เสียงโชย

1524 Words
หลังจากที่ส่งน้องๆ เข้าไปข้างในจนหมดแล้ว ฉันก็อาศัยจังหวะนั้นเดินออกมาล้างแผลที่แขน เพราะไม่อยากให้น้องๆ คนอื่นๆ เห็น โดยเฉพาะแม่เมตตาถ้าเมื่อเห็นแล้ว เธอจะไม่สบายใจเอาเปล่าๆ ห้องน้ำที่นี่ก็เริ่มจะทรุดโทรมลงทุกวันๆ เงินที่ได้มาแม้ว่าจะพอยาไส้น้องๆ ที่นี่แล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าจะพอในการซ่อมแซมตรงนี้ด้วย หวังเอาเงินเดือนที่ฉันทำงานอยู่มาช่วยก็คงไม่พอ ลำพังตัวฉันจะกินจะใช้ยังต้องทำรายรับรายจ่ายอยู่ทุกวันเลย การศึกษาที่ได้มาก็ไม่ใช่จะจบสูงอะไรอย่างเขา เงินเดือนหมื่นต้นๆ ที่ได้มานี้ สำหรับฉันก็ถือว่าเยอะสุดๆ แล้ว เฮ้อ..นี่ละน้า คนจนขยันให้ตายก็ยังต้องดิ้นรน! “แล้วอย่างคนรวยพวกนั้น มาบริจาคโดยหวังผลประโยชน์แบบนี้ มันจะได้บุญไหมนะ ผลประโยชน์ทั้งนั้น ชิ” “บ่นอะไรของเธอ!” “ว้าย!” ฉันไม่รู้ว่าเสียงปริศนานี้เป็นของใคร แต่เชื่อไหมมันเกือบทำให้ฉันตกใจจนลื่นล้ม ถ้าไม่ติดตรงที่ว่า มีแขนกำยำคู่หนึ่งมารับฉันไว้ซะก่อนอะนะ O.O หืออออ นอกจากกลิ่นตัวที่หอมแบบคลาสสิกแล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ฉันเห็นเป็นภาพถัดมา คือดวงตาคมโตคู่สวย ซึ่งฉายวาวความตกใจจ่อหน้าฉันอยู่นั่น ในลูกกะตาดำของเขานั้น..มีหน้าฉันอยู่ด้วย ถัดขึ้นไปอีกหน่อยมันคือคิ้วหนาที่โก่งได้รูปพอดิบพอดี กำลังหย่อนลงจนหัวมาชนกัน แต่แล้วในจังหวะที่ฉันกำลังเคลิ้ม... เสียงนี้ก็ทำเอาฉันสะดุ้งตกใจอีกรอบ “มองอะไรของเธอ!” เขานั้นเองที่เป็นเจ้าของเสียงเมื่อตะกี้นี้ “ขะ ขอโทษค่ะ ขอบคุณนะคะ” เสียงที่เปล่งออกไปของฉันบ่งบอกถึงความตระหนกทันที ก่อนรีบเด้งตัวเองออกมาจากวงแขนนั้น แล้วถอยออกมายืนให้ห่าง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับพับแขนเสื้อตัวเองเหมือนเตรียมจะล้างมือตรงอ่างล้างหน้า ทำให้ฉันต้องถอยออกมาอีกก้าว กลายเป็นว่ามายืนอยู่ตรงข้างหลังเขาแทน “อ่อ..ยัยคนเมื่อกี้ที่จับกบกลางถนนใช่ไหม” เขามองผ่านกระจกมาถามฉัน “คะ?” “เปล่าไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าไปมาก่อนจะปิดก๊อกน้ำ สะบัดข้อมือเบาๆ เงยหน้าขึ้นมามองฉันผ่านกระจกอีกรอบ แล้วเลิกคิ้ว “คะ?” “ยืนรออะไรเรอะ ไม่ออกไป” “ก็รอล้างมือต่อจากคุณไงคะ” “อ่าวเหรอ” พูดจบแค่นั้น เขาก็เดินออกไปเลย .. อะไรของเขา? ฉันใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการล้างมือ ก่อนจะเดินหลุดออกมาจากตรงนั้นแล้วมุ่งหน้าไปยังข้างในตัวบ้าน ก็เห็นว่ารถคันที่มาบริจาคของดังกล่าว แล่นออกจากลานไปแล้ว เลยทำให้รู้ว่าคนพวกนั้นคงจะรีบอย่างที่บอกในตอนแรกจริงๆ เฮ้อ..แต่ก็ช่างเถอะ ดีซะอีก ตัดบทความกดดันไปได้ระดับนึง วันนี้ฉันมาทำงานปกติค่ะ หน้าที่หลักๆ ของฉันคือพนักงานออฟฟิศดีๆ นี่เอง วันๆ นึงไม่ได้ไปไหนหรอก อยู่แต่ตรงหน้าจอคอม นานจนฉันกลัวว่าสักวันนึงฉันจะเข้าไปสิงอยู่ในนั้น ด้วยแว่นตาที่หนาเตอะ และชุดที่ยังคงเฉิ่มเหมือนเดิม พอๆ กับป้าอายุหกสิบเรียกว่าเพื่อน ฉันเป็นคนแบบนี้จริงๆนะ เป็นคนที่ไม่แคร์สายตาของใครในโลกใบนี้เลยสักคน ไม่ว่าใครที่มองจะพากันนินทาว่าฉันยังไง ฉันก็ยังคงอยู่ของฉันแบบนี้ ซึ่งนอกจากร่างกายจะดูเฉิ่มจนมองไม่เห็นหุ่นจริงๆ ข้างในเป็นแบบไหนแล้ว ตอนนี้สมองของฉันก็เหมือนจะซื่อบื้อตามไปด้วย ฮ่าๆๆ “นิน .. ไป หาข้าวกินกัน” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอาภัพเพื่อนอย่างที่ใครๆ เข้าใจอยู่หรอก ถึงสังคมฉันจะไม่ได้โก้หรูอะไรมากมาย แต่ฉันก็มีเพื่อนที่ดูราคาแพง มาคบกับฉันอยู่เหมือนกันนะ แม้จะมีแค่คนเดียวก็เถอะ! ก็ยังดีกว่ามีเพื่อนร้อยคน แต่ไม่จริงใจกับเราสักคนใช่ไหมล่ะ “ไปกินคนเดียวก่อนนะวันนี้ งานฉันเยอะมากเลย เขาให้ส่งวันนี้ด้วย ไม่รู้จะเสร็จทันรึเปล่า” คนนี้ชื่อเพียวค่ะ ฉันชอบเรียกมันว่า เพียงคุง เพราะหน้ามันเหมือนเด็กญี่ปุ่นดี แถมนิสัยดีเอาเรื่องสุดๆ ใจป้ำ ลุยงาน ไม่สำอางเหมือนหนุ่มในออฟฟิศบางคนด้วย “อีกแล้ว ทำไมชอบพูดคำนี้ตลอดเลยอะ เบื่อนะรู้ไหม” เพียวบอกเสียงฉุน ก่อนจะตบเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่ หมุนไปทางมัน จนตัวฉันนี่แทบจะหงายหลัง “ไอ้เพียว ไอ้บ้าเอ๊ย ฉันเกือบตกเก้าอี้” “ไปก่อนเถอะน่า ไว้ค่อยมาทำ หิวแล้วนี่ นั่งกินคนเดียวมันจะอร่อยอะไร กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องสิ” “เออมันก็จริง แต่ถ้างานฉันไม่เสร็จ ฉันโดนบอสดุ แล้วใครจะช่วยฉัน!” “ก็ฉันนี่ไง เดี๋ยวฉันมาช่วยเธอเอง” “พูดง่ายนะเพียวคุง “ฉันละสายตาจากจอคอมหรี่ตาไปมองหน้าเขา “แล้วงานนายล่ะ ใครจะทำ” “โอ๊ยมือระดับนี้แล้ว ไม่เคยค้างคาสักวันนึง” “อ้อเหรอ! งั้นดีเลย ถ้างานฉันไม่เสร็จภายในเย็นนี้ แล้วโดนบอสด่าต่อหน้าคนทั้งออฟฟิศละก็นะ ฉันจะขย้ำหน้านายให้เลือดสาดคามือเลยคอยดู!” พูดจบฉันก็กระตุกเน็คไท้มันด้วยความหมั่นไส้เบาๆ ทีนึง ก่อนจะปิดจอคอมแล้วลุกเดินออกมา “เอ้า ไปสิ!” ซอดแซด... ซอดแซด... “นายเชื่อมั้ย ฉันไม่อยากมากินโรงอาหารก็เพราะแบบนี้แหละ คนเยอะชิบเป๋งเลยอะ ไหนว่ารวยกันไง ทำไมไม่ไปกินข้างนอก ร้านที่มันดังๆ แพงๆ น่ะ” “ฮ่าๆๆ” “ขำอะไร” “บ่นเป็นยัยแก่ไปเลย” ฉันหย่นจมูกให้กับคนพูดตรงหน้า ก่อนจะทำท่าหวดกำปั้นลงไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เพียวหยุดขำลงเลย เขายังคงหัวเราะฉันต่อ “ฮ่าๆๆ” “เมาแดดใช่ไหมเนี่ย หัวเราะเหมือนคนบ้าเลยอะ” “ก็ดูเธอทำหน้าสิ จะจริงจังอะไรขนาดนั้นฮะนิน จะออกไปกินข้างนอก มันต้องใช้เวลา พักกลางวันแค่ชั่วโมงเดียวเองใครเขาจะบ้าพากันออกไป กว่าจะได้กินมันเสียเวลารู้ป่าว” เพียวอธิบายรวดเดียวจบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากลับไปกินข้าวตรงหน้าต่อ “ใครจะไปรู้ล่ะ ก็นึกว่ามีเงินทำอะไรก็ได้” “มันก็ใช่ แต่ไม่ใช่ในเวลางานแบบนี้ มีเงินทั้งทีมันต้องฉลาดด้วยสิ เอาเวลางานไปทำอย่างอื่นมีหวัง โดนตัดเงินเดือนไม่ก็ถูกไล่ออกตายเลย” “งั้นเหรอ” “ถ้าเขาจะไปเที่ยวกันนะ เขาก็ไปกันคืนวันที่จะหยุด อย่างเช่นวันพรุ่งนี้หยุดใช่มั้ย คืนนี้ก็ไปเลย” “ทำไมต้องไปเที่ยวกลางคืนด้วย วัด ห้าง เขาไม่ปิดกันหมดเหรอ” “หะ!” ฉันพูดประโยคนี้จบ เพียวถึงกับอุทานขึ้นมาทันที ทั้งที่ช้อนยังคาปากอยู่ ทำเอาฉันถึงกับงง “อะไรเหรอ? โอ๊ย! ฉันเจ็บนะ!” ก่อนจะโวยวายเสียงดังลั่น เพราะถูกเพียวยื่นส้อมที่ยังไม่ได้ใช้มาเคาะหัว “ยัยบ๊องเอ๊ย!! นี่เธออายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย สถานที่ ที่เขาจะไปฉันหมายถึง ผับบาร์ ร้านนั่งเล่นชิวๆ ที่เขาเปิดกันยันเช้าอะไรแบบนั้น วัด? ห้าง? โอ๊ย.. ฮ่าๆๆ ให้ตายเถอะ เธอนี่มัน..” “ทำไมล่ะ ก็ฉันไม่เคยไปนี่นา ใครจะไปรู้ สามทุ่มฉันก็หลับปุ๋ย ปลุกไม่ตื่นแล้ว ไปเที่ยวถึงเช้า โอ๊ย..ไปทำไม ไม่ได้นอนแถมเปลืองเงิน ทรมานตัวเองเปล่าๆ” “โอโห..แม่ชีเลย แม่ชีชัดๆ” “นี่ เพียว!” “ฮ่าๆๆๆ “ดูสิ.. ดูมันหัวเราะฉัน “นี่นิน.. มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เขาไปเพื่อผ่อนคลาย ไม่ก็ไปนั่งฟังเพลงกันเท่านั้นเอง ทำงานเหนื่อยมาทั้งเดือน ก็คงต้องมีบ้างใช่ไหมล่ะ เดือนละครั้งสองครั้งเป็นอย่างน้อย” “ฉันไม่เห็นว่ามันคือการผ่อนคลายตรงไหน นั่งสมาธิเอาสิ นอกจากผ่อนคลายจริงๆ แล้ว มันทำให้เราหลับสบายด้วยนะ” “ฮ่าๆๆๆ โอเคนิน โอเค ยอมแพ้แล้ว ฉันไม่เถียงเธอแล้วก็ได้ ว่าแต่กินเสร็จยังอะข้าว” “เสร็จนานแล้ว” “งั้นก็ลุกสิ ไปทำงานต่อ เผื่อเสร็จไว แล้วจะได้ไปนั่งสมาธิต่อไง” “หนอย ไอ้เพียว!! ไอ้บ้า” “ฮ่าๆๆๆ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD