ไอรินเอ่ยออกอย่างมาดมั่นพร้อมกับถ่ายทอดความเจ็บปวดออกมาในน้ำเสียงและแววตา
คุณพ่อลูกหนึ่งอย่างคิรากรยังคงทำหน้าที่ดูแลลูกชายอย่างเต็มที่ แม้ชีวิตครอบครัวจะไม่สมบูรณ์แบบแต่เขาก็ใส่ใจและเอาใจใส่เด็กชายตัวน้อยสุดความสามารถเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้
เขาเลือกพาลูกออกมาอยู่คอนโดตั้งแต่แยกทางกับไอริณ เพราะความเห็นต่างและความขัดแย้งในครอบครัวที่เกิดขึ้นหลังจากหย่าขาดกับแม่ของลูก ส่งผลให้นักธุรกิจหนุ่มเลือกที่จะเลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวเอง
แม้กะรัตจะขอร้องหลายครั้งหลายคราให้เขาและลูกชายย้ายกลับไปที่บ้านแต่คิรากรก็ยังคงปฏิเสธเพราะไม่อยากปล่อยให้ลูกชายต้องได้ฟังผู้เป็นแม่พูดถึงไอริณในทางเสียหาย
“พี่คีย์ทานข้าวลูก ป๋าสั่งไก่ทอดของโปรดของพี่มาให้ด้วยนะ” พ่อครัวจำเป็นแกะกล่องอาหารมาจัดใส่จานเตรียมให้ลูกชาย
คนตัวเล็กเดินคอตกทำหน้าบึ้งเดินมานั่งประจำที่ราวกับถูกบังคับ
“ไม่กินได้ไหมอะ พี่ไม่หิวครับป๋า” เด็กชายเลื่อนจานอาหารบนโต๊ะออกห่างตัว
“ไม่หิวก็ต้องกินนะครับคนเก่ง จะได้มีแรงไปวิ่งที่ฟิตเนสกับป๋าไง” คิรากรพยายามเกลี้ยกล่อมคนตรงหน้าสุดกำลัง
“ก็พี่ไม่อยากกิน” เด็กชายส่ายหน้าไปมาไม่ยอมท่าเดียว คนเป็นพ่อจึงเดินมานั่งข้างๆ
“ไม่สบายรึเปล่าฮึ ทีเมื่อวานยังแย่งป๋ากินไก่ทอดอยู่เลย” มือหนายกขึ้นแตะหน้าผากคนตัวเล็กด้วยความห่วงใย น้อยครั้งนักที่คนตรงหน้าจะงอแง ซึ่งการจัดการเหตุการณ์แบบนี้ในแต่ละครั้งก็เล่นเอาเขาเหงื่อตกไปเยอะเหมือนกัน
“ป๋าครับ พี่อยากคุยกับมามี้” เด็กชายบอกสิ่งที่ต้องการพร้อมใบหน้าเศร้าๆ
“ไม่ได้ครับ ที่อังกฤษตอนนี้น่าจะสิบโมงกว่ามามี้คงทำงาน เราคุยกันแล้วไงว่าจะคุยตอนที่มามี้ว่างเท่านั้นรอก่อนได้ไหมอีกสองชั่วโมงเดี๋ยวป๋าโทรให้” คิรากรพยายามให้เหตุผลกับลูกอย่างที่ผ่านมาแต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ผล…
“ถ้าไม่ได้คุยกับมามี้ตอนนี้ พี่ก็จะไม่กินข้าว!”
“คีย์! ชักจะดื้อใหญ่แล้วนะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาล้อเล่น ป๋าไม่ง้อนะจะบอกให้ไม่กินก็ไม่ต้องกิน!” น้ำเสียงหนักแน่นและใบหน้าเคร่งขรึมของคนเป็นพ่อทำให้เด็กชายสะดุ้ง
“ฮึก! ฮือ! ป๋าว่าพี่ ป๋าใจร้าย พี่ไม่รักป๋าแล้ว!” คนตัวเล็กร้องไห้น้ำตาอาบแก้มวิ่งเข้าห้องนอนด้วยความเสียใจ
“เดี๋ยว! คีย์! คีย์!” คิรากรไม่เคยตีลูกและไม่เคยด่าทอหรือขึ้นเสียงใส่ แต่ครั้งนี้เขาเก็บอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ
ก๊อกๆ
“คีย์! เปิดประตูให้ป๋าเดี๋ยวนี้นะ” มือหนาบิดลูกบิดไปมาแต่มันกลับถูกล็อกด้วยฝีมือของคนด้านใน
“ไม่! ฮึก! ฮือ!” เด็กชายยกมือขึ้นปาดน้ำตา มองไปยังประตูห้องที่คั่นกลางระหว่างพ่อและตัวเอง
“คีย์! ป๋าโมโหแล้วนะบอกให้เปิดไง แค่ออกมาทานข้าวมันยากเย็นขนาดนั้นเลยใช่ไหม?” คนเป็นพ่อกำหมัดแน่นอย่างข่มอารมณ์
“ฮึก! ฮือ! จะคุยกับมามี้! อยากอยู่กับมามี้!” เด็กชายตะโกนลั่นห้องอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“จะงอนก็งอนไป ป๋าไม่ง้อนะ” เป็นเขาที่เสียงอ่อนลงเมื่อคิดได้ว่าตัวเองก็ผิดที่เผลอขึ้นเสียงกับลูก
“ฮึก! ฮือ” เสียงร้องไห้ของคนตัวเล็กคือสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินเพราะได้ฟังทีไรมันบีบหัวใจของเขาทุกครั้ง
คิรากรเดินวนไปมาที่หน้าห้องนอนของลูกชายด้วยความกังวล ก่อนจะตัดสินใจต่อสายโทรศัพท์ไปหาแม่ของลูกในที่สุด
“ไอซ์ พี่เองนะ”
“โทรมาทำไมคะ ลูกเป็นอะไรรึเปล่า?” ไอริณรีบถามเพราะปกติ คิรากรไม่ค่อยโทรมาเวลาที่เธอทำงาน
“คุณไอซ์ครับ เรียบร้อยแล้วนะครับ” เสียงที่แทรกเข้ามาเป็นเสียงผู้ชายทำให้คิรากรคิ้วขมวดขึ้นมาทันที
“ขอบคุณค่ะ” ไอริณหันไปคุยกับพนักงานขณะที่ถือสายโทรศัพท์กับอดีตสามี
“ไอซ์อยู่ไหนทำไมพี่ได้ยินเสียงผู้ชาย?” เขาถามออกไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าไม่เกี่ยวกับลูก ไอซ์จะวางแล้วนะ...”
“เดี๋ยว! คือ…ลูกไม่ยอมกินข้าว ล็อกห้องหนีพี่ พี่บอกให้เปิดก็ยังไม่ยอมเปิดพี่ไม่รู้จะทำยังไง”
“อะไรนะ! แล้วพี่ดุแกรึเปล่า?” ไอริณถามเช่นนี้เพราะรู้นิสัยของลูกชายและนิสัยของคิรากรเป็นอย่างดี
“คือ…”
“พูดความจริงมาค่ะ คนอย่างคีย์ถ้าไม่โดนดุหรือขัดใจแกจะไม่เป็นแบบนี้” เธอให้เหตุผลตามจริง
“ก็ลูกไม่ยอมทานข้าวเพราะอยากคุยกับไอซ์ พี่กลัวว่าจะไปกวนเวลางานของไอซ์เลยไม่โทรให้ แล้วลูกก็งอแงอย่างที่พี่เล่าให้ฟัง”
“ไอซ์เคยบอกพี่คินแล้วว่าถ้าอะไรที่เกี่ยวกับลูกให้โทรมาได้เลยไม่ต้องรอ”
“แต่พี่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่อยากตามใจจนเคยตัว” เขาเองก็มีเหตุผลของเขาเช่นกัน เห็นแบบนี้ใช่ว่าเขาจะตามใจลูกเสียทุกอย่าง
“กับลูกแม้จะเรื่องเล็ก พี่ก็ควรจะใส่ใจ มีโอกาสได้ดูแลก็ทำให้เต็มที่ไม่ใช่ทำแบบทิ้งๆ ขว้างๆ”
“พี่ไม่เคยทิ้งขว้างลูกนะ”
“ทุกคนก็พูดเอาดีใส่ตัวกันทั้งนั้นแหละค่ะ”
“นี่ไอซ์!”
“อย่าเพิ่งชวนทะเลาะ เอากุญแจสำรองไปเปิดประตูห้องลูก แล้วก็เอาโทรศัพท์ไปให้ลูก ไอซ์จะคุยกับแกเอง”
“แต่…”
“ถ้ากลัวเสียฟอร์มก็แค่ยื่นโทรศัพท์ให้ลูกก็พอค่ะ ที่เหลือเดี๋ยวไอซ์จัดการเอง”
“พี่ไม่ได้กลัวเสียฟอร์ม แต่แค่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับลูกยังไง”
“เปิดประตูแล้วบอกว่าโทรหาไอซ์ให้แล้ว เดี๋ยวลูกก็จะวิ่งมาหาพี่เอง”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
“ก็ลองดูก่อนสิคะ”