ตอนที่ 7
ECLIPSE CONDO
คอนโดของไคตั้งอยู่บนตึกสูง ห้องกว้างจนฉันยังแอบอิจบางที—สามห้องนอน ห้องนั่งเล่นใหญ่ และระเบียงที่มองเห็นวิวเมืองทั้งเมือง
ทุกครั้งที่มาที่นี่
หน้าที่ของฉันก็คือกวาด ถู จัดห้องให้เรียบร้อยตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่สมัยก่อน…การทำงานเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ก็ทำให้ฉันพอมีค่าขนมอยู่บ้าง พอได้ซื้อเสื้อผ้า หรือเที่ยวเล่นกับเพื่อนในบางครั้ง
“เออ โม ทำเสร็จแล้วอย่าลืมทำการบ้านให้ด้วยนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากโซฟาหนังสีดำกลางห้อง
ฉันหันไปมอง ร่างสูงของเขานอนเอกเขนกอยู่ มือถือแท็บเล็ตเล่นเกมไปพลาง พลิกตัวหันมามองฉันพลางยกคิ้ว “รีบ ๆ หน่อยล่ะ ครูตรวจโหด”
ฉันถอนหายใจ “นี่นายจ้างฉันทำความสะอาด ไม่ใช่จ้างมาทำการบ้านนะไค”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ” เขาตอบหน้าตาย มือยังไม่ละจากแท็บเล็ต “ฉันจ่ายอยู่แล้วนี่”
ฉันหันกลับไปเช็ดโต๊ะอาหาร แต่พึมพำเบา ๆ “กวนตีน”
“ว่าอะไรนะ?” เสียงเขาแกล้งถามทันที
ฉันหันขวับ “ฉันบอกว่ากวนประสาท!”
เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงทุ้มก้องไปทั่วห้องกว้าง “อืม กวนจริงด้วย”
ฉันเม้มปาก หยิบสมุดการบ้านของเขาที่กองอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิด “เออ ๆ ไหนล่ะ จะเอาอะไรให้ทำบ้าง”
เขาเอนหัวพิงโซฟา มองฉันด้วยสายตากวน ๆ “ทั้งเล่ม”
ฉันแทบเขวี้ยงสมุดใส่หน้า “ไค!!”
เขายักไหล่ “เออออ ทำๆ ไปเถอะน่า เธอทำเสร็จเร็วกว่าอยู่แล้ว ฉันก็ไว้ใจได้เลย”
ฉันบ่นอุบอิบ แต่สุดท้ายก็นั่งลงที่โต๊ะทำงาน หยิบปากกามาเขียนทีละข้อ รู้สึกได้ถึงสายตาที่ทอดมาจากโซฟาตลอดเวลา
“เลิกจ้องฉันได้แล้ว!” ฉันโพล่งขึ้นในที่สุด
“หืม? ฉันก็แค่นอนเฉย ๆ เองนะ” เขาตอบยิ้ม ๆ ดวงตาคมกริบยังคงไม่ละไปจากฉัน
หัวใจฉันเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงจะพยายามทำเป็นโมโห แต่ความจริงคือ…การถูกเขาจ้องแบบนั้น มันทำให้ฉันหวั่นไหวทุกครั้ง
เช้านี้ท้องฟ้าโปร่ง ลมเย็นอ่อน ๆ พัดเข้ามาในซอยเล็ก ๆ หน้าวัด ฉันกอดถุงใส่ของทำบุญแน่น เดินออกจากบ้านพร้อมสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจ
เสียงบีบแตรสั้น ๆ ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ฉันเงยหน้าก็เห็นรถของไคจอดรออยู่ ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดเมื่อเห็นฉันเดินออกมา
“พร้อมแล้ว?” เขาถามเสียงเรียบ
“อืม…พร้อมแล้ว” ฉันพยักหน้าแล้วขึ้นรถไปนั่งข้าง ๆ ใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติที่เขาทำทุกปี
ระหว่างทางเงียบไปพักใหญ่ จนฉันทนไม่ได้ต้องเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ขอบคุณที่ไปเป็นเพื่อนทุกปีเลยนะ…นายไม่เคยลืมเลยสักครั้ง”
เขามองถนนตรงหน้าแต่ตอบทันที “ก็เธอไปคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว”
“ฉันไปเองได้หรอก แค่ขึ้นรถสองแถวก็ถึง” ฉันยิ้มแหย ๆ
“ไม่เหมือนกัน” เขาพูดชัดถ้อย “วันแบบนี้อยู่คนเดียวได้ไง”
หัวใจฉันสั่นวูบ มือที่กอดถุงของทำบุญแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ฉันหันไปมองหน้าเขา ไหล่ที่มั่นคง และแสงแดดยามเช้าที่สะท้อนเข้ากับผิว
เขาจนทุกอย่างดูอบอุ่นไปหมด
“ขอบใจนะไค…” ฉันพึมพำเบา ๆ
เขาเหลือบตามองฉันนิดหนึ่ง ก่อนหันกลับไปมองทางเหมือนเดิม ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่ฉันไม่ค่อยได้เห็นนัก
“ไม่ต้องขอบใจหรอก โมอา มันก็เรื่องของฉันเหมือนกัน”
ฉันชะงักไปกับประโยคนั้น รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนในเสี้ยววินาที
รถแล่นเข้าไปในลานวัดช้า ๆ และฉันก็รู้ตัวว่า ต่อให้กระแสข่าวหรือเสียงซุบซิบรอบตัวจะเป็นยังไง…สำหรับฉันแล้ว ไคไม่เคยเปลี่ยนเลยสักปีเดียว
วัดเนินทองอรุณ
เสียงระฆังดังแว่วเบา ๆ เมื่อเราก้าวเข้ามาในศาลาไม้ที่มีพระสงฆ์นั่งเรียงกันอยู่ กลิ่นธูปหอมจาง ๆ ลอยอบอวลไปทั่ว
ฉันวางถุงสังฆทานลงตรงหน้า ยกมือพนมแล้วก้มกราบ พระสวดมนต์เบา ๆ เป็นทำนองแผ่วชัด ฉันหลับตา สูดหายใจลึก ๆ และในใจเอ่ย
ถึงแม่ “แม่คะ…โมอามาแล้วนะ”
ข้าง ๆ ฉัน ไคยกมือพนมเงียบ ๆ เขาไม่ได้แสดงพิธีรีตองอะไรมากนัก แต่เพียงการที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ทุกปี…ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อเสร็จพิธี ฉันลุกขึ้นไปรับขันน้ำกรวดมานั่งที่ลานหินข้างศาลา ต้นโพธิ์ใหญ่โยกไหวช้า ๆ ตามแรงลม ไคยื่นขันน้ำมาให้ช่วยจับ
“ถือดี ๆ เดี๋ยวหก” เสียงเขาเรียบง่าย แต่สายตากลับจับจ้องที่มือฉัน
“รู้แล้วน่า ฉันไม่ซุ่มซ่ามขนาดนั้นหรอก” ฉันบ่นพลางก้มลงรินน้ำใส่พื้นหญ้าช้า ๆ เสียงน้ำหยดลงเบา ๆ คล้ายเป็นสัญลักษณ์ของการส่ง
ต่อบุญกุศลให้ผู้ล่วงลับ
ฉันพึมพำในใจ “บุญนี้ขออุทิศให้แม่…ให้แม่ไปอยู่ในที่ที่ดี ที่สงบสุข”
เมื่อเสร็จ ฉันส่งขันคืนให้ไค เขารับไปวางข้างตัวอย่างเงียบ ๆ
“ทุกครั้งที่กรวดน้ำ ฉันก็จะคิดถึงแม่ตลอด” ฉันเอ่ยเสียงแผ่ว
“ก็ดีแล้วนี่” เขาตอบ “อย่างน้อยเธอยังได้ทำอะไรเพื่อแม่อยู่เสมอ”
ฉันเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย รอยยิ้มบางคลี่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ถ้าไม่มีนาย…ฉันก็คงไม่มีกำลังใจมาถึงตรงนี้ทุกปีหรอก”
เขาไม่ตอบอะไรทันที เพียงแค่เหลือบมามองแล้วเอื้อมมือมาวางบนศีรษะฉัน เคาะเบา ๆ แบบที่เขามักทำตั้งแต่เด็ก
“ฉันสัญญา จะไม่ปล่อยให้เธอไปที่นี่คนเดียวหรอก”
หัวใจฉันสะท้านวูบ รู้สึกได้ว่าทั้งโลกเหมือนเงียบลง เหลือแค่เราสองคนนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ในวัด…และความอบอุ่นจากมือของเขาที่
ทำให้ฉันแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
หลังจากกลับจากวัด รถเพิ่งเลี้ยวเข้ามาในซอย โทรศัพท์ของไคก็ดังขึ้น เขากดรับแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนหันมาบอกฉัน
“แม่บอกให้ไปกินข้าวที่บ้านเย็นนี้ด้วยกัน”
ฉันเลิกคิ้ว “ว่างั้นหรอ ดีจัง…”
เขาหันมามองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบ ๆ “ก็บ้านฉันถือว่าเป็นบ้านเธอเหมือนกัน”
หัวใจฉันอบอุ่นจนเผลอยิ้มออกมา
ช่วงเย็น กลิ่นหอมของแกงส้มลอยมาตั้งแต่หน้าประตูบ้าน ฉันเดินเข้าไปก็เจอ ป้ารรินดา แม่ของไค ยิ้มกว้างรออยู่ที่ครัว
“โมอามาแล้วเหรอลูก~ มาช่วยป้าหั่นผักหน่อยเร็ว”
“ได้เลยค่ะป้า” ฉันวางกระเป๋าแล้วรีบเดินเข้าไปหยิบมีดมาช่วยหั่นถั่วฝักยาวอย่างคล่องมือ
ป้ารินดามองแล้วยิ้มเอ็นดู “เก่งเหมือนเดิมเลยนะ หนูโมอา ถ้าแม่หนูยังอยู่ คงภูมิใจแย่”
ฉันยิ้มเจื่อน แต่ตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา “หนูพยายามทำให้ได้เหมือนแม่ค่ะ…”
มือใหญ่ของ คุณลุงโจนาธาน พ่อของไคที่เพิ่งเดินเข้าครัวมาวางบนไหล่ฉันเบา ๆ “ไม่ต้องพยายามเหมือนใครหรอกลูก แค่เป็นตัวของตัวเอง ป้ากับลุงก็ดีใจแล้ว”
ฉันพยักหน้าช้า ๆ ความอบอุ่นจากคำพูดนั้นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ
ไม่นานนัก อาหารหลายอย่างก็ถูกยกออกมาวางบนโต๊ะกินข้าว—ทั้งแกงส้มชามใหญ่ ไก่ทอดกรอบ ๆ และผัดผักที่ฉันมีส่วนช่วยหั่นจนมือเมื่อยไปหมด
“โมอา นั่งตรงนี้สิลูก” ป้ารินดาตบเก้าอี้ข้าง ๆ ตัวเอง
ระหว่างทานข้าว บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คุณลุงเล่าเรื่องตอนเด็ก ๆ ของฉันกับไค—เรื่องที่ฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
“จำได้มั้ย ตอนม.ต้นไคโดนเพื่อนแกล้ง แล้วหนูโมอาเป็นคนไปฟ้องครูให้?” ลุงหัวเราะ
ฉันหัวเราะออกมาทันที “โห ลุงยังจำได้อีกเหรอคะ หนูจำแทบไม่ได้แล้ว”
“แต่ฉันจำได้” ไคพูดเสียงเรียบ มองหน้าฉันเล็กน้อย ก่อนก้มลงตักข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไร
หัวใจฉันสะดุดวูบ รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอดหลายปี
มื้อนั้นจบลงด้วยความอบอุ่นเหมือนฉันไม่ใช่แขก แต่เป็นลูกสาวอีกคนของบ้านนี้จริง ๆ และฉันก็รู้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า…การได้มีไค
และครอบครัวเขาอยู่ข้าง ๆ คือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ฉันเหลืออยู่แล้ว