ผู้หญิงที่มี Equality อยู่นี่ไง

2132 Words
ครบหนึ่งเดือน รถพร้อมคนขับมารับฉันถึงบ้าน เพื่อพาไปหาผู้ชายคนนั้น เขาชื่ออะไรนะ ...เคเซน... เคเซนกำลังนั่งไขว่ห้างรอฉันอยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อเห็นฉัน เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูงกว่าฉันน่าจะเกือบยี่สิบเซ็นต์ รูปร่างของเคเซนไม่หนา เหมือนคนทั่วไปในประเทศของเขา เหมือนคนที่ออกกำลังกายอยู่ตลอดเวลา ฉันยกมือสวัสดี เพราะถือว่าคือมารยาท ถ้าอยู่ในเครื่องแบบฉันก็ต้องตะเบ๊ะแทน ฉันนั่งลงตรงข้ามมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ ฉันยังไม่ได้บอกรายละเอียดเธอ ในการที่เธอจะต้องเข้าประเทศของฉัน ” ฉันเลิกคิ้ว งงกับคำพูดของเคเซน นี่เราไม่ได้เข้าประเทศของเขาอย่างปกติหรอกหรือ “ เธอจะต้องเข้าประเทศในฐานะ ภรรยาของฉัน เราต้องอยู่บ้านเดียวกัน เธอต้องจดทะเบียนกับฉันเพื่อภารกิจทุกอย่างจะได้ง่าย ” ฉันลุกขึ้นยืน ตกใจกับคำบอกเล่า ทำไมเขาไม่บอกเงื่อนไขนี้ก่อนที่ฉันจะรับเงิน นั่นสิเมื่อเรียกเงินห้าสิบล้าน เขาจึงตกปากรับคำอย่างง่ายดาย “ ทำไมเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว นายไม่บอกฉันก่อน...ถ้าฉันรู้ว่ามันยุ่งยากขนาดนี้ ฉันไม่ตกลงหรอก ฉันเพิ่งอายุยี่สิบสอง ฉันยังไม่อยากมีครอบครัว แล้วอีกอย่าง ฉันจะทำงานให้นายแค่สามปี หลังจากนั้นเราก็ต้องเลิกกัน ฉันต้องกลับเมืองไทย โดยมีมลทินติดตัวกลับมาด้วย...ฉันไม่ตกลงแล้ว ฉันจะคืนเงินให้นายทุกบาททุกสตางค์ ” ฉันโวยวายเสียงดังลั่น ด้วยความโมโห สรรพนามจากคำว่าคุณ เปลี่ยนไปแล้ว กำมือตัวเองแน่น พยายามระงับอารมณ์โกรธของตัวเองสุดชีวิต “ เธอกำลังเข้าใจผิด เราจะไม่มีอะไรต่อกัน ฉันจะไม่แตะต้องเธอ เหตุผลทางการเมืองครั้งนี้ เพื่อที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้ไม่สงสัย ในการเข้าประเทศของเธอ ” “ นายก็พูดได้สิ นายเป็นผู้ชายนี่ ผู้หญิงต้องอยู่แทบเท้า ทำตัวราวกับทาสผู้ซื่อสัตย์ ต้องก้มหน้ายอมให้ผู้ชายอย่างพวกนายมีเมียได้อีกหลายๆ คน เวลาเบื่อก็เฉดหัวทิ้ง ถูกสังคมรังเกียจเมื่อสามีไม่ต้องการ หรือไม่ก็กลายเป็นตัวเสนียดของสังคม ” คำพูดที่กำลังพรั่งพรูออกจากปาก ทำให้เคเซนขมวดคิ้วเข้มก่อนเบิกตากว้าง แล้วเงยหน้า หัวเราะเสียงดัง ฉันได้แต่ค้อนเขาตาคว่ำ “ ฮ่ะๆๆ ไปเอาข้อมูลที่ไหนมา สมัยนี้ทุกอย่างเปิดกว้างมากขึ้น ที่เธอพูดนั่นมันสมัยโบราณแล้วมั้ง ” “ แต่ประเทศของนายก็ยังมีประเพณี วัฒนธรรม ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ” “ แต่มันกำลังจะเปลี่ยน ฉันถึงต้องมายืนง้อผู้หญิงที่มี Equality อยู่นี่ไง ” ฉันยิ้มออกกับคำพูด อย่างเป็นกันเองของเขา และเมื่อคิดถึงเงินห้าสิบล้านนั่น ฉันก็จะกลายเป็น หม้ายทรงเครื่อง( ไม่งกเลยสักนิด ) “ ฉันตกลงก็ได้ แต่นายต้องสัญญาก่อนว่า เราจะแต่งงานเพื่อการเข้าประเทศ ของฉันอย่างเดียว ห้ามก้าวก่ายในส่วนที่ฉันไม่อนุญาต และเมื่อครบสามปี นายต้องจดทะเบียนหย่าให้ฉันโดยไม่มีข้อแม้ ” เคเซนเดินเข้ามาใกล้ เขามองสบตาฉัน ก่อนเอ่ยปากออกมา “ แน่นอน...ถ้าเธอไม่หลงรักฉันจริงๆ ” ฉันยักไหล่ ไม่แคร์คำพูดหลงตัวเองของเขา และเถียงกลับไป “ เสียใจด้วยนะ ฉันน่ะเป็นคนรักคนยาก ยิ่งถ้าต่างกัน ทั้งทางสังคม ความคิด และศาสนา ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ต่อให้รักแทบขาดใจ ก็ต้องหันหลังให้กันอยู่ดี เพราะฉันคือผู้หญิงที่มี Equality ไง ” “ ฮึ...แม่คนหัวรุนแรง…ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว อีกสองชั่วโมงเครื่องบินจะออกแล้ว ” เคเซนพูดตัดบท คงรำคาญที่ฉันเถียงเขาทุกคำ ฉันคงไม่เหมือนพวกผู้หญิงของเขาหรอก ผู้หญิงพวกนั้นคงไม่มีความคิด ผู้ชายเอ่ย หรือให้ทำอะไร ก็ได้แต่ค่ะๆๆๆ ฉันมองเห็นตัวเองในกระจก หวนคิดถึงความฝันครั้งหนึ่ง ที่เห็นตัวเองใส่ชุดส่าหรี ในวันนี้ ฉันก็ได้ ใส่ชุดนี้ แล้วผู้ชายที่ฉันฝันถึงเขาบ่อยๆ ฉันจะได้เจอเขาที่นั่นหรือเปล่า ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเขา ในเมื่อฉันไม่เคยเห็นใบหน้าของเขาเลย... ไม่เป็นไร ฉันจะใช้หัวใจของฉัน พิสูจน์เอาเองก็แล้วกัน เคเซนยิ้มพอใจเมื่อเห็นฉันเดินนวยนาดออกมา ด้วยชุดประจำชาติ มันดูตลก ที่ผู้หญิงอย่างฉันต้องทำตัวเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ เขาให้เจ้าหน้าที่ มาเป็นพยาน ในการจดทะเบียนให้ที่นี่ หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางกันเลย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองต้องออกไปผจญภัยในโลกกว้าง สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ กับความคิด แต่ทุกอย่างถูกเก็บไว้ ให้อยู่ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยของฉันเท่านั้น ฉันกอดอก เอนหลังพิงพนักหลัง บนครึ่งบิน มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงปุยเมฆ จับกันเป็นก้อนหนา ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ คิดไปถึงข้างหน้า กับสิ่งที่ยังไม่รู้ว่า เขาจะให้ตัวเองทำอะไร นี่ถ้าฉันมีใครสักคนอยู่ที่นี่แล้ว ฉันคงไม่ตกปากรับคำเขาง่ายๆ เป็นเพราะฉันยังไม่เคยมีใคร ยังไม่เคยรู้ว่าความรักเป็นอย่างไร ยังไม่เคยเจ็บปวดกับมัน คำว่ารักแท้ มันคือสิ่งที่ฉันยังไม่เคยได้สัมผัส...และกำลังปรารถนาที่จะได้พบ แปลกนะ...หารักแท้ ท่ามกลางสงครามกลางเมือง แล้วไม่มีสิทธิ์รู้ด้วยว่า จะสมหวังกับมัน หรือจะเจ็บปวดแทบขาดใจหรือเปล่า เคเซน: การนำซินเซียมาครั้งนี้ ผมเพียงแต่ทำตามหน้าที่ ต้องยอมสละตัวเอง เพื่อจดทะเบียนสมรสกับเธอ ต้องสอนเธอให้รู้จักภูมิประเทศ ที่แตกต่างจากที่เธอเคยอยู่ เพื่อให้ชำนาญพื้นที่ เพราะภารกิจครั้งนี้ของเธอ คือการปลอมตัว เข้าไปสอดแนมฝ่ายตรงข้าม และพยายามนำตัว ท่านแม่ขององค์กษัตริย์ยัสฟา ออกมาจากการเป็นเหยื่อของการต่อรอง เพราะตอนนี้ท่านแม่ของกษัตริย์ยัสฟา ถูกคุมขังไว้ ในที่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ เธอคือคนที่องค์ยัสฟา กษัตริย์ของเขา พูดถึงตลอดเวลา หลังจาก ที่ท่านแม่ของ พระองค์ จะถูกจับตัวไป พระองค์สั่งเขา ให้นำตัวเธอกลับไปให้ได้ เธอคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำภารกิจนี้สำเร็จ แต่ผมกลับคิดว่า พระองค์ ส่งเธอไปตายเปล่าๆ ผมเริ่มรู้สึกเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว ผมได้เรียนภาษาไทย จากครูคนไทยที่ท่านพ่อจ้างมาสอน ผมต้องฝึกยุทธวิธีรบต่างๆ ด้านการหทาร พร้อมกับเรียนด้านการทูตระหว่างประเทศไปด้วย รู้สึกเหนื่อยแต่ก็รู้สึกภูมิใจ ที่ได้รับใช้ชาติ ผมไปๆ มาๆ ที่เมืองไทยมาประมาณสี่ปี เฝ้าติดตามเธอมาตลอดสี่ปีโดยไม่ให้เธอรู้ตัว แต่บางครั้งก็มีเผลอแอบมองเธอนานไปหน่อย จนเธอเกือบรู้ตัว รูปร่างบอบบาง ใบหน้าสวยหวานแบบนั้น ไม่น่ามาฝึกอะไรที่ลำบากลำบนขนาดนี้ น่าจะทำงานเบาๆ เก็บเธอไว้ที่บ้าน เวลาเรากลับมาได้เห็นหน้าหวานๆ คอยยิ้มต้อนรับ คงจะดีไม่น้อย ผมแอบมองเธอจากทางด้านข้าง เมื่อได้ยินปากเธอพรึมพรำ ตอนแรกคิดว่าเธอบ่นอะไร ที่ไหนได้ ละเมอร้องเพลง อะไรของเธอนะ ผมเคยได้ยินเธอร้องเพลงนี้มาครั้งหนึ่ง ดูเธอชอบมาก ขนาดนอนหลับยังละเมอร้องออกมาได้ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าเอ็นดูจริงๆ ในยามหลับ หรือแม้แต่ยามตื่น เธอก็สามารถทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาได้ตลอดเวลา ในท่าทาง และสายตาที่ไม่ยอมใคร โดยเฉพาะกับผู้ชาย ผมรีบหลับตาแทบไม่ทัน เมื่อเธอพลิกตัวหันหน้ามาทางผมพอดี เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองใบหน้าเรียว ที่ห่างกันไม่ถึงฟุตอย่างใกล้ชิด สำรวจใบหน้าของเธอที่เหลือเพียงกรอบหน้าเรียว เพราะผมของเธอถูกคลุมด้วยผ้าบางๆจนมิดชิด อายุยี่สิบสอง แต่หน้าตายังกับเด็กมัธยม คิ้วโก่งสวย ขนตายาวเป็นแพ จมูกเล็กโด่ง ริมฝีปางบางแดงระเรื่อ เธอสวยสดใสเป็นธรรมชาติ สมควรหรือไง ที่จะให้มือของเธอคนนี้ต้องเปื้อนเลือด มือเรียวเล็กบางขาวเนียน ที่โผล่พ้นออกมาจากชายผ้าคลุม ต้องจับทั้งอาวุธสงครามทุกชนิด ที่ต้องใช้ฆ่าคน มือนี้ควรจะเก็บไว้เลี้ยงลูก หรือจับอุปกรณ์ทำครัว หรือไม่ก็...เอาไว้ลูบไล้ผมมากกว่า ผมนี่แย่จัง คิดเลยเถิดไปได้ “ มองหน้าฉันพอหรือยัง ” ผมสะดุ้งโหยง เธอลืมตามองผมดุๆ ด้วยดวงตาดำขลับท่าทางเอาเรื่อง มือเรียว ดึงผ้าขึ้นมาปิดใบหน้า เหลือเพียงดวงตากลมโต “ เปล่าสักหน่อย ฉันมองนอกหน้าต่างโน่น ” ผมแก้ตัวออกไปหน้าด้านๆ เรื่องอะไรจะยอมรับ “ ก็ดี...เตือนไว้ก่อนนะว่า อย่ามาหลงเสน่ห์ ฉัน เดี๋ยวจะอกหักไม่รู้ตัว ” เธอพูดออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ดวงตายาวรีฉายแววไม่พอใจชัดเจน “ หลงตัวเอง....ไม่ต้องห่วง เธอไม่ใช่สเป๊คฉัน ” ผมตอบกลับไปด้วยความหมั่นไส้...ผู้หญิงอะไร หลงตัวเองที่หนึ่ง “ เหมือนกัน...ฉันก็ไม่ชอบผู้ชายแบบนาย ” “ ทำไม..แบบฉันเป็นยังไง ” “ ไม่รู้...ไม่ต้องมารู้...ฉันจะนอน..” พูดจบ เธอก็ตะแคงตัว หันกลับไปทางหน้าต่าง ตัดบทสนทนาของเราทันที...เฮ่อ!!..ผู้หญิงคนนี้นี่เข้าใจยากจริง ผมไม่เคยเจอ เพราะผู้หญิงในประเทศของผม พูดแค่ค่ะๆๆ ทำทุกอย่างให้สามีรัก ดีใจนักหนา ที่ได้เป็นเมียแรก เป็นแม่ที่ดี คอยผลิตลูกๆ ให้ได้มากที่สุด บางครอบครัว มีลูกมากขนาดจำกันไม่ไหวก็มี แล้วก็จนลงๆ แทบไม่มีกิน เพราะรายได้ กับค่าใช้จ่าย ไม่สมดุลกัน ผมได้รับวัฒนธรรมจากตะวันตก มาพอสมควร เพราะผมเคยเรียนอยู่ที่นั่นห้าปี รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของซินเซีย แต่ยังไง วัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมาเนิ่นนาน ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เมื่อเครื่องบินลงจอด ผมให้เกียรติซินเซียโดยการให้เธอเดินนำลงไปก่อน เมื่อเธอก้าวเท้าลงเหยียบแผ่นดินของผม ผมเห็นเธอยืนนิ่ง และทำท่าเหมือนจะเอนล้ม จนผมต้องรีบเข้าไปประคองเธอไว้ “ ซินเซีย เป็นอะไร...” บนหน้าผากของเธอมีเหงื่อซึมออกมา ทั้งๆ ที่มีลมพัดเย็น เพราะกำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว “ ไม่รู้...เคเซน ฉัน..ฮึกๆ..ฉัน...ฮื่อๆ ..รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ที่จากไปนานแสนนาน ” ซินเซียหันมากอดผมไว้ ซุกหน้าลงที่อกของผม ผมตกใจกับใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา และคำพูดที่ฟังดูประหลาดๆ แต่รู้สึกดีที่ถูกเธอกอดเอาไว้ รู้สึกว่าหัวใจของผมเต้นแรงผิดปกติ ในยามที่ได้ใกล้ชิด และในยามที่เธอเงยหน้าขึ้นพูดด้วยในระยะใกล้ เธอผละออกมามองหน้าผมอีกครั้ง ผมอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาที่ยังคลออยู่ให้ ไม่สนใจสายตาของคนที่เดินผ่านอยู่รอบกาย เพราะผมกับเธอตอนนี้อยู่ในฐานะสามีภรรยากัน “ นายกำลังว่าฉันเพ้อเจ้อใช่ไหม สายตานายบอก ” เธอผลักอกผม แล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง หยุดร้องไห้ และเริ่มจะหาเรื่อง “ สายตาตกใจของฉัน มันเหมือนกำลังว่าเธองั้นเหรอ อยู่ๆ ก็กอด อยู่ๆ ก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม อยู่ๆ ก็ร้องไห้ ใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว..ประสาท!! ” เธอค้อนให้ ผมอยากจะจับเธอฟาดก้นเสียจริง แปลความหมายอะไรผิดๆ ไปหมด องค์ยัสฟาคิดผิดหรือถูก ที่ให้ผมนำตัวเธอมานะ บางครั้งเหมือนเด็กที่พูดด้วยไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วผมต้องอยู่กับเธอตลอดระยะเวลาสามปีนี่ ประสาทผมจะกินหรือเปล่า นั่น...แตะไม่ได้...พอถูกว่าเข้าหน่อย ก็เดินตัวปลิวไปเลย แล้วรู้หรือไงว่าจะไปไหน...นี่ผมจะต้องง้อผู้หญิงที่ไม่มีเหตุผล แบบนี้ตลอดเลยหรือไง...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD