เพื่อน(แอบ)รัก นายวิศวะ ตอนที่ 7

1521 Words
ตอนที่ 7 ECLIPSE CONDO คอนโดของไคตั้งอยู่บนตึกสูง ห้องกว้างจนฉันยังแอบอิจบางที—สามห้องนอน ห้องนั่งเล่นใหญ่ และระเบียงที่มองเห็นวิวเมืองทั้งเมือง ทุกครั้งที่มาที่นี่ หน้าที่ของฉันก็คือกวาด ถู จัดห้องให้เรียบร้อยตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่สมัยก่อน…การทำงานเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ก็ทำให้ฉันพอมีค่าขนมอยู่บ้าง พอได้ซื้อเสื้อผ้า หรือเที่ยวเล่นกับเพื่อนในบางครั้ง “เออ โม ทำเสร็จแล้วอย่าลืมทำการบ้านให้ด้วยนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากโซฟาหนังสีดำกลางห้อง ฉันหันไปมอง ร่างสูงของเขานอนเอกเขนกอยู่ มือถือแท็บเล็ตเล่นเกมไปพลาง พลิกตัวหันมามองฉันพลางยกคิ้ว “รีบ ๆ หน่อยล่ะ ครูตรวจโหด” ฉันถอนหายใจ “นี่นายจ้างฉันทำความสะอาด ไม่ใช่จ้างมาทำการบ้านนะไค” “ก็เหมือนกันนั่นแหละ” เขาตอบหน้าตาย มือยังไม่ละจากแท็บเล็ต “ฉันจ่ายอยู่แล้วนี่” ฉันหันกลับไปเช็ดโต๊ะอาหาร แต่พึมพำเบา ๆ “กวนตีน” “ว่าอะไรนะ?” เสียงเขาแกล้งถามทันที ฉันหันขวับ “ฉันบอกว่ากวนประสาท!” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงทุ้มก้องไปทั่วห้องกว้าง “อืม กวนจริงด้วย” ฉันเม้มปาก หยิบสมุดการบ้านของเขาที่กองอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิด “เออ ๆ ไหนล่ะ จะเอาอะไรให้ทำบ้าง” เขาเอนหัวพิงโซฟา มองฉันด้วยสายตากวน ๆ “ทั้งเล่ม” ฉันแทบเขวี้ยงสมุดใส่หน้า “ไค!!” เขายักไหล่ “เออออ ทำๆ ไปเถอะน่า เธอทำเสร็จเร็วกว่าอยู่แล้ว ฉันก็ไว้ใจได้เลย” ฉันบ่นอุบอิบ แต่สุดท้ายก็นั่งลงที่โต๊ะทำงาน หยิบปากกามาเขียนทีละข้อ รู้สึกได้ถึงสายตาที่ทอดมาจากโซฟาตลอดเวลา “เลิกจ้องฉันได้แล้ว!” ฉันโพล่งขึ้นในที่สุด “หืม? ฉันก็แค่นอนเฉย ๆ เองนะ” เขาตอบยิ้ม ๆ ดวงตาคมกริบยังคงไม่ละไปจากฉัน หัวใจฉันเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงจะพยายามทำเป็นโมโห แต่ความจริงคือ…การถูกเขาจ้องแบบนั้น มันทำให้ฉันหวั่นไหวทุกครั้ง เช้านี้ท้องฟ้าโปร่ง ลมเย็นอ่อน ๆ พัดเข้ามาในซอยเล็ก ๆ หน้าวัด ฉันกอดถุงใส่ของทำบุญแน่น เดินออกจากบ้านพร้อมสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจ เสียงบีบแตรสั้น ๆ ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ฉันเงยหน้าก็เห็นรถของไคจอดรออยู่ ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดเมื่อเห็นฉันเดินออกมา “พร้อมแล้ว?” เขาถามเสียงเรียบ “อืม…พร้อมแล้ว” ฉันพยักหน้าแล้วขึ้นรถไปนั่งข้าง ๆ ใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติที่เขาทำทุกปี ระหว่างทางเงียบไปพักใหญ่ จนฉันทนไม่ได้ต้องเป็นฝ่ายพูดก่อน “ขอบคุณที่ไปเป็นเพื่อนทุกปีเลยนะ…นายไม่เคยลืมเลยสักครั้ง” เขามองถนนตรงหน้าแต่ตอบทันที “ก็เธอไปคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว” “ฉันไปเองได้หรอก แค่ขึ้นรถสองแถวก็ถึง” ฉันยิ้มแหย ๆ “ไม่เหมือนกัน” เขาพูดชัดถ้อย “วันแบบนี้อยู่คนเดียวได้ไง” หัวใจฉันสั่นวูบ มือที่กอดถุงของทำบุญแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ฉันหันไปมองหน้าเขา ไหล่ที่มั่นคง และแสงแดดยามเช้าที่สะท้อนเข้ากับผิว เขาจนทุกอย่างดูอบอุ่นไปหมด “ขอบใจนะไค…” ฉันพึมพำเบา ๆ เขาเหลือบตามองฉันนิดหนึ่ง ก่อนหันกลับไปมองทางเหมือนเดิม ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่ฉันไม่ค่อยได้เห็นนัก “ไม่ต้องขอบใจหรอก โมอา มันก็เรื่องของฉันเหมือนกัน” ฉันชะงักไปกับประโยคนั้น รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนในเสี้ยววินาที รถแล่นเข้าไปในลานวัดช้า ๆ และฉันก็รู้ตัวว่า ต่อให้กระแสข่าวหรือเสียงซุบซิบรอบตัวจะเป็นยังไง…สำหรับฉันแล้ว ไคไม่เคยเปลี่ยนเลยสักปีเดียว วัดเนินทองอรุณ เสียงระฆังดังแว่วเบา ๆ เมื่อเราก้าวเข้ามาในศาลาไม้ที่มีพระสงฆ์นั่งเรียงกันอยู่ กลิ่นธูปหอมจาง ๆ ลอยอบอวลไปทั่ว ฉันวางถุงสังฆทานลงตรงหน้า ยกมือพนมแล้วก้มกราบ พระสวดมนต์เบา ๆ เป็นทำนองแผ่วชัด ฉันหลับตา สูดหายใจลึก ๆ และในใจเอ่ย ถึงแม่ “แม่คะ…โมอามาแล้วนะ” ข้าง ๆ ฉัน ไคยกมือพนมเงียบ ๆ เขาไม่ได้แสดงพิธีรีตองอะไรมากนัก แต่เพียงการที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ทุกปี…ก็เพียงพอแล้ว เมื่อเสร็จพิธี ฉันลุกขึ้นไปรับขันน้ำกรวดมานั่งที่ลานหินข้างศาลา ต้นโพธิ์ใหญ่โยกไหวช้า ๆ ตามแรงลม ไคยื่นขันน้ำมาให้ช่วยจับ “ถือดี ๆ เดี๋ยวหก” เสียงเขาเรียบง่าย แต่สายตากลับจับจ้องที่มือฉัน “รู้แล้วน่า ฉันไม่ซุ่มซ่ามขนาดนั้นหรอก” ฉันบ่นพลางก้มลงรินน้ำใส่พื้นหญ้าช้า ๆ เสียงน้ำหยดลงเบา ๆ คล้ายเป็นสัญลักษณ์ของการส่ง ต่อบุญกุศลให้ผู้ล่วงลับ ฉันพึมพำในใจ “บุญนี้ขออุทิศให้แม่…ให้แม่ไปอยู่ในที่ที่ดี ที่สงบสุข” เมื่อเสร็จ ฉันส่งขันคืนให้ไค เขารับไปวางข้างตัวอย่างเงียบ ๆ “ทุกครั้งที่กรวดน้ำ ฉันก็จะคิดถึงแม่ตลอด” ฉันเอ่ยเสียงแผ่ว “ก็ดีแล้วนี่” เขาตอบ “อย่างน้อยเธอยังได้ทำอะไรเพื่อแม่อยู่เสมอ” ฉันเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย รอยยิ้มบางคลี่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ถ้าไม่มีนาย…ฉันก็คงไม่มีกำลังใจมาถึงตรงนี้ทุกปีหรอก” เขาไม่ตอบอะไรทันที เพียงแค่เหลือบมามองแล้วเอื้อมมือมาวางบนศีรษะฉัน เคาะเบา ๆ แบบที่เขามักทำตั้งแต่เด็ก “ฉันสัญญา จะไม่ปล่อยให้เธอไปที่นี่คนเดียวหรอก” หัวใจฉันสะท้านวูบ รู้สึกได้ว่าทั้งโลกเหมือนเงียบลง เหลือแค่เราสองคนนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ในวัด…และความอบอุ่นจากมือของเขาที่ ทำให้ฉันแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หลังจากกลับจากวัด รถเพิ่งเลี้ยวเข้ามาในซอย โทรศัพท์ของไคก็ดังขึ้น เขากดรับแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนหันมาบอกฉัน “แม่บอกให้ไปกินข้าวที่บ้านเย็นนี้ด้วยกัน” ฉันเลิกคิ้ว “ว่างั้นหรอ ดีจัง…” เขาหันมามองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบ ๆ “ก็บ้านฉันถือว่าเป็นบ้านเธอเหมือนกัน” หัวใจฉันอบอุ่นจนเผลอยิ้มออกมา ช่วงเย็น กลิ่นหอมของแกงส้มลอยมาตั้งแต่หน้าประตูบ้าน ฉันเดินเข้าไปก็เจอ ป้ารรินดา แม่ของไค ยิ้มกว้างรออยู่ที่ครัว “โมอามาแล้วเหรอลูก~ มาช่วยป้าหั่นผักหน่อยเร็ว” “ได้เลยค่ะป้า” ฉันวางกระเป๋าแล้วรีบเดินเข้าไปหยิบมีดมาช่วยหั่นถั่วฝักยาวอย่างคล่องมือ ป้ารินดามองแล้วยิ้มเอ็นดู “เก่งเหมือนเดิมเลยนะ หนูโมอา ถ้าแม่หนูยังอยู่ คงภูมิใจแย่” ฉันยิ้มเจื่อน แต่ตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา “หนูพยายามทำให้ได้เหมือนแม่ค่ะ…” มือใหญ่ของ คุณลุงโจนาธาน พ่อของไคที่เพิ่งเดินเข้าครัวมาวางบนไหล่ฉันเบา ๆ “ไม่ต้องพยายามเหมือนใครหรอกลูก แค่เป็นตัวของตัวเอง ป้ากับลุงก็ดีใจแล้ว” ฉันพยักหน้าช้า ๆ ความอบอุ่นจากคำพูดนั้นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ ไม่นานนัก อาหารหลายอย่างก็ถูกยกออกมาวางบนโต๊ะกินข้าว—ทั้งแกงส้มชามใหญ่ ไก่ทอดกรอบ ๆ และผัดผักที่ฉันมีส่วนช่วยหั่นจนมือเมื่อยไปหมด “โมอา นั่งตรงนี้สิลูก” ป้ารินดาตบเก้าอี้ข้าง ๆ ตัวเอง ระหว่างทานข้าว บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คุณลุงเล่าเรื่องตอนเด็ก ๆ ของฉันกับไค—เรื่องที่ฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำ “จำได้มั้ย ตอนม.ต้นไคโดนเพื่อนแกล้ง แล้วหนูโมอาเป็นคนไปฟ้องครูให้?” ลุงหัวเราะ ฉันหัวเราะออกมาทันที “โห ลุงยังจำได้อีกเหรอคะ หนูจำแทบไม่ได้แล้ว” “แต่ฉันจำได้” ไคพูดเสียงเรียบ มองหน้าฉันเล็กน้อย ก่อนก้มลงตักข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไร หัวใจฉันสะดุดวูบ รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอดหลายปี มื้อนั้นจบลงด้วยความอบอุ่นเหมือนฉันไม่ใช่แขก แต่เป็นลูกสาวอีกคนของบ้านนี้จริง ๆ และฉันก็รู้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า…การได้มีไค และครอบครัวเขาอยู่ข้าง ๆ คือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ฉันเหลืออยู่แล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD