บทนำ
“เป็นเกียรติมาก ที่แจมมาดินเนอร์กับผมคืนนี้”
ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมมือกระด้างยื่นมาวางทับมือบางของหญิงสาวที่อยู่บนโต๊ะอย่างถือโอกาส ทั้งส่งสายตาหวานเชื่อมพึงพอใจคนตรงหน้าอย่างไม่ปกปิด
รติยาฝืนยิ้มหากก็ยังสวยจับใจในสายตาคนมอง อยากดึงมือกลับเมื่อถูกนิ้วโป้งไล้อย่างมีความหมาย หญิงสาวพยายามไม่ส่งสายตาดุออกไป หากไม่เกรงใจว่าเขาเป็นลูกชายของเพื่อนพ่อคงกระชากกลับไปแล้ว
คนสวยคิดอย่างเคร่งเครียดทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า แล้วเลื่อนมือออกจากการเกาะกุมเบาๆ มายกไวน์จิบจนหมดแก้ว
“ไวน์เพิ่มนะครับ”
อีกฝ่ายเรียกพนักงานทันทีที่ถามจบ ไม่รอเธอปฏิเสธหรือตอบรับ
‘คิดมอมไวน์กันหรือไง ยากย่ะ’
หญิงสาวแอบค่อนขอดในใจ
“น่าเสียดายที่แจมไปใต้กับผมไม่ได้”
เขาเรียกชื่อเธอด้วยสำเนียงภาษาต่างประเทศเพราะเป็นลูกครึ่งอิตาเลียนฝรั่งเศส และทั้งสองก็คุยกันด้วยภาษาอิตาเลียนที่หญิงสาวพูดได้
“ช่วงนี้งานยุ่งมากเลยค่ะ”
“ผมได้ข่าวมาเหมือนกัน ว่ารถรุ่นใหม่ของเวลเลโอ ที่เพิ่งเปิดตัวที่อิตาลีเมื่อสองเดือนก่อนกำลังจะเปิดตัวที่ไทยเดือนหน้า”
เธอดูแลเรื่องงานส่วนประชาสัมพันธ์ของเวลเลโอในไทยและภาคพื้นเอเชีย โดยมีพี่ชายคนโตตติยะเป็นหัวเรือใหญ่ควบคุมการผลิตและจำหน่ายรถของเวลเลโอภาคพื้นเอเชีย ตระกูลของเธอทำธุรกิจนี้โดยมีบริษัทแม่อยู่ที่เยอรมนี
“แจมแพลนอยู่ไทยยาวเลยหรือเปล่า”
อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”
“แล้วถ้าเกิดแต่งงาน?”
ดวงตาคู่คมสีน้ำตาลเข้มสื่อความนัยทว่ารติยาตีเนียนไม่เข้าใจ
“เรื่องยังมาไม่ถึงตอบไม่ได้ค่ะ”
“ถ้าเร็วๆ นี้ล่ะ”
อามิน อามิดิโอ้ กับรติยาได้พบเจอกันบ้างในงานใหญ่ของสองครอบครัว แม้ไม่บ่อยจนรู้จักมักคุ้นแต่ก็เป็นระยะตั้งแต่เด็กจนโต ชายหนุ่มอายุเท่ากับพี่ชายคนรองของเธอและพวกเขาก็สนิทสนมกัน เรียกว่าเจอกันเมื่อไรก็เล่นด้วยกัน ตัวติดกันในสมัยเด็กกระทั่งเป็นผู้ใหญ่เริ่มทำงานจริงจังจึงห่างบ้าง แต่ยังติดต่อกันอยู่ ส่วนเธอนั้นเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยสุงสิงกับอามิน ไม่เล่นแบบผู้ชาย เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสาวก็พอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายสนใจ แต่เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขา
รติยายิ้มบาง หลุบตาลงมองนาฬิกาที่ข้อมือตนเอง
‘น่าจะมาได้แล้วนะ’
แม้ในหัวจะกังวนเล็กน้อยหากก็โต้ตอบชายหนุ่มได้อย่างไม่ดูติดขัด
“ตอนนี้แยมยังอยากอยู่ไทย ยังอยากทำงานน่ะ”
ตอบไปแล้วก็เห็นคิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย แล้วสายตาคมของชายหนุ่มก็เหลือบผ่านเธอไป รติยาแว่วเสียงเดินตรงมายังเธอ ใจสาวเต้นแรงแล้วกลั้นใจเมื่อเสียงนั้นหยุดลง กลิ่นหอมหวานคุ้นเคยโชยรอบตัวเมื่อความอบอุ่นประชิด และมือบางวางโอบไหล่เธอ ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบหวานใกล้หู
“ขวัญมารับแล้วจ้ะ”
พูดจบก็ตามด้วยสัมผัสข้างแก้มพร้อมเสียง ‘จุ๊บ’
“เสร็จธุระหรือยัง กลับเลยไหม”
รติยาเห็นว่าหนุ่มต่างชาติสุดหล่ออึ้งไปเล็กน้อย แล้วจ้องตามคนที่ยืดตัวขึ้นยืนข้างเธอ จึงเงยขึ้นตามแล้วหันไปยิ้มหวานให้คนมาใหม่
“กินเสร็จแล้วล่ะ แต่ว่าขวัญจ๊ะ นี่คุณอามิน”
ท้ายประโยคหันมาทางชายหนุ่มเพื่อแนะนำเขารติยาเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ
“คุณอามินเป็นเหมือนพี่ชายอีกคนของแยมจ้ะ ครอบครัวเราสนิทกัน รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก”
เธอจงใจพูดให้อามินรู้ว่าตนคิดกับเขาอย่างไรและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แล้วก็ได้เห็นคิ้วเข้มกระตุกเล็กน้อย ทว่าเขาก็ลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง รติยาจึงลุกตามพร้อมบอกต่อ
“นี่ขวัญ อืม...คนที่แยมรักค่ะ”
หญิงสาวหยุดเหมือนเลือกใช้คำ ทั้งยังตั้งใจดึงความสนใจของชายหนุ่มและทำเอาเขานิ่งเงียบไป
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณอามิน”
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณ...”
อามินไม่ได้เสียมารยาท เขายื่นมือมาทักทาย แม้น้ำเสียงออกจะราบเรียบสักหน่อยแถมออกเสียงชื่อของหญิงสาวไม่ได้
หนึ่งฤทัยไม่นึกอยากจับมือชายหนุ่มสักนิด แต่ก็จำต้องจับอย่างเสียไม่ได้เบาๆ แล้วรีบปล่อย เธอรู้ว่าอีกฝ่ายต้องรู้สึกได้ว่าเธอไม่พิสมัยเขานัก
“ชื่อขวัญออกเสียงยากสักหน่อยน่ะค่ะ”
แม้จะพูดกับอามินด้วยภาษาอังกฤษแต่รติยาก็ออกเสียงชื่อเพื่อนสาวของตนอย่างชัดเจน
“ขวาน”
รติยายิ้มบางการพยายามพูดทั้งยังมองหน้าหนึ่งฤทัยของชายหนุ่ม แต่เจ้าของชื่อกลับหน้าหงิก แล้วบอกปัดอย่างไรเยื่อใย คิดว่าอย่างไรก็ไม่ต้องเจอหน้ากันอีกแล้ว
“ไม่ถนัดก็ไม่ต้องพยายามก็ได้”
“แล้วนี่แจมจะกลับเลยเหรอ ผมแพลนว่าจะชวนไปฟังเพลงต่อสักชั่วโมงสองชั่วโมง”
“ฉันไม่ชอบให้แยมเขาไปดื่มหรือฟังเพลงกับผู้ชายดึกๆ เท่าไร”
พร้อมพูดหนึ่งฤทัยก็โอบเอวบางของรติยามาใกล้ตนอย่างหวงแหน เห็นว่าตาคมหลุบมองมือตนก็ลูบเบาๆ เป็นย้ำความเป็นเจ้าของ
สันกรามชายหนุ่มขยับเล็กน้อยแต่เขาก็บอกเสียงเรียบ
“เชิญคุณด้วยก็ได้”
“ไม่ล่ะ ฉันนอนไม่เกินสี่ทุ่ม แล้วก็ไม่ชินที่ต้องนอนคนเดียว”
หญิงสาวบอกหน้าตาย ขณะที่รติยายิ้มเขินให้กับอามินแล้วเอ่ยอย่างเกรงใจ
“แยมต้องขอตัวนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่อีกสองวันผมต้องลงใต้ แจมสะดวกพบกันก่อนไหม”
“เอ่อ...”
รติยาคิดหนัก คิดว่าชายหนุ่มต้องการรู้เรื่องหนึ่งฤทัยกับเธอแน่นอน ความจริงเธอไม่ค่อยอยากพบอามินเป็นส่วนตัวนักเพราะรู้ว่าชายหนุ่มคิดอย่างไรกับตน แต่วันนี้พี่ชายไม่สะดวกมาด้วยเธอจึงต้องมาดินเนอร์กับเขาตามลำพัง ในเมื่ออีกฝ่ายมาถึงเมืองไทย อย่างไรบิดาก็ฝากฝังให้ดูแลต้อนรับ
“ถ้าจะนัด ฉันขอมาด้วยได้ไหม”
หนึ่งฤทัยเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มจึงถอนหายใจ
“เอาเป็นว่ากลับจากใต้แล้ว ผมจะนัดแจมอีกครั้งก็แล้วกัน”
อามินไม่ตอบรับหญิงสาวอีกคน เขาพูดและมองรติยาเพียงเท่านั้น แววตาของชายหนุ่มจริงจังนิ่งลึก
รติยายิ้มบางยอมตกลง อย่างไรเสียก่อนเขาจะกลับก็คงต้องมีการเลี้ยงส่ง ถึงตอนนั้นเธอจะชวนพี่ชายกับพี่สะใภ้มาด้วยให้ได้
หลังจากกล่าวลาแล้วสองสาวก็เดินออกมา โดยหนึ่งฤทัยโอบเอวรติยาไม่ยอมปล่อย ส่วนสายตาคมที่มองตามทั้งสองนั้นฉายแววดุดันขึ้นมาชั่วแวบ
“แหม มีหนุ่มหล่อลากตามแบบนี้นี่เองถึงปฏิเสธขวัญ”
หนึ่งฤทัยเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในลิฟต์ของโรงแรมหรูที่มีห้องอาหารอยู่ชั้นบนสุด
“ขวัญก็ อย่าแซวสิ ตอนเดินออกมารู้สึกเสียวสันหลังวูบยังไงไม่รู้”
รติยาคิดว่าอามินอาจจะยังไม่รามือในเร็ววันนี้ แต่หากเห็นรสนิยมของเธอก็อาจมีลังเลและเก็บไปคิดใหม่บ้าง
ไม่นานสองสาวก็ออกจากลิฟต์ ขณะที่หนึ่งฤทัยนึกขำก็พูดขึ้น
“เห็นหน้าหมอนั่นตอนมองขวัญ เขาตกใจนะ แต่เก็บสีหน้าเก่งชะมัด หล่อน่ะก็หล่อดีอยู่หรอก เจอไปแบบนี้ คงเสียเซลฟ์น่าดู”
“แน้ บอกว่าเขาหล่อ จีบเองเลยสิจ๊ะ”
รติยาแหย่พร้อมกระแทกไหล่เพื่อนสาว แต่อีกฝ่ายทำท่าสยิว
“ฮึ่ย ไม่เอา แยมก็รู้ขวัญไม่ชอบแบบกระด้าง ชอบนุ่มๆ”
พร้อมกับพูดหนึ่งฤทัยก็ลูบก้นเธอและยังกระซิบข้างหู ทำเอารติยาสะดุ้งรีบถอยห่าง
“อย่าเล่นแบบนี้ ขนลุก”
เธอไม่ได้ดุอีกฝ่าย แต่บอกอย่างขอร้องเจ้าตัวก็เพียงยักไหล่
สองสาวหยุดยืนคุยกันด้านหน้าโรงแรมรอพนักงานนำรถมาจอด หลังจากแจ้งกับเคาน์เตอร์แล้ว ไม่นานก็ขึ้นรถที่หนึ่งฤทัยเป็นคนขับออกไป โดยไม่รู้ว่ามีคนของอามินได้รับคำสั่งให้แอบจับตาดูสองสาวอยู่ที่ชั้นล่าง
“ท่าทางของมิสเวลเล่ ไม่ได้ชื่นชอบการถูกเนื้อต้องตัวจากผู้หญิงอีกคนครับ”
คนของอามินรายงานผู้เป็นนายตามสิ่งที่เห็น
======