EPISODE 03
ตัวสำรอง [1]
“หมดเวลาค่ะ”
โอ๊ย...ฉันขอทดเวลาสอบอีกสักครึ่งชั่วโมงไม่ได้หรือไงกันนะ!
“ขอให้โชคดีนะจ๊ะคุณมีนาภรณ์” อาจารย์อวยพรพร้อมกับฉีกยิ้มให้ฉันหลังจากที่ยื่นมือมากระตุกกระดาษคำตอบในมือไปเรียบร้อยเพราะฉันยังคงถือมันเอาไว้อย่างหวงแหนทั้งที่เดินมายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาจารย์แล้ว
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยช่วยให้นางสาวมีนาภรณ์แคล้วคลาดปลอดภัยจากเอฟด้วยเทอญ ส้าธุ!
“ยัยมีน”
กำลังนึกถึงพระถึงเจ้าอยู่แท้ๆ ผียัยแอลโผล่มาทำไม
“รอดมะ” ฟังมันถามสิ
“คิดว่าน่าจะรอดนะ แล้วแกอะ” ฉันย้อนถาม และท่าทางที่ยัยแอลกลอกตาไปมาก็พอจะบอกได้ว่า...
“ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่ะ คงผ่าน แต่ได้แค่ไหนก็อีกเรื่อง” ยัยแอลสารภาพ ก่อนที่ทั้งมันและฉันจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
จริงๆ ข้อสอบมันก็ไม่ได้ยากหรอก และฉันก็ค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ ส่วนหนึ่งเพราะฉันมีติวเตอร์ดี ซึ่งคงจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากพี่เมษ
แต่ที่น่าเสียดายก็คือฉันเป็นคนเขียนหนังสือช้า นั่นทำให้หลายต่อหลายครั้งที่ฉันทำข้อสอบไม่เสร็จเพราะเขียนไม่ทันเวลาน่ะสิ ไม่รู้ว่าต้องแก้ยังไงเหมือนกัน พยายามจะฝึกเขียนเร็วๆ แล้วแต่ทำไม่เคยได้สักที มันเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับฉันมากจริงๆ ใครไม่เป็นคงไม่มีทางเข้าใจ
ตื๊ดๆ
เสียงเตือนจากโทรศัพท์ของยัยแอลสั่นขึ้นมา จนฉันที่กำลังจะหันไปพูดกับมันต้องพยักพเยิดให้มันสนใจโทรศัพท์ไปก่อน ส่วนฉันก็ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเหมือนกัน เพราะบอกพี่คุณเอาไว้ว่าสอบเสร็จแล้วจะโทรบอก
[สอบเสร็จแล้วเหรอ]
ทำไมเขารับโทรศัพท์เร็วจัง เสียงสัญญาณรอสายดังครั้งแรกยังไม่ทันจบเขาก็รับสายแล้ว ทำเอาฉันตกอกตกใจ
“ค่ะ มีนเพิ่งออกจากห้องสอบเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
[รอพี่ที่หน้าตึกก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่แวะกลับไปส่งเราก่อน]
แปลว่าเขาต้องกลับมาสอนอีกงั้นเหรอ ฉันรู้สึกเกรงใจเขาจัง
“พี่คุณติดสอนรึเปล่าคะ ถ้ายังไงมีนรอกลับพร้อมพี่คุณทีเดียวเลยก็ได้นะคะ พี่คุณจะได้ไม่ต้องขับรถไปขับรถมา” ฉันถามด้วยความเกรงใจ ใจหนึ่งก็อยากกลับ แต่อีกใจก็รู้สึกเกรงใจเขา เพราะเขาเป็นเจ้าของห้อง
[ไม่ได้ติดสอนหรอก แต่พอดีช่วงเย็นพี่มีธุระน่ะ]
เอาแล้วสิ ทำยังไงดีนะ
“ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมีนไปเดินเล่นกับเพื่อนก่อนก็ได้ พี่คุณทำธุระไปเถอะค่ะ แล้วถ้าพี่คุณกลับถึงห้องแล้วพี่คุณค่อยโทรบอกมีน แล้วมีนค่อยให้เพื่อนแวะไปส่ง"
[ถ้าเราไม่ได้อยากจะไปที่อื่น ก็รอพี่ที่หน้าตึกนั่นแหละ ไม่เกินสิบห้านาที]
“เอ่อ ก็ได้ค่ะ” ฉันตอบรับแบบงงๆ ทั้งที่รู้สึกเกรงใจที่เขาจะต้องขับรถกลับไปส่งฉันก่อน แล้วก็ต้องขับออกมาอีกรอบ แต่น้ำเสียงของเขาเมื่อครู่ก็เข้มซะจนฉันแย้งไม่ออกจริงๆ
“คุยกับใครวะ ใช่อาจารย์คุณเพื่อนพี่เมษ ที่แกไปอยู่กับเขาปะ” ยัยแอลรีบถามด้วยความสอดรู้ ฉันหันไปมองค้อนใส่มันพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
“อืม เขาบอกให้ฉันรอไม่เกินสิบนาที เดี๋ยวมารับ”
“เออ ฉันก็กำลังจะบอกแกพอดีว่าวันนี้ฉันมีเดท” ยัยแอลบอกพลางเก็บโทรศัพท์ของมันลงกระเป๋าเหมือนกัน ซึ่งฉันก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เพราะการที่มันบอกว่ามีเดท ก็แปลว่าวันนี้มันไม่ว่างแล้วเหมือนกันนั่นแหละ
“ดีลไว้กี่ชั่วโมงล่ะ” ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม
“ชั่วโมงเดียว ตอนแรกจะไม่รับ แต่พอดีฉันว่างๆ ก็เลยรับงานแก้เซ็ง ไหนๆ ช่วงนี้แกเองก็ออกไปไหนไม่ได้อยู่แล้วนี่”
นั่นสินะ ช่วงนี้ฉันคงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้าแต่คอนโด (ของพี่คุณ) ไปก่อนจนกว่าพี่เมษจะกลับ ฉันถึงจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วพี่คุณจะไม่ได้ห้ามให้ฉันไปไหนมาไหน แต่ฉันก็ยังเกรงใจเขาอยู่ดี เพราะถ้าพูดตามตรงก็คือไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวหรอกที่ต้องปรับตัว พี่คุณเองก็คงต้องปรับตัวด้วยเหมือนกันเพราะเขาต้องมาคอยห่วงหน้าพะวงหลังกับฉัน
และอีกอย่างคือฉันไม่ค่อยจะสะดวกเรื่องการเดินทาง จะให้ยัยแอลคอยขับรถรับส่งก็เกรงใจมันอีกคน ต่อให้มันจะเต็มใจทำเพราะหวังจะฟันพี่เมษของฉันก็ตามที
“จริงสิ พอพูดถึงเรื่องงานแล้วฉันก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ถามจริงว่าพี่เมษเขาไม่รู้จริงเหรอวะ เรื่องที่แกรับงานแบบนี้อะ ฉันว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้ก็ได้นะ ไม่อย่างนั้นเขาจะส่งแกไปอยู่กับเพื่อนเขาระหว่างที่เขาไม่อยู่เหรอ ทั้งที่บ้านแกก็หลังออกใหญ่โต คนขับรถแม่บ้านอะไรก็มีพร้อม ดูสะดวกสบายกว่าตั้งเยอะ ใช่ว่าเขาไม่อยู่แล้วแกจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในชุมชนแออัดซะเมื่อไหร่”
ยัยแอลถามซะยาวเหยียดก่อนที่มันจะนั่งลงที่โต๊ะม้าหินอ่อนด้านข้างตึกเพราะมันคงไม่ได้จะรีบไปไหน ในขณะที่ฉันก็คงต้องนั่งรอพี่คุณอยู่แถวนี้
“แกคิดว่าถ้าพี่เมษรู้ เขาจะทำเป็นไม่รู้มั้ยล่ะ” ฉันย้อนถาม
“เออ ก็จริง ถ้าเขารู้ว่าน้องสาวเพียงคนเดียวที่เขาโคตรจะหวงรับงานเดทกับผู้ชายไม่เลือกหน้า มีหวังบ้านแตกแหงๆ โอ๊ย! ยัยมีน เจ็บนะโว้ย” ยัยแอลร้องโวยวายเมื่อฉันเอื้อมมือไปดีดปากมันเต็มแรงอย่างตั้งใจ
“แกจะเสียงดังทำไม อยากให้พวกปากหอยปากปูมาได้ยินรึไง”
“โทษที ลืมตัว”
มันยังจะมีหน้ามาบอกว่าลืมตัวอีก เฮ้อ~
ฉันถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง เพราะถึงจะไม่ค่อยสนใจปากคนอื่น และไม่ได้สนว่าใครจะคิดยังไงกับสิ่งที่ฉันเลือกทำ แต่บางครั้งมันก็อดจะรำคาญไม่ได้หรอก และอีกอย่างคือถ้าหากฉันได้ยินคนพูดจาไม่เข้าหู ฉันจะองค์ลงน่ะสิ!
