บทที่ 7 ภรรยาที่โดดเดี่ยว

1535 Words
ร่างอรชรเดินนวยนาดออกมาจากสนามบินด้วยท่าทีเรียบเฉย แววตาดูหม่นหมองไม่สดใสอย่างที่เคยเป็น เมื่อมาถึงรถที่มารอรับกลับคฤหาสน์หลังโตก็หันไปเอ่ยบอกกับบอดี้การ์ดหนุ่มทั้งสองที่ยืนนาบทั้งสองข้างอยู่ “ขอบคุณคุณเลโอกับคุณไมล์ที่คอยดูแลและคุ้มกันความปลอดภัยของอินตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้มาก ๆ นะคะ” อริญรดาเอ่ยขอบคุณเลโอและไมล์ด้วยความซาบซึ้งใจ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาที่เธอต้องอยู่แบบเดียวดายและจิตใจห่อเหี่ยว ก็มีแต่บอดี้การ์ดสองคนนี้ที่คอยอยู่ด้วยไม่ห่างไปไหน แทบจะเรียกว่าเป็นเพื่อนเที่ยวของเธอเลยก็ว่าได้ “เป็นหน้าที่ของพวกผมครับ” “อินให้พวกคุณค่ะ” ยื่นถุงกระดาษเสื้อผ้าแบรนด์เนมดังไปให้บอดี้การ์ดทั้งสองคน แต่ทั้งคู่ก็รีบปัดมือไปมาปฏิเสธอย่างนอบน้อมถ่อมตน “ไม่เป็นไรครับ พวกผมไม่กล้ารับไว้” “รับไปเถอะค่ะ ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่เที่ยวเป็นเพื่อนอิน” เมื่อโดนคะยั้นคะยอและรบเร้าจากเจ้านายสาวหนักเข้าก็ใจอ่อน สองบอดี้การ์ดหนุ่มจึงจำต้องรับของกำนัลมาแต่โดยดี “ไปส่งอินที่บ้านพ่อแม่หน่อยนะคะ อินอยากกลับบ้าน” อริญรดาเอ่ยบอกลุงสม ซึ่งเป็นคนขับรถประจำคฤหาสน์หลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว “แต่ว่า...” “อินโทรบอกม้าแล้วค่ะ ท่านอนุญาต” เมื่อเห็นท่าทีกระอักกระอ่วนใจและทำเหมือนจะพูดขัดของลุงสม สะใภ้สาวก็รีบอ้างชื่อแม่สามีทันที เธอไม่ได้อ้างลอย ๆ แต่ขออนุญาตแม่สามีเป็นที่เรียบร้อยแล้วจริง ๆ แม้ในตอนแรกท่านจะมีท่าทีเหมือนไม่ยอมก็ตาม “ครับผม” ลุงสมเปลี่ยนเป้าหมายจากคฤหาสน์หลังโตไปยังบ้านในโครงการจัดสรรแห่งหนึ่ง แม้ไม่ได้ใหญ่โตหรือหรูหราอะไร แต่ก็ไม่ได้น้อยหน้าบ้านของใคร เมื่อมาถึงบ้านหญิงสาวก็รีบหอบกระเป๋าเข้าบ้าน แล้ววิ่งเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ที่นั่งดูทีวีอยู่ด้วยความคิดถึงทันที “กลับมาทำไม ได้ข่าวว่าไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นไม่ใช่หรือไงยัยอิน” คิ้วเรียวของอรอนงค์ขมวดเข้าชนกันด้วยความแปลกประหลาดใจ เพราะไม่ได้ตั้งตัวที่จู่ ๆ ลูกสาวก็โผล่มาหาเช่นนี้ “อินเพิ่งกลับมาค่ะ” “เอ๊ะยัยเด็กคนนี้ กลับมาแล้วทำไมไม่กลับบ้านผัวของแกล่ะ มาที่นี่ทำไมฮะ!” ส่งเสียงไม่พอใจใส่ลูกสาวที่ทำอะไรไม่คิดให้ถี่ถ้วน “อินคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” อริญรดาบอกไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า ไม่ได้เจอผู้เป็นพ่อและแม่ตั้งสองสามสัปดาห์ ความคิดถึงความโหยหามันเกาะกินหัวใจ ยิ่งถูกสามีหมางเมินใส่ก็ยิ่งมีความคิดที่ไม่อยากจะกลับไปบ้านหลังนั้นอีก ทว่าเธอก็ทำไม่ได้ “โตแล้วนะยัยอิน ยังทำตัวเป็นเด็กขี้แยอยู่ได้ แทนที่จะรีบกลับไปเอาอกเอาใจผัว” ได้ยินคนเป็นแม่ตำหนิมาดังนั้นอริญรดาก็ถึงกับสะอึก เพราะเธอทำอย่างนั้นได้เสียที่ไหน จึงพูดถามเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนความชอกซ้ำภายในใจ “คุณพ่อไปไหนเหรอคะ?” “หมกตัวอยู่ที่บริษัทนู่น เอาเงินค่าสินสอดของแกไปทุ่มสุดตัวเพื่อกอบกู้บริษัทเฮงซวยนั่นขึ้นมา ฉันละหัวจะปวด!” อรอนงค์พูดบ่นให้ผู้เป็นสามีด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เพราะตั้งแต่จบงานแต่งงานของลูกสาวเพียงคนเดียว สามีของเธอก็เอาแต่หมกตัวอยู่ที่บริษัท จนเธอแทบไม่ได้เห็นหน้าค่าตา “อินหิวจังเลย คุณแม่มีอะไรให้กินไหมคะ?” เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้เป็นแม่ยามเอ่ยถึงคนเป็นพ่ออริญรดาก็พูดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง ลูบหน้าท้องน้อย ๆ ของเธอแสร้งทำเป็นหิว ทั้ง ๆ ที่ความจริงเธอไม่ได้หิวเลยสักนิดเดียว “มีกับข้าวอยู่สองสามอย่าง เดี๋ยวไปอุ่นให้” “ขอบคุณค่ะ คุณแม่น่ารักที่สุด” “ยัยเด็กขี้ประจบ” อรอนงค์มองเคืองให้ลูกสาว ก่อนที่จะดันตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว อริญรดายิ้มบาง ๆ อย่างนึกเอ็นดูให้แม่ของเธอ เพราะแม้จะปากร้ายแต่ก็ใจดีเสมอ หลังจากนั่งคุยและทานข้าวกับคนเป็นแม่เสร็จ อริญรดาก็ขอตัวขึ้นมาพักผ่อนบนห้องนอนที่เคยเป็นของเธอก่อนที่จะแต่งงานและย้ายออกไปอยู่ที่บ้านของสามี เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ความคิดล่องลอยไปไกลสุดลูกหูลูกตา ตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่นานหลายนาที ก่อนที่จะสะดุ้งตกใจหลุดออกจากภวังค์เมื่อจู่ ๆ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น อริญรดาสะบัดหัวไล่ความคิดประหลาดในหัว ก่อนที่จะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูชื่อของคนที่โทรมา และเธอก็ต้องแปลกใจจนหัวใจเต้นระรัว เมื่อเห็นว่าสามีแสนเย็นชาโทรมาหาเป็นครั้งแรก “เฮียโทรมาหาอินเหรอคะ?” อริญรดากดรับสายแล้วถามออกไปอย่างไม่เต็มเสียงด้วยความไม่มั่นใจนัก เพราะคิดว่าสามีอย่างสมิทธิ์อาจจะโทรผิดก็เป็นได้ ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยแม้แต่จะโทรหรือส่งข้อความหาเธอเลยสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่มีเบอร์โทรและไลน์ของกันและกัน [เธออยู่ที่ไหนอริญรดา] เสียงเข้มดุติดร้อนรนใจถามกลับมา ทำเอาคนถูกถามถึงกับงุนงง ดวงตาเบิกกว้างโตอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ไม่คิดว่าเขาจะดูเหมือนเป็นห่วงเธอ “เฮีย...” [ฉันถามว่าเธออยู่ที่ไหน] “อินกลับมาบ้านค่ะ” หญิงสาวตอบไปเสียงอ่อย แต่ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิดที่ไม่ได้บอกให้สามีได้รับทราบ [เธอกลับไปบ้านโดยที่ไม่คิดจะบอกผัวอย่างฉันเลยหรือไง] “...ทีเฮียไปไหนมาไหนยังไม่คิดจะบอกอิน อินจำเป็นต้องบอกเฮียด้วยเหรอคะ” ภรรยาสาวเมื่อโดนตำหนิจากสามีที่คิดว่าจะไม่ดูดำดูดีให้กันก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างเหลืออด ความน้อยใจที่ถูกเขาทิ้งไว้กลางการฮันนีมูนมันอัดแน่นจนเต็มอกทำให้มีความกล้าที่จะต่อปากต่อคำกลับไป [ยอกย้อน] “แล้วมันไม่จริงเหรอคะ อินเรียกร้องไม่ได้ แต่ทำไมเฮียถึงมาเรียกร้องกับอิน มันไม่ยุติธรรมเลย” [เถียงผัวฉอด ๆ แบบนี้ไม่มีเมียที่ไหนเขาทำกัน] “นี่มันสมัยไหนแล้วคะ จะไม่ให้เมียมีปากเสียงมีเหมือนสมัยเมื่อร้อยปีก่อนก็คงจะไม่ได้” [อริญรดา] “อินขอวางสายนะคะ อินเหนื่อยจากการเดินทาง” อริญรดารีบพูดตัดบทสนทนา เพราะคิดว่ายิ่งคุยก็ยิ่งระเบิดอารมณ์ใส่กัน แต่ยังไม่ทันยกหูโทรศัพท์มือถือออกเสียงกัมปนาทก็สวนกลับมาอีกประโยค [พรุ่งนี้ฉันจะไปรับกลับ รู้ไหมว่าม้าบ่นฉันจนหูชาแล้ว] “มันก็...สมควรแล้วไม่ใช่เหรอคะ” ลังเลใจครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจพูดออกไป ก่อนที่จะรีบกดตัดสายแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยใจ “เหมือนจะเป็นห่วงกัน แต่ก็ไม่ใช่...” พึมพำเบา ๆ กับตัวเอง จากนั้นก็เอนตัวลงนอนบนเตียง ในหัวเอาแต่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนล้า หลังจากที่นอนพักไปสองชั่วโมง อริญรดาก็ตื่นขึ้นมาและเดินลงไปหาผู้เป็นแม่ด้านล่าง แต่ก็ต้องแปลกใจปนสงสัยเมื่อเห็นท่าทางของผู้เป็นแม่ที่ดูเหมือนจะออกไปข้างนอก “คุณแม่จะไปไหนเหรอคะ?” “ฉันมีนัดกับเพื่อน แกอยู่เฝ้าบ้านให้ด้วยละกัน” “แม่ไม่กินข้าวเย็นกับอินก่อนไปหน่อยเหรอคะ” ถามออกไปเสียงอ่อย ๆ หัวใจดวงน้อยรู้สึกวูบโหวงราวกับมีสายลมหนาวเย็นพัดผ่านที่กลางใจ “ฉันสายมากแล้ว” คนเป็นแม่พูดด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเสร็จก็เดินออกไปจากบ้าน ทิ้งให้ลูกสาวอย่างอริญรดายืนทำหน้าอึ้งปนเหวอ ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะโดนทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว ทั้ง ๆ ที่เธอตั้งใจกลับมาฮีลใจกับครอบครัว อริญรดาทอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำเย็น ๆ ออกมาดื่มเพื่อระงับความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD