“วางเลยยัยชนีจืดมากแกเป็นพนักงานต้อนรับนะยะต้องแต่งหน้าให้มันสว่างสดใสจี้ดๆหน่อยสิหนุ่มๆจะได้สนใจ” วีระเดชพูดราวกับว่าเพื่อนัดเดททั้งที่ไปทำงาน
“แกจะบ้าเหรอวีวี่ ลินไปทำงานไม่ได้นัดเดทหนุ่มๆนะ ไม่เอาอ่ะ. บุลินส่ายหน้าปฎิเสธไม่เอาสีที่เพื่อนเลือกให้
“วีวี่อุตส่าเลือกให้นะ ไม่เอาก็ตามใจ” วี่วี่ก็สะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆ
“ก็ได้ เอามานี่เลย เอ่อ พี่คะมีลิปสติกสีไหนที่เหมาะกับลินบ้างคะ” บุลินหันไปถามพนักงานที่ยืนยิ้มมองเธอกับวีระเดชถกเถียงกัน
“ก็มีสีที่เพื่อนน้องเลือกให้ค่ะ ถ้าไม่ชอบสีแรงฉูดฉาดก็นี่ค่ะ สีชมพูพสเทล สีนู้ด สีส้มอ่อนค่ะ แต่ถ้าอยากได้สีที่แรงกว่านี้นิดหนี่งก็แถวนี้ค่ะ ลองเทสเตอร์ก่อนได้ค่ะ” เมื่อพนักงานตอบแล้วสองเพื่อนรักก็เถียงกันมุ้งมิ้งจนได้ของที่บุลินพอใจและวีระเดชก็พอใจมากที่เพื่อนยอมรับที่เขาเลือกให้
“หกพันสามร้อยห้าสิบบาทค่ะ” แคชเชียร์แจ้งราคาสินค้าทั้งหมดของบุลินที่มีเครื่องสำอางค์และอื่นๆส่วนประกอบการแต่งหน้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เธอขาดเพราะอาชีพของเธอจะต้องใช้หน้าตาและความสามารถพร้อมกัน
“นี่ค่ะ” บุลินยื่นบัตรเครดิตที่แม่ทิ้งไว้ให้ใช้เพราะเธอเอาเงินสดมาไม่พอปกติเธอจะเอาไว้ใช้ยามจำเป็นเช่นจ่ายค่าเทอมแต่ตอนนี้ของพวกนี้มันจำเป็นสำหรับเธอในการทำงานจึงต้องเอามาใช้ก่อน
“อ้าว นึกว่าใคร หนูลินนี่เองมาซื้ออะไรจ้ะ” ชมพูนุชแม่เลี้ยงของเธอที่พาลูกสาวมาช้อปปิ้งที่ห้างหรูที่หัวหินเห็นลูกเลี้ยงยืนหน้าเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์แบรนด์ดังอยู่ก็เลยเข้ามาหาเรื่อง เอ้ย เข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะ มาซื้อของค่ะ” บุลินกรอกตาไปมาแล้วตอบแม่เลี้ยงก่อนจะหันไปมองวีรเดชอย่างรู้กันว่าวันนี้ได้ปะทะคารมกับแม่เลี้ยงของเธอแน่
“ชื้อเครื่องสำอางค์เหรอคะ ตายแล้ว..ใช้ของแพงซะด้วยมีเงินพอจ่ายหรือเปล่าจ้ะ น้าจ่ายให้ได้นะ” ชมพูนุชมองลูกเลี้ยงด้วยสายตาเหยียดหยามเพราะเธอเกลียดสองแม่ลูกที่ทำให้สามีของเธอไม่เคยลืมลูกและเมียเก่า เธอจึงหาเรื่องทุกครั้งที่เจอบุลินแต่มักจะถูกลูกเลี้ยงตอกหน้าทุกครั้งก็ยังไม่เข็ด
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันมีจ่ายไม่ต้องให้ใครมาจ่ายให้เก็บเงินของคุณไว้ให้ลูกสาวผลาญ เอ้ย ใช้เถอะค่ะ” บุลินย้อนแม่เลี้ยงที่เข้ามาพูดกวนอารมณ์ของเธอ
“ยัยหนูลิน..." ชมพูนุชกำลังจะว่าให้บุลินแต่พนักงานเดินมาก่อนจึงทำให้สาวใหญ่เงียบไป
"รบกวนเซ็นสลิปให้ด้วยค่ะ" พนักงานเดินเอาสลิปบัตรเครดิตมาให้บุลินเซ็นก่อนจึงทำให้ชมพูนุชหยุดพูด เมื่อพนักงานเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์
"ฮึ มีบัตรเครดิตใช้ด้วยเหรอยะ อ้อ ลืมไปแม่มีสามีฝรั่งนี่ก้าวหน้าขึ้นเยอะนะ” ชมพุนุชยังไม่หยุดกระแนะกระแนลูกเลี้ยงอย่างหมั่นไส้
“แล้วมันหนักส่วนไหนของคุณนายเหรอถึงได้มายุ่งเรื่องของหนูลินน่ะ” วีรเดชทนไม่ไหวจึงว่าให้แม่เลี้ยงของเพื่อนที่ชอบมาพูดก่อกวนทุกครั้งที่เจอกัน
“ไอ้เด็กบ้า แกๆๆ..” ชมพูนุชยืนชี้หน้าวีรเดชและบุลินที่รับถุงเครื่องสำอางมาจากพนักงานจะด่าก็ด่าไม่ออกเพราะสายตาของพนักงานมองเธออยู่
“ไปเถอะวีวี่ เสียเวลาซื้อของ” บุลินเดินไปได้สองก้าวเสียงของชมพูนุชก็ดังตามหลัง
“เก่งให้ตลอดละกันนะนังหนูลินแกอย่าได้ซมซานไปขอเงินสามีฉันล่ะ เพราะฉันจะไม่ให้แกสักแดงเดียว” ชมพูนุชคิดมาตลอดว่าสามีโอนเงินให้บุลินเธอเคยเห็นสลิปโอนเงินเข้าบัญชีของลูกเลี้ยงจึงเค้นถามสามีก็ยอมรับว่าโอนให้ลูกกับเมียเก่าและห้ามไม่ให้เธอยุ่งเพราะมันเป็นเงินของเขา
บุลินชะงักก่อนจะหันกลับไปมองแม่เลี้ยงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ามองขึ้นลงสองรอบจนชมพูนุชกำมือแน่นตัวสั่นเทิ้มเมื่อเห็นสายตาดูหมิ่นของลูกของเมียเก่าของสามีที่เธอแสนเกลียด
“ขอโทษนะคะ คุณชมพูนุชดิฉันไม่เคยไปขอเงินสามีของคุณแม้แต่สักแดงเดียว ที่ดิฉันมีกินมีใช้ทุกวันนี้ก็เพราะตายายแม่และพ่อเลี้ยง พวกท่านเลี้ยงฉันมาไม่เคยให้อดอยากต้องไปขอใคร ถึงแม้ฉันจะไม่มีกินก็ไม่ไปรบกวนสามีคุณแน่นอน ฝากไปบอกเขาด้วยนะคะ” บุลินพูดจบก็จับมือวีรเดชลากออกไปจากตรงนั้นขืนอยู่เธอได้มีเรื่องกับแม่เลี้ยงแน่
“อีเด็กบ้า ฉันจะคอยดู” ชมพูนุชพูดอย่างโมโหตามหลังบุลินที่ยิ่งโตก็ยิ่งสวยโดยไม่ต้องเสริมเติมแต่งไม่เหมือนลูกสาวของเธอที่อายุแค่สิบเก้าปีแต่เสริมทั้งจมูกเสริมคางทำนมตามเพื่อนเพราะอยากเป็นดาราและเธอก็ตามใจลูกสาวเพื่อให้เทียมหน้าเทียมตาในวงสังคมไฮโซ
“บ่นอะไรคะแม่ ไปจ่ายเงินให้พิ้งค์หน่อยสิคะ” พวงชมพูเดินตามแม่ของเธอให้ไปจ่ายเงินค่าเสื้อผ้าที่เธอเลือกไว้พวงชมพู ศักดิ์สิทธิ์ หรือพิ้งค์วัยสิบเก้าปีลูกสาวของชมพูนุชกับคำรณ ที่ทำตัวหรูหราเฉิดฉายในวงสังคมไฮโซในกรุงเทพเธอเลือกคบแต่เพื่อนไฮโซลูกท่านหลานเธอทั้งนั้น
“ซื้ออีกแล้วเหรอลูกที่ซื้อไปคราวก่อนน้องพิ้งค์ยังไม่ได้ใส่เลยนะคะ” ชมพูนุชแย้งลูกสาวเพราะมาคราวก่อนลูกสาวของเธอซื้อหมดไปหลายหมื่นยังอยู่เต็มตู้บางตัวก็ไม่ได้แกะป้ายราคาด้วยซ้ำ
“แม่คะ เสื้อผ้าคราวก่อนมันตกรุ่นไปแล้วนะคะ แม่จะให้พิ้งค์ใส่ให้เพื่อนๆหัวเราะเยาะน่ะเหรอคะ” นี่คือลูกสาวของเธอที่ใช้เงินเป็นเบี้ยยังดีที่ครอบครัวของเธอมีเงินและพ่อของพวงชมพูก็ระดับเศรษฐีเมืองเพชรจึงทำให้ลูกสาวของเธอได้ใจอยากได้อะไรก็ต้องได้เพราะมีปู่มีตายายตามใจจนทำให้หลานสาวเสียคนโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าพวงชมพูอยู่กรุงเทพทำอะไรบ้างใช้ชีวิตยังไง
“งั้นไปเถอะลูก” ชมพูนุชชวนลูกสาวไปจ่ายเงินเพราะไม่งั้นพวงชมพูจะหงุดหงิด
“เมื่อกี้แม่บ่นให้ใครคะ” พวงชมพูยังข้องใจที่เห็นแม่พูดบ่นอยู่คนเดียว
“อ่อ แม่เจอนังหนูลินน่ะ มันอวดเก่งปากดีมาเถียงแม่ฉอดๆจนน่าตบ พูดแล้วโมโหจริงๆ” ชมพูนุชพูดอย่างเจ็บใจที่ทำอะไรบุลิน
“ทำไมแม่ไม่โทรหาพิ้งค์คะ จะได้ตบปากให้แตกที่มาเถียงแม่น่ะ” พวงชมพูก็ไม่ชอบพี่สาวต่างแม่เพราะบุลินสวยหุ่นดีเรียนก็เก่งและยังเป็นเชียร์รีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เธอไม่สามารถเข้าเรียนได้ถึงแม้จะมีเงินก็ตามเธอจึงเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนเรียนปีหนึ่งเกรดของเธอก็ร่อแร่เหลือเกินเทอมสองนี่จะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
“อย่าไปยุ่งกับมันเลยลูกไปช้อปปิ้งกันดีกว่าค่ะ” จากนั้สองแม่ลูกก็ไปช้อปปิ้งและลืมเรื่องของบุลิน
บุลินกับวรเดชซื้อของที่ต้องการจนครบก็พากันไปนั่งกินไอศครีมร้านดังและคุยกันเรื่องที่เจอแม่เลี้ยงของเพื่อนที่มักจะมาหาเรื่องทุกครั้งที่เจอกันจนน่ารำคาญ
"แม่เลี้ยงแกนี่สุดยอดเลยว่ะหนูลิน เจอตรงไหนก็กัดก็พูดหาเรื่องตลอดเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไรกันหาเรื่องเด็ก” วีรเดชพูดขึ้นเมื่อสั่งเครื่องดื่มกับเค้กเสร็จ
“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะวีวี่ว่าเขาต้องการอะไรเพราะลินกับแม่ก็ไม่เคยไปยุ่งกับพวกเขานะยิ่งผู้ชายคนนั้นลินก็ยิ่งไม่สนใจต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้ว ขออย่าได้เจออีกเลยลินไม่อยากมีเรื่องน่ะ” บุลินไม่เคยสนใจหรือไปยุ่งเกี่ยวกับพ่อของเธออีกเลยหลังจากที่พ่อแม่ของเธอหย่ากัน แต่ปู่ของเธอเหมือนโบราณว่าไว้ เกลียดตัวกินไข่รักหลานแต่เกลียดแม่ของหลานชีวิตของเธอมีแค่ตายายแม่และพ่อเลี้ยงกับน้องชายก็พอแล้ว
“แหม แต่ฉันดูแล้วว่าแม่เลี้ยงแกสู้แกไม่ได้หรอย่ะนังชะนีหนูลิน” วีรเดชรู้ว่าเพื่อนเป็นคนอ่อนนอกแข็งในดูผิวเผินบุลินจะเรียบร้อยน่ารักนอบน้อมถ่อมตนแต่จิตใจของเธอเข้มแข็งสู้คนไม่ยอมแพ้หากผิดเธอก็ยอมรับผิดแต่ถ้าเธอไม่ผิดบุลินก็สู้สุดใจเพื่อความถูกต้อง
"นี่ยังดีนะเจอแค่แม่ถ้าลูกสาวอีกคนล่ะก็ อาจจะแรงกว่านี้ เฮ้อ ลินล่ะเบื่อจริงๆต่อไปเจอพวกนี้ที่ไหนต้องหลีกหนีไปให้ไกลๆน่าจะดีกว่า" ไม่ใช่ว่าเธอกลัวแต่เธอไม่อยากมีปัญหาเพราะถ้าตากับยายรู้ท่านจะไม่สบายใจหากเลี่ยงได้เธอก็จะทำเพื่อตากับยาย
"โลกมันกลมนะยะชะนีหนูลิน แกจะหลบพวกเขาไปได้ตลอดเหรอ ประจันหน้ากันไปเลยสิไม่ต้องหลบไม่งั้นแกก็จะหลบไปตลอดชีวิตนั่นมันไม่ใช่นิสัยของยัยหนูลินเพื่อนรักของวีวี่นะยะ" วีระเดชไม่ได้ยุให้เพื่อนมีเรื่องแต่เขาคิดว่ายังไงก็ต้องเจอกันอยู่ดีแค่จะเจอตอนไหนก็เท่านั้นเอง
"ลินก็พูดไปอย่างนั้นเองแหละวีวี่ รีบกินเถอะจะได้กลับบ้าน. บุลินบอกเพื่อนเพราะนี่ก็เย็นมากแล้วเธอไม่อยากถึงบ้านค่ำเกินไปเพราะพรุ่งนี้เธอจะเริ่มงานวันแรกด้วย
ตึกใหญ่สูงสิบชั้นด้านหลังติดภูเขาที่มีหน้าผาเป็นแผ่นใหญ่บางจุดปะปนต้นไม่น้อยใหญ่ด้านหน้าติดทะเลมีห้องพักหลายหลายระดับแต่หรูหราทุกห้องและห้องพักสุดหรูราคาแพงที่สุดของโรงแรมที่คนธรรมดาไม่มีทางได้เฉียดใกล้หรือเห็นความหรูหรานอกจากพนักงานที่ดูแลห้องพักและแม่บ้านทำความสะอาด
บนเตียงหลังใหญ่มีชายหนุ่มฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่นอนหลับสนิทเพราะลงจากเครื่องมาเขาก็เดินทางมาที่ปรานบุรีทันทีถึงแม้เพื่อนรักจะชวนพักที่กรุงเทพก่อนแต่เขามีงานที่ต้องรีบทำและกลับไปดูการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในอาทิตย์หน้าที่ประเทศโมนาโกบ้านเกิดของเขา
“ก๊อก ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นและถูกเปิดออกด้วยฝีมือของครูสลูกน้องคนสนิทที่มาปลุกเจ้านายตามคำสั่งเพราะเมื่อคืนมาถึงดึกแล้วเจ้านายก็สั่งให้เขาปลุกตอนแปดโมงเช้า
“คุณเดฟครับ แปดโมงเช้าแล้วครับ” ครูสเรียกเจ้านายเบาๆ
“อืม ขออีกห้านาทีนะครูส” เดฟหรือเดม่อน เบนฟอร์ด หรือชื่อไทย ภูผา วิวัฒน์ภักดี วัย 30ปี หนุ่มหล่อพ่อรวยระดับมหาเศรษฐีอับดับท็อปของประเทศโมนาโกที่มีธุรกิจในมือมากมายตกทอดมาจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานสืบทอดต่อกันไป เดม่อนชื่นชอบความเร็วพอๆกับสาวสวยเซ็กซี่เร้าใจปราดเปรียวเหมือนรถเฟอรารี่ที่เขาขอบขับ เดม่อนเป็นลูกชายคนโตของคุณโรเจอร์กับคุณวนิสา เบนฟอร์ด ที่ตอนนี้ดูแลกิจการของครอบครัวเกือบทั้งหมดต่อจากพ่อที่วางมือให้ลูกชายสานต่อ
เดม่อนตอบลูกน้องแล้วพลิกตัวนอนคว่ำหน้าอวดแผ่นหลังแข็งแกร่งจนถึงบั้นเอวสอบที่รับกับไหล่กว้างสมส่วนที่สาวๆชื่นชอบนักหนาแต่ไม่ได้เข้าถึงตัวเดฟได้ง่ายเพราะลูกน้องจะสแกนสาวทุกคนให้เจ้านายเพื่อความปลอดภัย
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะเตรียมชุดไว้ให้นะครับ” ครูสพูดจบก็เดินไปที่ห้องแต่งตัวเตรียมเสื้อผ้าให้เจ้านายของเขาเสร็จก็เดินออกจากห้องไปรอที่ห้องรับแขกซึ่งห้องนี้ก็เหมือนจะเป็นห้องส่วนตัวที่เดม่อนมาพักทุกครั้ง
“เจ้านายยังไม่ตื่นหรือครูส.” อีธานคู่หูของครูสที่เป็นคนเข้าไปปลุกเจ้านายขณะที่เขาก็จัดการเรื่องเอกสารที่คุณไอรานำมาให้เมื่อเช้าเพื่อให้ดูรายละเอียดของบัญชีและแผนการตลาดที่จะต้องปรับปรุงเพื่อให้แขกที่มาพักชื่นชอบในบริการและประทับใจจะได้คิดถึงทะเลของเมืองไทยและกลับมาพักผ่อนที่ โรงแรม ภูผาวิลล่า แอนด์ รีสอร์ท
“ตื่นแล้วล่ะ ไหนงานที่นายยังไม่ได้อ่าน” ครูสนั่งลงตรงข้ามเพื่อนมองกองเอกสารสี่กองใหญ่ที่คุณไอราและเลขานำขึ้นมาให้
“สองกองนั่นไง คุณไอเก่งนะสามารถดูแลงานได้อย่างเรียบร้อยไม่เห็นมีจุดไหนน่าเป็นห่วงเลย จะมีก็แค่ลูกค้าลดไปห้าเปอร์เซ็นก็ยังถือว่าดีเพราะบางโรงแรมลูกค้าลดลงไปกว่าสามสิบสี่สิบเปอร์เซ็นเพราะโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงาน” อีธานพูดไปขณะอ่านรายละเอียดไปด้วย
“โชคดีที่ทีมงานบริหารของโรงแรมมืออาชีพจึงทำให้ทุกแผนกทุกฝ่ายประสานงานกันได้ดีหากคนในองค์กรไม่สามัคคีกันงานมันก็ไม่ออกมาดีขนาดนี้อีกอย่างอัตราจ้างงานของโรงแรมเราสูงกว่าที่อื่นจึงทำให้พนักงานทุกคนพอใจกับเงินเดือนและโบนัสที่ได้รับด้วย นี่แหละสำคัญที่สุด” ครูสรู้ว่าสวัสดิการของโรงแรมก็ดีมากดูแลพนักงานเหมือนคนครอบครัวจึงทำให้ทุกคนได้ทำงานที่นี่ได้นานและไม่อยากเสียงานนี้ไป
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เดม่อนอาบน้ำเสร็จใส่แต่เสื้อคลุมเดินออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กในมือขยี้ผมสีทองเข้มนุ่มจนหัวฟูชี้โด่ชี้เด่ทำให้ใบหน้าหล่ออ่อนกว่าวัยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาวๆถึงอยากใกล้ชิด
“ไม่มีครับ ว่าแต่คุณเดฟจะไปคุยที่บ้านคุณตาหรือที่นี่ครับ” อีธานถามเจ้านายเพราะเดฟจะไม่เปิดเผยตัวว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมและไม่มีใครเคยเห็นภาพของ คุณภูผา วิวัฒน์ภักดี ที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของโรงแรมต่อจากคุณอนลเจ้าของเดิมและให้คุณไอรา ที่มีศักดิ์เป็นป้าเป็นผู้ดูแลบริหารแทนส่วนเดม่อนจะเข้ามาตรวจดูเป็นระยะทำเอาพนักงานลุ้นกันทุกครั้งว่าคนไหนคือ คุณภูผา วิวัฒน์ภักดี
“ไปคุยที่บ้านคุณตาดีกว่า ฉันจะได้คุยกับนายเดชเรื่องงานของเขาด้วย อ้อ โทรบอกป้าไอด้วยว่าฉันจะไปกินอาหารเช้าที่บ้านคุณตา” ชายหนุ่มตอบลูกน้องก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปรับประทานอาหารเช้ากับคุณตา
“คุณเดฟเรียกคุณเดชเดี๋ยวเธอก็แว้ดใส่หรอกครับ หึหึๆ..” ครูสแซวเจ้านายที่ถูกน้องชายแว้ดใส่เมื่อเรียกว่าเดชจนหูแทบแตกแล้วก็ขำ
“เออ ต่อไปถ้าฉันลืมพวกนายก็เตือนด้วยละกัน ตระกูลฉันจะกุดเพราะนายเดช อ้อ นายวีวี่นี่แหละ”
คนสนิททั้งสองขำเจ้านายเมื่อพูดถึงน้องชายหรือลูกพี่ลูกน้องที่เปลี่ยนใจจากชายมาเป็นหญิง วีระเดชเป็นเกย์ควีนไม่ได้แต่งหญิงไว้ผมยาวและเขาก็เป็นชายหนุ่มหล่อมากคนหนึ่งจะมีคนสนิทใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นเกย์
เมื่อเดม่อนแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาจากห้องแล้วลูกน้องทั้งสองก็ลุกขึ้นเดินตามเจ้านายลงลิฟต์ไปชั้นล่างขึ้นรถตู้คันใหญ่หรูหราสำหรับแขกวีไอพีไปที่บ้านคุณตาทั้งที่ห่างกันแค่สองร้อยเมตรรั้วติดกับโรงแรมแต่เขาเลือกใช้รถเพราะไม่อยากให้ใครรู้
“นี่หนูลินเห็นแขกวีไอพีแล้วหรือยัง” พิมพ์ชนกพนักงานต้อนรับสาวรุ่นพี่เพื่อนร่วมงานของบุลินกระซิบถามและบุ้ยปากไปทางหน้าเคาน์เตอร์ที่สามหนุ่มฝรั่งรูปหล่อเดินผ่านไปแต่เห็นแค่เซี้ยวหน้าของเขาเท่านั้น
“ยังเลยค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะพี่นก” บุลินมองตามแล้วถามเพื่อนรุ่นพี่ บุลินเริ่มงานเมื่อวันที่หนึ่งกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและตอนนี้เธอก็ทำงานได้เกือบสามเดือนและกำลังจะผ่านโปร
“ก็มารอบนี้ไม่เห็นพาสาวสวยมาด้วยน่ะสิ ปกติควงมาแต่ละคนไม่ซ้ำหน้าเลยนะ” พิมพ์ชนกกระซิบบอกเพราะไม่สามารถคุยเสียงดังให้คนอื่นได้ยินได้เพราะถือว่าเป็นการนินทาแขกแต่เธอกล้าพูดกับบุลินเพราะหญิงสาวสนใจแต่งานไม่เคยบ่นอีกอย่างเธอทำงานที่นี่มาสองปีแล้วส่วนบุลินมาฝึกงานช่วงหนึ่งพอเรียนจบก็มาทำงานที่นี่และเพิ่งจะเริ่มงานได้เกือบสามเดือนแล้ว
“เขามาบ่อยเหรอคะพี่นก แต่ลินว่าเขาเหมือนมาเฟียเลยนะมีคนติดตาด้วยน่ะ” บุลินถามรุ่นพี่เบาๆเพราะเธอมองตามฝรั่งหนุ่มรูปหล่อขนาดเห็นแค่ด้านข้างเธอยังคิดในใจว่าหล่อโฮกๆเหมือนที่วีระเดชเพื่อนของเธอพูดถึงหนุ่มหล่อน่ากินน่ายกซดโฮกๆ ก็เลยเหลือแค่ หล่อโฮกๆ และในกลุ่มเพื่อนจะรู้กันหากพูดว่า หล่อโฮกๆ นั้นหมายความว่าอย่างไร
“มาบ่อยรู้สึกว่าสามเดือนครั้งนี่แหละแต่มาทีนะ แต่สาวสวยที่มาด้วยไม่ไฮโซก็นางแบบเลยนะหนูลิน แต่ทำไมครั้งนี้มาเดี่ยวนะ หรือมาหาเอาแถวนี้ ไม่ได้การแล้วเราต้องแต่งสวยเข้าไว้นะหนูลินเผื่อเข้าตาหนุ่มหล่อจะได้สามีเป็นเศรษฐีกับเขาบ้าง คิกคิกๆ..” พิมพ์ชนกพูดแล้วหัวเราะคิกคักแต่เห็นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาเธอก็เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่เข้ามาเช็คอิน
“สวัสดีค่ะ ภูผาวิลล่า แอนด์ รีสอร์ท ยินดีต้อนรับค่ะ” บุลินลุกขึ้นยกมือไหว้นักท่องเที่ยวชายหญิงทั้งกลุ่มพร้อมกับพิมพ์ชนกและถามเป็นภาษาอังกฤษจากนั้นก็สอบถามเรื่องการจองห้องพักของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้และขอเอกสารการจองห้องพักและจัดการเรื่องห้องพักให้เรียบร้อยก็เรียกพนักงานยกระเป๋ามาพานักท่องเที่ยวทั้งหมดไปส่งที่ห้องพัก
“เดี๋ยวเราค่อยมาเม้าท์กันนะหนูลิน” พิมพ์ชนกกระซิบเมื่อเห็นผู้จัดการเดินมาหาพวกเธอที่เคาน์เตอร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเอง