อรกมลตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืด ช่วงล่างมีความรู้สึกแสบขัดและเนื้อตัวรุม ๆ ทว่าไม่ได้มีไข้สูงถึงขนาดทำให้อ่อนเพลีย
หญิงสาวฉายรอยยิ้มรับเช้าวันใหม่พลันนึกถึงสัมผัสอันเร่าร้อน และท่วงท่าที่เขาเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ ก็อดร้อนใบหน้าอย่างห้ามไม่ได้
มันจะดีแค่ไหนถ้าเมื่อคืนเขายังอยู่บนเตียงให้เธอนอนหนุนแขนซบใบหน้าวางที่แผงอก นอนหลับไปด้วยกันเหมือนอย่างคนรักทั่วไปเขาทำกัน แต่ก็พอเข้าใจได้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินไป ครอบครัวของเขายังไม่มีใครรับรู้ฃ
คิดได้ดังนั้นอรกมลก็ลุกออกจากเตียง เข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะนำผ้าปูที่นอนที่เปื้อนคราบน้ำรักไปซักตาก แล้วเข้าไปช่วยทำอาหารในครัว เตรียมมื้อเช้าให้พ่อแม่ของชายที่เธอรัก และคุณย่าฉายรวีที่รับเลี้ยงเธอมา
มื้อเช้าได้ถูกจัดเตรียมบนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ในทุกเช้าชัชวีร์จะมากินข้าวร่วมกับทุกคนในบ้าน ก่อนจะออกไปดูแลงานที่ไร่ส้ม
เมื่อทุกคนพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร หญิงสาวก็ช่วยตักข้าวใส่จานให้แต่ละท่าน จนไปถึงจานของชายที่มีอะไรกันเมื่อคืนด้วยใบหน้าร้อนผ่าว เธออมยิ้มและสบตาเขาเล็กน้อยก็ปลีกตัวเดินออกไป ปล่อยให้บรรดาเจ้านายของไร่นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน
ส่วนเธอ แม้หญิงชราจะเคยเอ่ยปากอนุญาตให้ร่วมโต๊ะอาหาร แต่ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว และเกรงต่อสายตาของรุ่งวิภาและชวลิตซึ่งเป็นพ่อแม่ของชัชวีร์ เป็นลูกชายและลูกสะใภ้ของคุณย่า ที่มองว่าไม่สมควร อรกมลจึงเลือกไปกินข้าวกับพ่อบ้านแม่บ้านแทน เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาของคนอื่น ๆ ด้วย
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ คุณย่าฉายรวีก็เรียกหลานชายเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยกัน เพราะท่านมักจะดูรายการโทรทัศน์เอนแผ่นหลังพิงโซฟารออาหารย่อย ในระหว่างนี้ก็มีเด็กในอุปการะอย่างอรกมลนั่งอยู่บนพื้นลายไม้สีน้ำตาล มือทั้งสองข้างคอยบีบนวดคลายความปวดเมื่อยตามแข้งขาเหี่ยวเฉาของผู้มีพระคุณ
“ปีนี้หลานอายุเท่าไหร่แล้ว”
“สามสิบเอ็ดครับคุณย่า”
ตั้งแต่ชัชวีร์เรียนจบก็ตั้งหน้าตั้งตาบริหารงานในไร่ ตอนนี้ก็เก้าปีมาแล้วที่หลานชายทำงานหนักแทบไม่มีเวลาได้พัก นอกจากงานในไร่แล้วก็ยังมีคาเฟเปิดให้บริการอาหาร เบเกอรี และเครื่องดื่ม อีกทั้งเปิดไร่ให้เข้าเยี่ยมชมวิธีการเพาะปลูก และเก็บเกี่ยวผลผลิต
“เอาแต่ทำงาน เมื่อไหร่จะหาเมียแล้วมีหลานให้ย่าอุ้มสักที”
คุณย่าฉายรวีบ่นตามประสาคนแก่เป็นไม้ใกล้ฝั่ง มีหลานชายอยู่แค่คนเดียวก็ไม่ยอมแต่งงานเสียที ขืนชักช้ากว่านี้คงไม่ได้เห็นหน้าเหลนตัวน้อยก่อนจากไปอย่างแน่นอน
ชัชวีร์จับมือเหี่ยวเฉาเข้ามากอบกุมในฝ่ามือหนา เผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้ผู้เป็นย่า
“ผมว่าอีกสักสองปีค่อยว่ากันดีกว่าครับ”
ประโยคนี้ของชัชวีร์ที่ตอบกลับคุณย่า ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของคนที่นั่งบนพื้นลายไม้เต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าสวยแดงก่ำราวกับลูกตำลึง
อีกสองปีที่เขาว่าหมายถึงเธอหรือเปล่า คนที่ชัชวีร์วาดอนาคตเอาไว้ว่าจะให้เป็นแม่ของลูก นับไปถึงตอนนั้นเธอก็เรียนจบปริญญาตรีพอดี อรกมลนั่งอมยิ้มคิดไปไกลจนคนแก่สังเกตเห็น
“แล้วนั่นเป็นอะไรอีกล่ะ ไม่สบายเหรอ หน้าแดงเชียว”
“ปะ เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกร้อนนิดหน่อย”
เธอตอบน้ำเสียงตะกุกตะกัก ทว่าเมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่คมที่เขาจ้องมองก็รีบก้มหน้าหลบสายตา เพราะเกรงว่าจะแสดงท่าทีเขินอายจนปิดไม่มิดออกมา
“ย่าก็นึกว่าไม่สบาย ว่าแต่เย็นนี้จะกลับหอแล้วใช่ไหม”
“ค่ะคุณย่า”
อรกมลเรียนมหาวิทยาลัยในตัวเมือง ห่างจากไร่สิงหเนวินทร์ประมาณสี่สิบกิโลเมตร จึงเลือกอยู่หอพักใกล้ ๆ จะได้เดินทางไปเรียนได้สะดวก เธอจะกลับมานอนที่ไร่ในคืนวันศุกร์ เสาร์ และกลับหอพักในช่วงเย็นของวันอาทิตย์
และที่อรกมลสามารถเรียกหญิงชราว่าคุณย่าได้เหมือนเป็นหลานแท้ ๆ คนหนึ่ง ก็เพราะเธอเป็นลูกของแม่บ้านที่อุทิศชีวิตเพื่อคุณย่าฉายรวี
แม่ของเธอทำงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่เป็นสาวแรกแย้ม จนกระทั่งเมื่อสิบสี่ปีก่อนก็ได้ปกป้องเจ้านายด้วยชีวิต ผลักคุณย่าฉายรวีให้พ้นจากรถมอเตอร์ไซค์ของเด็กแว้นที่ขับมาอย่างรวดเร็ว และรถคันนั้นก็ได้พุ่งชนตัวเองแทน หลังจากถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในที่สุด ซึ่งตอนนั้นอรกมลมีอายุเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น
นับแต่นั้นคุณย่าฉายรวีก็เป็นผู้มีพระคุณของอรกมล ให้ที่ซุกหัวนอน มีอาหารสามมื้อให้กิน ให้เงินใช้จ่าย และส่งเสียให้เรียนหนังสือ และตอนนี้อรกมลก็เรียนปีสามของคณะพยาบาลศาสตร์แล้ว ทว่าหญิงสาวยิ่งโตก็ยิ่งสวย สวยจนชัชวีร์ที่ไม่เคยคิดจะใส่ใจผู้หญิงคนไหนนั้นอดใจไม่ไหว
หลังจากชัชวีร์บ่ายเบี่ยงเรื่องมีคู่ครอง เขาก็ขอตัวออกไปตรวจงานที่ไร่ส้มบนเนื้อที่ขนาดใหญ่ ส่วนเธอก็ไปช่วยงานที่คาเฟ
ตลอดทั้งวันอรกมลอยากหาเวลาคุยกับชัชวีร์ อยากเจอหน้าเขาก่อนกลับหอพัก แต่เธอไม่มีเบอร์ของเขา มีเพียงแอปพลิเคชันสีฟ้าที่เขาใช้ลงรูปภาพบรรยากาศของไร่ในมุมต่าง ๆ เพื่อเรียกลูกค้าให้เข้ามาเยี่ยมชม แต่จะส่งข้อความเข้าไปก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม เพราะนี่ก็ใกล้เวลาที่อรกมลจะกลับหอพักแล้ว
ขณะนั่งรอที่ศาลาบริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่ รอให้พี่จุมพลคนงานในไร่มารับเธอไปส่งที่หอพัก ทว่ารถที่ขับมาจอดอยู่ตรงหน้ากลับเป็นรถของหนุ่มหล่อมาดเข้ม เจ้าของไร่สิงหเนวินทร์
เขากดลดกระจกฝั่งคนขับลง แล้วเอ่ย “ขึ้นมาสิ”
หญิงสาวได้ยินก็รีบลุกเดินไปเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถอย่างเชื่อฟัง วางกระเป๋าสะพายข้างลงบนตัก ก้มหน้าอมยิ้มเล็กน้อยอย่างดีใจ นึกว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันเสียแล้ว
“คาดเข็มขัดด้วย”
เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมาดึงเข็มขัดนิรภัยคาดกลางลำตัวให้กับอรกมล หญิงสาวพลันใจเต้นตึกตัก เมื่อปะทะกับสายตาคู่คมที่สบตากันเพียงชั่วครู่
“พี่วีร์จะไปส่งอัยย์เหรอคะ”
“อืม”
เสียงตอบรับในลำคอของชัชวีร์ทำให้เธอดีใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเสนอตัวขับรถไปส่งเธอที่หอพัก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เรียนประถมศึกษาจวบจนเข้ามหาวิทยาลัย ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะใจดีเหมือนอย่างวันนี้ แต่ก็ต้องสำรวมกิริยาทำได้เพียงเผยรอยยิ้มบางเบา แล้วหันมองออกไปนอกกระจกด้านข้างเพื่อซ่อนใบหน้าดีใจ