพราะโดนพี่เมษเทศนายาวทั้งคืนแน่
[แล้วซื้อของกับแวะกินข้าว ทำไมเพิ่งกลับ เราไปเถลไถลที่ไหนมา]
“ก็...” ก็อะไรดีล่ะ
[ก็อะไร]
ก็ยังคิดคำตอบไม่ออก!!!