DEEP LOVE : 18

1129 Words
“จูบจากผู้ชายพวกนั้น ไม่ได้ทำให้ใจกู…สั่น” ฉันบอกมันไปตามความจริง ถ้าจะบอกว่าฉันลองจูบกับผู้ชายหลายคนเพื่อหาเขาคนนั้น มันจะดูแปลกเกินไปไหม แต่ฉันเคยทำแบบนั้นจริงๆ เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้จูบฉันไปและเป็นคนแรกที่ทำให้ใจฉัน..สั่น ตอนแรกฉันคิวว่าเขาคงเป็นคนเดียว… “มึงจะบอกว่า ไอ้หน้ากากเหยี่ยวดำ ที่มึงก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร คนนั้น ทำให้มึงใจสั่นงั้นหรอ” “....” ฉันพยักหน้ารับ นี่เป็นเรื่องเดียวที่ฉันไม่ได้บอกมัน เรื่องของความรู้สึกในวันนั้น “นี่คือสาเหตุที่มึงตามหาเขาสินะ” คิ้วของคนที่สนทนากับฉันยังคงผูกเป็นโบว์ไม่คลายออกเลยแม้แต่น้อย ในตอนนั้นฉันเคยชวนมันไปตามหาเขาที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมฝั่งตรงข้ามทุกเย็นหลังเลิกเรียนเป็นเวลาหลายเดือน ด้วยความที่อยากรู้ว่าถ้ามันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง มันจะยังเหมือนเดิมอยู่ไหม สุดท้ายฉันได้คำตอบว่ามันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นอีกเลย แต่นั่นมันกับคนอื่นนะ เพราะฉันไม่รู้ว่าหน้ากากเหยี่ยวดำคนนั้นเป็นใคร “ก็ใช่ แต่กูเลิกคิดเรื่องนี้ไปนานแล้ววะ” ตั้งแต่ฉันย้ายไปอยู่ต่างประเทศเรื่องนี้ก็เลือนหายไปจากความทรงจำฉัน “แล้วอยู่ๆ ทำไมมึงถึงพูดขึ้นมา อย่าบอกนะ…” “กูว่า…” ฉันบิดตัวหันตรง สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง มองเส้นขอบฟ้าที่ฉันชอบมองเป็นประจำเป็น ในหัวก็คิดถึงแต่… “กูเจออีกคนที่ทำให้กูเป็นแบบนั้น…ทำให้กูใจสั่นได้แบบวันนั้น” ฉันพูดขึ้นหลังจากที่เงียบไปสักพัก ก่อนจะหันไปสบตาเพื่อนตัวเองอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่า…” คราวนี้มันอ้าปากค้างกว่าตอนที่เห็นฉันในชุดนี้อีก ฉันเองก็อึ้งไม่ต่างจากมันหรอก แปลกมาก…ทำไมเขาถึงทำให้ใจฉันสั่นได้ในตอนที่เราจูบกัน ทั้งที่เขาไม่ใช่คนแรกที่ได้จูบฉันไปและคงไม่ใช่คนเดียวกันที่มันจะกลายเป็นครั้งที่สอง แต่ทำไมความรู้สึกมันเหมือนกับตอนนั้นมาก มากจนแทบจะแยกไม่ออก ก็คงทำได้แค่ภาวนาให้มันไม่เกิดขึ้นอีกก็แล้วกันนะ จ๊ะจ๋ามันก็ดูเหมือนอยากจะถามอะไรฉันต่อนะ ถ้าไม่ติดว่ามีคนยกอาหารมาให้พอดี ฉันก็คงต้องนั่งตอบคำถามมันไปอีกยาวๆ บวกกับได้เวลาที่ฉันต้องลงมาเริ่มพิธีแรกของวันพอดี ฉันเอื้อมคว้าลูกบิดก่อนจะถอนหายใจแรงให้กับชีวิตตัวเองหลังจากนี้ที่มันอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก่อนจะเปิดประตูออกมา เดินตรงไปหาอาม่าที่ยืนรอฉันอยู่ตรงทางลงบันไดและเราก็เดินลงไปพร้อมกัน งานช่วงเช้าไม่มีอะไรมากเป็นพิธีภายในครอบครัวที่มีแต่ญาติแล้วก็คนสนิท ฉันรู้สึกไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้เลยแฮะ มันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกลับกันมันทำให้รู้สึกอึดอัดมากกว่าที่ต้องยกมือไหว้คนนั้นคนนี้ที่ไม่รู้จัก บางทีก็งงนะ ญาติฝ่ายไหน โผล่มายังไง ฉันมองลงมาเห็นเจ้าบ่าวของตัวเองที่นั่งอยู่ตรงโซฟากลางห้องโถง วันนี้เขาอยู่ในชุดสูทที่เป็นสีเดียวกับฉัน ดูเรียบร้อยขึ้นผิดหูผิดตา ดูไม่ใช่เขาเลยสักนิด…แต่ก็ถือว่าดูดี ฉันก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้ายพร้อมกับอาม่าและหยุดยืน คนที่ได้ชื่อว่าจะมาเป็นสามีในนามของฉันลุกขึ้นจากโซฟา หลุบมองชุดที่ฉันใส่เงียบๆ เงียบแบบนี้หมายความว่าไง นี่มันชุดที่เขาเลือกเองไม่ใช่รึไง จะบอกว่ามันไม่สวยรึไง อาม่าสะกิดฉันเบาๆ ก่อนจะหันไปเห็นผู้ใหญ่สองท่านเดินเข้ามาจากทางขวามือ ถ้าฉันจำไม่ผิดสองคนนี้คือคุณลุงกับคุณป้า เพื่อนของป๊าและยังเป็นว่าที่พ่อแม่สามีของฉันอีกด้วย ฉันยกมือไหว้ท่านทั้งสองตามมารยาท ท่านยิ้มรับไหว้ “เราไปกันเลยดีไหมคะ” คุณป้าถามอาม่าพร้อมรอยยิ้มและพากันเดินไปทางประตู ในจังหวะที่หัน วูบหนึ่งฉันรู้สึกว่านายมธุษินทร์จ้องฉันอยู่ก่อนที่จะแสร้งมองทางอื่น ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันเลย มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดขึ้นไปเป็นเท่าทวี ที่ต้องอยู่ใกล้เขา ทำกิจกรรมหลายอย่างด้วยกัน โดยไม่มีการพูดจา หลายครั้งที่เขาจับมือฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ฉันไม่สามารถสะบัดหรือด่าเขาได้ ฉันจะขาดใจตายก่อนเสร็จพิธีบ้าๆ พวกนี้ไหมนะ “ยิ้มหน่อย” เขากระซิบข้างหูฉันในจังหวะที่กำลังรับพรจากพระสงฆ์หลังจากตักบาตรเสร็จ ถ้าฉันหันไปแยกเขี้ยวให้เขาตอนนี้จะบาปไหม พระท่านจะเห็นรึเปล่านะ ฉันทำได้แต่ตวัดตามองคาดโทษเขาไว้ก่อน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ฉันคิดว่ามันเป็นที่ช้าที่สุดในชีวิต ไทยเสร็จก็ต่อด้วยจีน ฉันต้องไปเปลี่ยนชุด เพื่อมาเข้าพิธีจีนต่อ… ถอนหายใจไปเป็นพันๆ รอบ มองนาฬิกาแล้วก็ท้อ ยังไม่ผ่านไปครึ่งวันเลย …. …. เวลาล่วงเลยมาจนถึงงานเลี้ยงปิดจบงานในช่วงค่ำ พลังที่ฉันไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้วจนถึงตอนนี้ฉันทำได้แค่หมอบลงบนโต๊ะแต่งหน้าในห้องแต่งตัว ทุกคนที่ถูกจ้างมาพากันทยอยออกไปหาอะไรกินหมดแล้ว ทางสะดวก ฉันขอหลับสักงีบแล้วกันนะ… “เดี๋ยวหน้าก็เละหมดหรอก” “ก็ฉันเหนื่อยนิ” ฉันตอบออกไปอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะคิดได้ว่านี่มันเสียงของ… “คุณ!” ฉันผงกหัวขึ้นด้วยความตกใจ เห็นนายมธุษินทร์ยืนยิ้มพิงโต๊ะที่ฉันฟุบนอน “ทำไมไม่ไปอยู่ในงานเล่า!!” ฉันถามเพราะคิดว่าเขาต้องอยู่รับแขกในงาน ไม่มีเจ้าสาวแต่ยังมีเจ้าบ่าวก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เล่นมาอยู่หลังงานทั้งคู่ เดี๋ยวอาม่าก็โวยวายขึ้นมาอีก แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว “ก็เจ้าสาวหาย มาตามหาเจ้าสาว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD