ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนฉันจะผละออกจากเขาในตอนที่โปรดิวเซอร์จัดงานคนหนึ่งปรี่เข้ามาหาเรา
“ได้เวลาขึ้นเวทีแล้วนะคะ”
ฉันพยักหน้ารับและหันเข้าหากระจกบานใหญ่เพื่อสำรวจตัวเองอีกรอบ นายมธุษินทร์ยกยิ้มมุมปากให้ฉันผ่านเงาสะท้อนในกระจกก่อนจะเดินตามโปรดิวเซอร์ออกไป ฉันเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ของเขาจริงๆ นะ
….
….
ด้านหน้าเวทีมีแขกเหรื่อเต็มไปหมด ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ส่วนมากฉันไม่รู้จัก บรรดาเพื่อนๆของพวกเรา พอฉันและเขาเดินมาหยุดอยู่กลางเวทีที่ไม่สูงจากพื้นเท่าไหร่ พอที่จะก้าวขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้บันไดได้ ตามมาด้วยเสียงปรบมือดังระงม แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ออกไปทางรำคาญด้วยซ้ำ
ส่วนด้านซ้ายถัดไปจากพิธีกรก็เป็นอาม่า แม่ของฉันและพ่อแม่ของเขา
ทุกอย่างดำเนินไปโดยที่ฉันไม่ได้สนใจแม้แต่เสียงประกาศออกไมค์ของพิธีกร จนกระทั่งเธอเอาไมค์มายื่นให้ฉัน
“คะ...?”
“พูดอะไรหน่อยค่ะ” เขากระซิบบอกฉันเบาๆ ฉันรับไมค์มาถือไว้ในมือสักพัก ก่อนจะนึกออกว่าจะพูดอะไร...
“เฮ้อออ…” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ผ่านไมโครโฟนในมืออย่างตั้งใจ บรรยากาศตอนนี้กลับกลายเป็นเงียบสงัดลงในพริบตา รู้จักสงครามเย็นกันไหม...มันคล้ายกับสถานการณ์ที่ฉันกำลังก่อขึ้นในเวลานี้
“ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์มา ทั้งที่บางคนก็ไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำ” ทุกคนในงานเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พากันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ส่วนผู้ชายที่ยืนข้างฉันก็ไม่ต่างจากแขกด้านหน้าเวทีสักเท่าไหร่ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อตามกรอบหน้าที่ผุดขึ้นบางส่วนทั้งๆ ที่ในห้องรับรองแห่งนี้อากาศต่ำๆ ก็น่าจะอยู่ที่ยี่สิบสององศาประมาณนั้น
“เออ…” พิธีกรหญิงพยายามขอไมค์คืน แต่ถูกปฏิเสธด้วยสายตาพิฆาตจากฉัน ส่งผลให้เธอทำได้แค่หลุบมองต่ำและถอยห่างออกไป
ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ในมือของทุกคนมีแก้วแชมเปญสุดหรู ที่ใช้แสดงความยินดีกับฉันในวันนี้
“เราสองคน” ฉันพูดพร้อมกับเหลือบมองหน้าผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาเองก็กำลังมองฉันอยู่เช่นกัน มองแบบถลึงตานะ เขาคงกลัวว่าฉันจะพูดอะไรไม่เข้าท่า ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะหันกลับมาโฟกัสบรรดาผู้คนด้านหน้าเวทีต่อ ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันในจังหวะที่ขยับปากพูดต่อจากประโยคที่ทิ้งค้างไว้
“ถูกบังคับให้แต่งงานกัน เพราะต้องการต่อยอดของธุรกิจบ้าบอระหว่างสองครอบครัว และฉันไม่มีความยินดีเลยสักนิด แต่ทุกคนดูมีความสุขกันมากๆ เลยนะคะ เอาเลยค่ะ สนุกได้เต็มที่เลย…”
อี๊ดดดดด!!!
ฉันยังพูดไม่ทันจบ นายมธุษินทร์ก็แย่งไมค์ไปจากมือฉันตามด้วยเสียงหอนของไมค์ดังก้องไปทั่ว ก่อนที่เขาจะปิดมันและส่งคืนให้พิธีกร จังหวะนั้นฉันเห็นว่าทุกคนข้างล่างว่างแก้วแชมเปญลงบนโต๊ะเกือบจะพร้อมกัน ใจจริงพวกเขาคงอยากปามันทิ้งลงพื้นเลยด้วยซ้ำ แต่คงไม่มีใครกล้าพอจะทำแบบนั้น แขกในงานนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ เพราะงั้นไม่มีใคร...ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด
“พูดบ้าอะไรของเธอ” เขากดเสียงต่ำข้างหูฉัน
“ก็พูดเรื่องจริงไง”
“...” เขาเงียบ หลับตาลงชั่วครู่พยายามสงบอารมณ์ก่อนจะลืมตาขึ้นมองฉันอีกครั้ง
“ทำไม เราควรโกหกพวกเขาว่าเรารักกันหรอ ไร้สาระ...” ฉันชิงพูดขึ้นก่อนในจังหวะที่เขากำลังจะขยับริมฝีปาก ประโยคของเขาจึงตกมาอยู่หลังจากที่ฉันพูดจบ
“แต่เธอควรไว้หน้าผู้ใหญ่บ้าง”
ฉันเหลือบไปทางผู้ใหญ่ที่เขากำลังพูดถึง พวกท่านยืนมองฉันด้วยสายตาผิดหวัง ความจริงไม่ควรมีใครคาดหวังกับฉันตั้งแต่แรกรึเปล่า ทำไมฉันต้องเป็นคนเดียวที่แบกรับทุกอย่าง
“ฉันควรคิดถึงพวกเขางั้นหรอ แล้วใครคิดถึงฉันบ้าง” ฉันพูดเสียงเรียบทั้งที่สายตายังจ้องอยู่ที่ผู้เป็นแม่ ท่านเป็นคนเดียวที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นบนใบหน้า ไม่ว่าจะยินดีหรือผิดหวัง ราวกับท่านไม่ไยดีต่อการกระทำฉันเลยสักนิด เจ็บชะมัด..
“มานี่” เขาลากฉันลงจากเวทีไปทางด้านหลัง ทิ้งภาระด้านหน้าให้พิธีกรบนเวทีเป็นคนรับผิดชอบต่อ
ฉันสับขาที่สวมรองเท้าส้นสูงเกือบสองนิ้วตามคนข้างหน้า จะล้มแหล่มิล้มแหล่ ขาก็ยาว เดินก็เร็ว ไม่เห็นใจฉันบ้างเลยรึไงนะ
เขาเปิดประตูซูเปอร์ของตัวเองที่จอดไว้ตรงทางออกและดันตัวฉันเข้าไปนั่งบนเบาะ ก่อนจะปิดมันลงอย่างแรง จนฉันสะดุ้งโหยง และไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงของอีกฝั่งที่ดังไม่แพ้กัน เจ้าของรถขึ้นมานั่งประจำที่เรียบร้อย
ดูเหมือนครั้งนี้เขาโมโหมากจริงๆ นั่นอาจเป็นเพราะฉันลืมนึกถึงพ่อกับแม่ของเขา รู้สึกผิดตอนนี้...ก็คงไม่ทันแล้ว
สติฉันกลับเข้าร่างในตอนที่แผ่นหลังตัวเองแนบติดเบาะ มือเล็กรีบเอื้อมดึงเบลท์มาคาดและเสียบลงล็อกทันที เขาขับรถเร็วกว่าฉันเยอะเลยนะเนี่ย หวังว่าคงจะไม่มีข่าวบนท้องถนนลงหน้าโซเชียลพรุ่งนี้หรอกนะ ฉันจะรอดไปถึงวันที่ได้มีชีวิตอิสระอีกครั้งไหมเนี่ย
ตลอดทางมีแต่ความเงียบและความเร็ว ฉันไม่กล้าขยับตัวด้วยซ้ำ เขาเหยียบมิดไมล์หรือยังนะ ตอนที่ฉันโมโห ฉันขับเร็วเท่านี้ไหมนะ เพิ่งรู้ว่าการขับรถตอนโมโหมันน่ากลัวก็วันนี้แหละ
เอี๊ยดดดดด!!!
ฉันยกมือขึ้นยันแผงคอนโซลหน้ารถหลังจากที่เขาเลี้ยวเข้าจอดหน้าคอนโดแห่งหนึ่งแบบกะทันหันจนเสียงเบรกดังสนั่นไปทั่ว
“ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง อย่าทำแบบนี้เพื่อจะประชดแม่ของเธออีก”