“จูบจากผู้ชายพวกนั้น ไม่ได้ทำให้ใจกู…สั่น” ฉันบอกมันไปตามความจริง ถ้าจะบอกว่าฉันลองจูบกับผู้ชายหลายคนเพื่อหาเขาคนนั้น มันจะดูแปลกเกินไปไหม แต่ฉันเคยทำแบบนั้นจริงๆ เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้จูบฉันไปและเป็นคนแรกที่ทำให้ใจฉัน..สั่น ตอนแรกฉันคิวว่าเขาคงเป็นคนเดียว…
“มึงจะบอกว่า ไอ้หน้ากากเหยี่ยวดำ ที่มึงก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร คนนั้น ทำให้มึงใจสั่นงั้นหรอ”
“....” ฉันพยักหน้ารับ นี่เป็นเรื่องเดียวที่ฉันไม่ได้บอกมัน เรื่องของความรู้สึกในวันนั้น
“นี่คือสาเหตุที่มึงตามหาเขาสินะ” คิ้วของคนที่สนทนากับฉันยังคงผูกเป็นโบว์ไม่คลายออกเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นฉันเคยชวนมันไปตามหาเขาที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมฝั่งตรงข้ามทุกเย็นหลังเลิกเรียนเป็นเวลาหลายเดือน ด้วยความที่อยากรู้ว่าถ้ามันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง มันจะยังเหมือนเดิมอยู่ไหม สุดท้ายฉันได้คำตอบว่ามันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นอีกเลย แต่นั่นมันกับคนอื่นนะ เพราะฉันไม่รู้ว่าหน้ากากเหยี่ยวดำคนนั้นเป็นใคร
“ก็ใช่ แต่กูเลิกคิดเรื่องนี้ไปนานแล้ววะ” ตั้งแต่ฉันย้ายไปอยู่ต่างประเทศเรื่องนี้ก็เลือนหายไปจากความทรงจำฉัน
“แล้วอยู่ๆ ทำไมมึงถึงพูดขึ้นมา อย่าบอกนะ…”
“กูว่า…” ฉันบิดตัวหันตรง สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง มองเส้นขอบฟ้าที่ฉันชอบมองเป็นประจำเป็น ในหัวก็คิดถึงแต่… “กูเจออีกคนที่ทำให้กูเป็นแบบนั้น…ทำให้กูใจสั่นได้แบบวันนั้น” ฉันพูดขึ้นหลังจากที่เงียบไปสักพัก ก่อนจะหันไปสบตาเพื่อนตัวเองอีกครั้ง
“อย่าบอกนะว่า…” คราวนี้มันอ้าปากค้างกว่าตอนที่เห็นฉันในชุดนี้อีก
ฉันเองก็อึ้งไม่ต่างจากมันหรอก แปลกมาก…ทำไมเขาถึงทำให้ใจฉันสั่นได้ในตอนที่เราจูบกัน ทั้งที่เขาไม่ใช่คนแรกที่ได้จูบฉันไปและคงไม่ใช่คนเดียวกันที่มันจะกลายเป็นครั้งที่สอง แต่ทำไมความรู้สึกมันเหมือนกับตอนนั้นมาก มากจนแทบจะแยกไม่ออก
ก็คงทำได้แค่ภาวนาให้มันไม่เกิดขึ้นอีกก็แล้วกันนะ
จ๊ะจ๋ามันก็ดูเหมือนอยากจะถามอะไรฉันต่อนะ ถ้าไม่ติดว่ามีคนยกอาหารมาให้พอดี ฉันก็คงต้องนั่งตอบคำถามมันไปอีกยาวๆ
บวกกับได้เวลาที่ฉันต้องลงมาเริ่มพิธีแรกของวันพอดี
ฉันเอื้อมคว้าลูกบิดก่อนจะถอนหายใจแรงให้กับชีวิตตัวเองหลังจากนี้ที่มันอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก่อนจะเปิดประตูออกมา เดินตรงไปหาอาม่าที่ยืนรอฉันอยู่ตรงทางลงบันไดและเราก็เดินลงไปพร้อมกัน
งานช่วงเช้าไม่มีอะไรมากเป็นพิธีภายในครอบครัวที่มีแต่ญาติแล้วก็คนสนิท ฉันรู้สึกไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้เลยแฮะ มันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกลับกันมันทำให้รู้สึกอึดอัดมากกว่าที่ต้องยกมือไหว้คนนั้นคนนี้ที่ไม่รู้จัก บางทีก็งงนะ ญาติฝ่ายไหน โผล่มายังไง
ฉันมองลงมาเห็นเจ้าบ่าวของตัวเองที่นั่งอยู่ตรงโซฟากลางห้องโถง วันนี้เขาอยู่ในชุดสูทที่เป็นสีเดียวกับฉัน ดูเรียบร้อยขึ้นผิดหูผิดตา ดูไม่ใช่เขาเลยสักนิด…แต่ก็ถือว่าดูดี
ฉันก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้ายพร้อมกับอาม่าและหยุดยืน คนที่ได้ชื่อว่าจะมาเป็นสามีในนามของฉันลุกขึ้นจากโซฟา หลุบมองชุดที่ฉันใส่เงียบๆ
เงียบแบบนี้หมายความว่าไง
นี่มันชุดที่เขาเลือกเองไม่ใช่รึไง
จะบอกว่ามันไม่สวยรึไง
อาม่าสะกิดฉันเบาๆ ก่อนจะหันไปเห็นผู้ใหญ่สองท่านเดินเข้ามาจากทางขวามือ ถ้าฉันจำไม่ผิดสองคนนี้คือคุณลุงกับคุณป้า เพื่อนของป๊าและยังเป็นว่าที่พ่อแม่สามีของฉันอีกด้วย
ฉันยกมือไหว้ท่านทั้งสองตามมารยาท ท่านยิ้มรับไหว้
“เราไปกันเลยดีไหมคะ” คุณป้าถามอาม่าพร้อมรอยยิ้มและพากันเดินไปทางประตู ในจังหวะที่หัน วูบหนึ่งฉันรู้สึกว่านายมธุษินทร์จ้องฉันอยู่ก่อนที่จะแสร้งมองทางอื่น
ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันเลย มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดขึ้นไปเป็นเท่าทวี ที่ต้องอยู่ใกล้เขา ทำกิจกรรมหลายอย่างด้วยกัน โดยไม่มีการพูดจา
หลายครั้งที่เขาจับมือฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ฉันไม่สามารถสะบัดหรือด่าเขาได้ ฉันจะขาดใจตายก่อนเสร็จพิธีบ้าๆ พวกนี้ไหมนะ
“ยิ้มหน่อย” เขากระซิบข้างหูฉันในจังหวะที่กำลังรับพรจากพระสงฆ์หลังจากตักบาตรเสร็จ ถ้าฉันหันไปแยกเขี้ยวให้เขาตอนนี้จะบาปไหม พระท่านจะเห็นรึเปล่านะ ฉันทำได้แต่ตวัดตามองคาดโทษเขาไว้ก่อน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ฉันคิดว่ามันเป็นที่ช้าที่สุดในชีวิต
ไทยเสร็จก็ต่อด้วยจีน
ฉันต้องไปเปลี่ยนชุด เพื่อมาเข้าพิธีจีนต่อ…
ถอนหายใจไปเป็นพันๆ รอบ
มองนาฬิกาแล้วก็ท้อ ยังไม่ผ่านไปครึ่งวันเลย
….
….
เวลาล่วงเลยมาจนถึงงานเลี้ยงปิดจบงานในช่วงค่ำ พลังที่ฉันไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้วจนถึงตอนนี้ฉันทำได้แค่หมอบลงบนโต๊ะแต่งหน้าในห้องแต่งตัว ทุกคนที่ถูกจ้างมาพากันทยอยออกไปหาอะไรกินหมดแล้ว ทางสะดวก ฉันขอหลับสักงีบแล้วกันนะ…
“เดี๋ยวหน้าก็เละหมดหรอก”
“ก็ฉันเหนื่อยนิ” ฉันตอบออกไปอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะคิดได้ว่านี่มันเสียงของ…
“คุณ!” ฉันผงกหัวขึ้นด้วยความตกใจ เห็นนายมธุษินทร์ยืนยิ้มพิงโต๊ะที่ฉันฟุบนอน “ทำไมไม่ไปอยู่ในงานเล่า!!” ฉันถามเพราะคิดว่าเขาต้องอยู่รับแขกในงาน ไม่มีเจ้าสาวแต่ยังมีเจ้าบ่าวก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เล่นมาอยู่หลังงานทั้งคู่ เดี๋ยวอาม่าก็โวยวายขึ้นมาอีก แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
“ก็เจ้าสาวหาย มาตามหาเจ้าสาว”