“เฮ้อ แล้วแกคิดจะปิดพี่เมษไปอีกนานแค่ไหนวะ ฉันว่าถ้าแกไม่เลิกทำงานนี้ซะก่อน ก็ต้องโดนพี่เมษจับได้เข้าสักวันแน่ๆ”
นอกจากจะปากสว่างแล้วมันยังปากเสียอีก รู้งี้น่าดีดให้ปากแตกไปซะตั้งแต่แรก
“เอาน่า ก็รอให้วันนั้นมาถึงก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้ฉันยังสนุกอยู่ อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่ เกิดมาหน้าตาดีก็ต้องใช้ให้คุ้ม เงินก็ได้ แถมยังได้กินฟรีเที่ยวฟรี ที่สำคัญคือฉันไม่ได้ไปหลอกใครนะเว้ย ฉันว่าเอาเวลาไปทำงานให้เต็มที่ ดีกว่าเอาความสวยกับเงินไปเปย์ผู้ชายแล้วได้เขาบนหัวกลับมาเป็นไหนๆ” ฉันบอกอย่างมั่นใจ
“เออๆ เอาไงก็เอากัน ภาวนาขอให้พี่เมษของแกเขาไม่จับโป๊ะได้ก็แล้วกัน ว่าแต่เรื่องเพื่อนของเขาล่ะ ฉันจะถามแกตั้งแต่วันก่อนแล้วก็ยังไม่ได้ถามสักที สรุปว่าเขาเป็นอาจารย์สอนที่นี่จริงดิ” ยัยแอลถามขึ้นมาอีกเรื่อง
“อืม สอนกฎหมาย ป.โท ภาคอินเตอร์ ฉันเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะปกติแล้วพี่เมษไม่เคยแนะนำเพื่อนของเขาให้ฉันรู้จักจริงจังสักคน ส่วนมากจะแค่ได้ยินชื่อเวลาที่เขาพูดถึงให้ฟังแบบผ่านๆ แต่ก็น้อยอยู่ดี” ฉันบอกเซ็งๆ
ถึงจะไม่ได้แปลกใจ แต่มันเจ็บใจนะ มีอย่างที่ไหนมีเพื่อนสอนอยู่ที่มหา’ลัยที่ฉันเรียนอยู่แต่ไม่เคยพูดให้ฟังเลย ฉันชักจะสงสัยแล้วว่าที่ผ่านมาเขาเคยให้พี่คุณแอบจับตาดูความประพฤติของฉันบ้างหรือเปล่า คิดแล้วเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจพวกเขาทั้งคู่เลย
“โอ้โห โปรไฟล์ดีเว่อร์ ถามจริงว่านี่ตกลงพี่เมษเขาหวงแกเบอร์ไหนวะถึงขนาดไม่เคยแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนเขาเลยเนี่ย อย่าถามถึงเรื่องแต่งงาน ต้องถามว่าชีวิตนี้แกจะได้มีแฟนสักคนมั้ยมากกว่า”
“นั่นดิ นี่ไม่รู้ว่าฉันพลาดมากี่คนแล้ว” ฉันถอนหายใจพลางชักสีหน้าเซ็งหนักกว่าเดิม แต่ยัยแอลกลับหัวเราะเสียงดัง
คิดถึงเรื่องพลาดแล้วก็เป็นอันต้องถอนหายใจซ้ำๆ ถึงก่อนหน้านี้ฉันจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเพื่อนพี่เมษมีใครงานดีบ้างเพราะเขาไม่เคยปล่อยหลุดมาให้ฉันเจอเลยแม้แต่คนเดียว แต่กับพี่คุณนี่สิ มีโอกาสได้เจอแล้ว แถมยังได้ทำความรู้จักกันด้วย แต่เขากลับประกาศชัดเจนว่าฉันเป็นผู้หญิงต้องห้ามเพราะเป็นน้องสาวเพื่อน มิหนำซ้ำยังเหมือนจะรู้ทันฉันไปซะหมด ทำเอาฉันรู้สึกสิ้นหวังชะมัด