“อะไรนะคะ จะให้แยมกลับเยอรมัน”
หญิงสาวที่เพิ่งวิดีโอคอลกับมารดาในห้องทำงานของตนเสียงเครียด
“แยมทำงานมีปัญหาเหรอคะ ทำไมต้องย้าย”
เรื่องย้ายกลับเพราะพ่อกับแม่อยากให้ไปอยู่ใกล้ไม่แย่ในความรู้สึกของรติยาเท่ากับบิดาจะส่งคนอื่นมาทำงานแทนด้วย เธอจึงคิดว่าอาจเป็นเพราะปัญหาเรื่องงาน
‘พ่อเราไม่ค่อยพอใจเรื่อง...คนรักของเราน่ะ’
“คะ?”
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น เธอไปมีคนรักตั้งแต่เมื่อไร จำได้ว่ายังไม่เคยแนะนำหรือหลุดพูดอะไรให้ทางบ้านรู้เรื่องส่วนตัวเลย
‘คืออามินน่ะ เขาพูดกับพ่อ’
หญิงสาวแทบจะร้องอ๋อออกมาเมื่อได้รู้ว่าสายข่าวเป็นไคร
‘พ่อเราก็เคยพูดแล้วว่าไม่ได้บังคับเรื่องลูกกับอามิน แต่เขาบอกว่าเห็นทีคราวนี้ต้องบังคับกัน พ่อโมโหมากนะลูก ถึงสมัยนี้จะยุคเสรีเรื่องรสนิยม แต่พ่อไม่โอเค ยิ่งถ้ารู้ไปถึงปู่ล่ะก็...’
มารดายังพูดมาอีกยาว แต่รติยาแทบไม่ฟังอะไรแล้ว ในหัวเต็มไปด้วยความโมโห ทั้งยังแอบเข่นเขี้ยวถึงตัวการ ไม่คิดว่าเขาจะขี้ฟ้อง และใช้วิธีเตะตัดขาเข้าทางอยู่ใหญ่
คิดไปแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด พลางมือบางกุมท้องตัวเองไปด้วย เธอรู้สึกปวดท้องแปลกๆ มาตั้งแต่เช้าแล้ว แถมยังคลื่นไส้กับอาเจียน แม้จะสิบเอ็ดโมงแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ยิ่งมาได้ฟังคำบอกของมารดายิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี ทั้งมึนหัวทั้งเครียดหนักเข้าไปอีก
“แม่ แยมรู้สึกไม่ค่อยดี แค่นี้ก่อนนะคะ”
‘แยม รักกันจริงน่ะเหรอลูก แม่ไม่คิดเลยว่าลูกจะรักชอบผู้หญิง ไม่เห็นเคยมีวี่แวว’
คุณอรกนิตยังถาม แม้จะเห็นจากหน้าจอว่าลูกสาวสีหน้าไม่ดี ขมวดคิ้วบ่อยครั้งแต่เข้าใจว่าขุ่นเคืองในสิ่งที่ตนบอกจึงพยายามกล่อม
‘แม่ว่า กลับมาตามที่พ่อสั่งเถอะนะลูก’
“แม่...แยมปวดท้อง แค่นี้ก่อนนะคะ บายค่ะ”
รติยาขอตัดสายวิดีโอคอล
คุณอรกนิตเองก็รู้สึกว่าลูกสาวแปลกไป ปกติแม้จะงอนหรือไม่พอใจอย่างไรเจ้าตัวก็จะอ้อนขอผ่อนผันมากกว่าตัดบทอย่างครั้งนี้ ทำให้ท่านต่อสายหาลูกชายคนโต
ร่างระหงงดงามในชุดทำงานเนี้ยบลุกขึ้นด้วยท่าทางไม่ดีนัก หยิบมือถือกับกระเป๋าเดินกุมท้องเปิดประตูห้องออกไปเรียกหาคนสนิทของตัวเอง
“คุณพรรษ คุณสินี แยมจะไปโรงพยาบาลค่ะ”
รติยาปวดท้องหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพิสินีต้องขอรถเข็นให้กับหญิงสาว พรรษซึ่งเป็นเลขาแจ้งมาร์โกการ์ดที่มีหน้าที่ตามดูแลเจ้านายของตนแบบห่างๆ ในทันที เมื่อรติยาออกจากห้องมาด้วยท่าทางไม่ดีนัก แล้วก็ให้พิสินีผู้ช่วยของตนมากับหญิงสาว เพราะเขาเป็นผู้ชายไม่เหมาะจะประคองใกล้ชิดเจ้านาย โดยมีมาร์โกขับรถให้
คนป่วยหน้าซีดเผือดเหงื่อซึมหน้าผากขณะบุรุษพยาบาลเข็นรถพาไปยังห้องฉุกเฉิน พร้อมกับมีคนเข้ามาถามอาการเธอก็ตอบไป ส่วนพิสินีพยายามกุมมือเจ้านายสาวไว้ไม่ห่าง และมาร์โกโทรรายงานเรื่องกับตติยะทว่าไม่ปล่อยให้รติยาคลาดสายตา
“เชิญญาติรอข้างนอกนะคะ”
รติยากลัวแต่เธอก็พยายามไม่วิตกมากจนเกินไป เมื่อหมอเข้ามาตรวจแล้วก็ซักถามอาการปวด ตรวจร่างกายแล้วหมอบอกว่าอาการเหมือนไส้ติ่งอักเสบ ก่อนจะเจาะเลือด ระหว่างรอผลการ์ดก็มาบอกเธอว่าตติยะติดประชุมแต่เอื้อมธารพี่สะใภ้ของเธอกำลังมา ทั้งพิสินีเองก็เข้ามาจับมือบอกว่าจะอยู่กับเธอที่นี่ไม่ไปไหน
เป็นครั้งแรกที่รติยาตกอยู่ในภวังค์หวาดหวั่น ใจไม่ดีเลย แต่ได้รู้ว่าคนรอบข้างห่วงใยตนก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เอื้อมธารมาถึงไม่นานก่อนหมอจะมาแจ้งผลเลือด บอกว่าเธอเป็นไส้ติ่งอักเสบและส่งต่อหมอผ่าตัด
รติยาปวดท้องจนไม่อาจงอตัวได้ ได้แต่พยายามขยับตัวน้อยที่สุด และพยายามนอนหลับตากัดริมฝีปากตัวเอง สงบสติอารมณ์ โดยมีพี่สะใภ้กุมมือไม่ห่าง ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนมาใหม่น่าจะเป็นหมอซึ่งซักถามอาการกับทางพยาบาล ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ
“อาการปวดเพิ่มมากขึ้นไหมครับ”
เพราะกระแสเสียงที่ดูอบอุ่นทุ้มราวคุ้นเคยทำให้รติยาลืมตา แล้วก็สบตาเข้ากับดวงตาคมดำขลับชวนมองหลังแว่นใส ทั้งใบหน้าหล่อที่สวยบาดตาบาดใจทำให้ลมหายใจหญิงสาวสะดุดไปชั่วอึดใจ
“น้องแยมท่าทางไม่ดีเลยค่ะหมอ”
เป็นเอื้อมธารที่เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทั้งสองคนรู้จักกันดีเพราะหญิงสาวทำงานที่คลินิกของหมอหนุ่ม ซึ่งเขาก็หันไปยิ้มรับกับพี่สะใภ้แล้วหันกลับมายิ้มบางให้เธอ
“คนไข้ต้องงดน้ำกับอาหารหกถึงแปดชั่วโมงก่อนผ่าตัดนะครับ แต่หมอจะให้พยาบาลดูอาการตลอด ถ้าทนไม่ไหวรีบแจ้งนะครับ”
หมอหนุ่มพูดพลางระบายยิ้มอย่างใจดี รติยากะพริบตาก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อรู้ว่าตนเงียบนานเกินไป
“นี่ถ้าไม่เห็นซีก่อน คงไม่ทันสังเกตว่าเป็นน้องแยม”
วิศรุตต์บอกพร้อมจ้องตาเธอ
“สวยจนจำไม่ได้”
คนถูกชมหน้าร้อนผ่าว แม้จะปวดท้องทว่าก็เกิดอาการมวนในช่องท้องพิกล
“วางใจได้เลยครับ พี่จะผ่าตัดให้อย่างดี”
รติยาหน้างอเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเบา
“แยมไม่อยากให้หน้าท้องมีแผลเป็น”
“นิดเดียวครับ แทบมองไม่เห็น”
โทนเสียงอบอุ่นราวปลอบเด็กทำให้ใจสาวเต้นแรงเหมือนเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นสาวน้อย แม้จะผ่านไปหลายปีทว่ารติยาก็ยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี พร้อมทั้งสายตาคมที่กวาดมองในวันแต่งงานของพี่ชายก็เช่นกัน
การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี รติยาพักฟื้นต่อที่โรงพยาบาลมาสองวันแล้ว ทั้งที่ชายและพี่สะใภ้ไม่ได้ค้างด้วยแต่จ้างพยาบาลพิเศษดูแลเธอ เพราะทั้งสองคนมีลูกแฝดวัยเจ็ดขวบต้องดูแล ทว่าก็ฝากฝังเพื่อนหมอหนุ่มให้แวะเวียนมาดูอาการหากพอจะมีเวลา ทำให้หญิงสาวไม่ได้เคืองพี่ชาย
“พรุ่งนี้น้องแยมจะได้กลับบ้านแล้ว ดีใจไหมครับ”
วิศรุตต์แวะมาดูน้องสาวเพื่อนตอนสามทุ่มหลังผ่าตัดเสร็จก่อนตนจะกลับ โดยให้พยาบาลพิเศษออกไปทำธุระส่วนตัวก่อน
“ไม่ค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ นอนเฉยๆ ทั้งวันน่าจะเบื่อไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็จะไม่ได้เจอพี่หมอแล้วนี่คะ”
“พูดแบบนี้พี่ดีใจนะครับเนี่ย”
ชายหนุ่มพูดอย่างไม่คิดมาก โดยไม่รู้ว่ารติยาคิดลึกจริงอยากที่เอ่ยออกไป
‘แม่ตกใจมากเลยตอนรู้ว่าเราปวดท้อง’
พี่ชายของเธอเล่าให้ฟังตอนมาเยี่ยม แต่เขาก็ดุเธอซ้ำมาอีกเรื่องที่เธอโกหกอามิน เพราะตติยะรู้ดีว่าเธอไม่ได้คบหาใคร
‘ส่วนเรื่องที่เราโกหกอามินน่ะ พี่ก็บอกไปแล้วว่าไม่จริง พ่อกับแม่ยิ่งไม่พอใจรู้ไหม บ่นว่าเราทำตัวเป็นเด็กเล่นขายของ ถ้าไม่เห็นว่าไม่สบายอยู่ คงได้เฉ่งแน่’
นั่นทำให้รติยาขอเขาเอาไว้ว่ายังไม่อยากคุยกับบิดามารดาจนกว่าจะดีขึ้น พร้อมกับขอให้พี่ชายช่วยพูดให้เธอทำงานที่นี่ต่อ แต่ชายหนุ่มกลับตีหน้าตาย
‘เราทำให้พ่อไม่ไว้ใจไปแล้ว พี่จะพูดอะไรได้’
‘น่านะพี่ติว แยมไม่อยากไป ขืนไปอยู่ที่นั่น อามินก็หาเรื่องมาเจอง่ายขึ้นไปอีก แยมไม่ชอบเขา’
‘เขาก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่’
‘ก็ไม่ชอบอะ’
หญิงสาวหน้างอ พี่ชายจึงถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาลอยๆ
‘เฮ้อ...ถ้าเรามีแฟนดีๆ หน้าที่การงานดีเชื่อถือได้ ก็ว่าไปอย่าง นี่เอาเพื่อนผู้หญิงไปอ้าง หาเรื่องชัดๆ’
‘งั้นถ้าแยมมีแฟนดีๆ พี่ติวจะช่วยพูดให้ใช่ไหมคะ’
‘คิดอะไรแผลงๆ อีกล่ะ’
รติยาไม่ตอบแต่ยิ้มหวานให้พี่ชายและหมายมาดอยู่ในใจเพียงคนเดียว
ดวงตาคู่สวยมองสบกับดวงตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นใสอย่างมีความหมายพร้อมยิ้มหวานนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ราววิศรุตต์จะจับความรู้สึกได้เพราะเขาขมวดคิ้วก่อนจะกระแอม
“เอ้อ พี่คงต้องกลับแล้ว ขอตัวนะครับ”
หมอหนุ่มบอกแล้วตั้งใจจะผละไปแต่รติยาคว้ามือหนาไว้พร้อมร้องขึ้นเบาๆ
“โอ๊ย...”
“เป็นอะไรครับ”
ชายหนุ่มรีบถามทันที แปลกใจที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เจ็บขึ้นมา
“แยมเจ็บ...เจ็บตรงนี้ค่ะ”
เธอดึงมือหนามาวางบนหน้าท้องตัวเองตรงส่วนที่เพิ่งผ่าตัด
“เจ็บเหรอครับ งั้นขอดูแผลหน่อยนะ”
หญิงสาวพยักหน้ายินยอมทั้งยังรั้งเสื้อขึ้นให้อย่างไม่อิดออดจนคุณหมอหนุ่มเองยังใจกระตุกเพราะสูงจนมองเห็นใต้ฐานเนินเนื้อกลมกลึงรำไรแต่พยายามใส่ใจแค่รอยแผลผ่าตัด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
“ปกติดีนี่ครับ”
เขาบอกแล้วจับเสื้อลงให้หญิงสาว
รติยาจับมือหนามากุมแนบอกพร้อมพูดเสียงเบา
“แยมไม่เจ็บอะไรหรอกค่ะ แต่ไม่อยากให้พี่หมอไป”
“แยม...”
วิศรุตต์อ้ำอึ้ง ยังมึนงงกับสิ่งที่หญิงสาวทำ
“พูดอะไรครับเนี่ย”
“อยู่เป็นเพื่อนแยมคืนนี้ได้ไหมคะ”
“อะไรนะครับ”
“นะคะ”
เสียงหวานอ้อนพร้อมส่งสายตาหวานเปิดเผยความนัย ทำเอาวิศรุตต์ไปไม่เป็น ความจริงเขาก็สังเกตเห็นแววตาของรติยาเวลามองตนในตอนที่มาดูอาการ แต่พยายามไม่คิดมาก
“รู้ตัวไหมว่าพูดอะไร”
“รู้สิคะ แยมโตแล้ว รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการอะไร”
คนพูดสื่อความหมายชัดเจนผ่านแววตา
“แยมจะบอกว่าชอบพี่? ต้องการพี่?”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามออกไปอย่างโจ่งแจ้ง แต่ในเมื่อผู้หญิงอย่างรติยาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา แล้วผู้ชายอย่างเขาจะหลบเลี่ยงก็กระไรอยู่
“ค่ะ”
รติยาตอบรับบางเบาทว่ามั่นคง ออกจะขัดเขินอยู่เหมือนกันที่เป็นฝ่ายรุกก่อน แต่เธอรู้ใจตัวเองตั้งแต่วันที่ได้เห็นหน้าหมอหนุ่มหน้าสวยอีกครั้ง
เขายังอยู่ในใจเธอ ตั้งแต่เป็นสาวน้อยมาจนถึงตอนนี้ เป็นคนเดียวที่ทำให้เธอหน้าร้อน หัวใจสั่นไหว
“พูดแบบนี้กับผู้ชายไม่ดีนะครับ”
“แยมพูดแค่กับพี่หมอ”
“พี่เป็นคนพิเศษ?”
“ค่ะ”
“เป็นไปได้ยังไง เราเพิ่งเจอกันไม่กี่วันเนี่ยนะ”
“เราเจอกันหลายปีแล้วค่ะ แต่ตอนนั้นพี่หมอเห็นแยมเป็นเด็ก”
รติยาตั้งใจบอกกลายๆ ว่าความรู้สึกของเธอเกิดขึ้นนับแต่ตอนนั้น เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนหน้าตาหล่อแบบสวยคมมาก่อน หญิงสาวอยู่เมืองนอกที่มีแต่หนุ่มหล่อเข้มเคราครึ้ม มาเจอวิศรุตต์เพื่อนพี่ชายที่เป็นหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่กลับสวยน่ามองทำให้เธอมักจะแอบมอง แล้วพอตาคมของเขาเหลือบมาทางเธอเหมือนจะรู้ว่าเธอมองเมื่อไร รติยาก็หายใจติดขัดทำตัวไม่ถูก หน้าร้อนจัด ใจเต้นรัว และเธอก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่เพื่อนๆ ในไฮสคูลด้วยกันพูดเรื่องการตกหลุมรัก เป็นความรู้สึกดีๆ ในช่วงวัยเริ่มโตเป็นสาวที่หญิงสาวเก็บเอาไว้ในใจเสมอกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย
แม้มาทำงานที่เมืองไทยรติยาจะไม่ได้คาดหวัง ไม่เคยคิดย้อนถึงความรู้สึกวัยสาวน้อย แต่วิศรุตต์เหมือนเป็นโรลโมเดลที่เธอตั้งเอาไว้ ว่าหากใครสามารถทำให้ใจเต้นรัวได้เหมือนเขา เท่ากับเธอตกหลุมรักคนคนนั้น ทว่ากลับไม่มีเลย จนเมื่อได้มาพบชายหนุ่มอีกครั้ง
นั่นทำให้รติยาบอกตัวเองในทันทีว่า เธอตกหลุมรัก แต่เป็นผู้ชายคนเดิม และเขานี่แหละจะเป็นสามีในอนาคตของเธอ
หญิงสาวตั้งใจเดินหน้าลุยคว้าหัวใจของวิศรุตต์ เพราะเธอมาถึงทางตันแล้ว เธอต้องมีคนรัก ต้องเป็นคนที่บิดามารดารวมทั้งพี่ชายเชื่อใจได้ แล้วคุณหมอหนุ่มหล่อตรงหน้าก็เพอร์เฟกต์ตรงสเปกครอบครัวเธอ
รติยามั่นใจว่าหากเป็นวิศรุตต์ครอบครัวเธอทุกคนจะต้องเห็นดีด้วย ในเมื่อบิดามารดาของเธอเคยพบชายหนุ่มแล้ว และตติยะก็รู้จักเพื่อนของเขาดี
“ชอบพี่ตั้งแต่ตอนนั้นหรือไง แก่แดดนะเรา”
“ถ้าตอบว่าใช่ พี่หมอจะรับแยมไว้พิจารณาไหมคะ”
“เอาจริงเหรอแยม”
วิศรุตต์ชักไม่แน่ใจแล้วว่าควรต่อคำหรือไม่ ท่าทางหญิงสาวดูมุ่งมั่นเหลือเกิน ขณะที่เขายังไม่ทันตั้งตัวหรือคิดไปไกล
“พี่หมอมีแฟนหรือยังคะ”
“ยังครับ”
“โสดมานานแบบนี้ ชอบผู้หญิงนะคะ”
รติยาไม่ลืมถามข้อนี้ พร้อมเขม้นมองราวจับผิดซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้ารับอย่างอ่อนใจ
“ครับ”
“งั้นเดตกับแยมนะคะ”
“พี่ว่า...”
“จุ๊บ”
มือเขาถูกยกขึ้นจากอกอวบไปประทับจูบตรงหลังมืออย่างรวดเร็วทำเอาร่างสูงกำยำชะงักกึกในทันใด ราวกระแสไฟแล่นปราดช็อตไปทั้งตัว ดวงตาคมฉายแสงวาบวับชั่วแวบขณะมองหญิงสาว ก่อนจะดุเบาๆ
“อย่ามือไวใจเร็วสิ ทำแบบนี้กับผู้ชายมันไม่ดีนะครับ”
“คบกับแยมนะคะ”
หญิงสาวยังย้ำแล้วจูบหลังมือเขาซ้ำอีกราวไม่ได้ยินคำเตือนของเขา
“แยมครับ”
วิศรุตต์อ่อนใจ ขณะเดียวกันก็ใจกระตุกไม่น้อยเลย เจอสาวสวยรุกเร็วอย่างนี้ใครจะไม่เป๋บ้าง พอเจ้าตัวจะจูบมือเขาอีกชายหนุ่มก็รั้งมือกลับ แล้วโน้มเท้าเตียงคร่อมอีกฝ่ายไว้ ส่งสายตาดุนิดๆ เพื่อกำราบ
“ไม่เล่นแบบนี้นะครับ พี่ตบะแตกขึ้นมาจะว่ายังไง”
“แยมไม่ได้เล่น”
“ตกลงจะคบกับพี่จริงๆ?”
“ใช่ค่ะ”
หมอหนุ่มสบกับดวงตาคู่สวยที่สุกสกาวนิ่งชั่วอึดใจก่อนจะตัดสินใจ
“โอเค แต่...”
หญิงสาวเผยยิ้มหวานน่ามอง แต่ก็ชะงักตามคำพูดของเขา
“บอกไว้ก่อนว่าพี่เป็นคนเรื่องมาก เจ้าระเบียบ ชอบความสะอาดเรียบร้อย แล้วที่สำคัญ...ไม่มีเวลาเดต”
รติยานิ่งคิดตามแล้วเผยยิ้มพิมพ์ใจอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ แยมเข้าใจ”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจจริงหรือไม่ แต่วิศรุตต์คิดว่าเดี๋ยวเจ้าตัวอาจจะเบื่อไปเอง เพราะเขาไม่มีเวลาจริงๆ ชีวิตก็อยู่แต่โรงพยาบาล คลินิก และคอนโด วนเวียนอยู่แบบนี้ งานยุ่งจนไม่มีปลีกไปไหน แถมเพื่อนหลายคนต่างก็แต่งงานมีลูกแล้วด้วยวัยที่เหมาะสม ไม่ได้นัดเจอสังสรรค์กันนักเหมือนเช่นตอนที่ต่างก็ยังโสด ชีวิตเขาจึงมีแต่งาน
ทว่าสิ่งที่หมอหนุ่มคิดกลับผิดถนัด
======