เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะสีขาวขับเข้ามาจอดในลานหน้าสำนัก ก่อนชายสองหญิงหนึ่งจะเปิดประตูลงจากรถพร้อมข้าวของพะรุงพะรังในมือ
หูสัมผัสเสียงจอแจของคนที่มาเยือนคุยกันด้วยภาษาเหนือคงไม่พ้นเป็นลูกศิษย์ของพ่อครู
ยังเช้าอยู่เลยทำไมวันนี้คนมาไวกันจัง
ม่านหมอกอยู่ที่สำนักของพ่อครูครบหนึ่งอาทิตย์ เด็กหนุ่มเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิต สามารถจดจำทิศทางของสถานที่ต่าง ๆ และที่สำคัญช่วงนี้อยู่ในช่วงที่เรียนรู้กิจวัตรประจำวันของพ่อครูและรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย
ข้อมูลจนถึงตอนนี้ ม่านหมอกรู้ว่าพ่อครูค่อนข้างมีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะพอสมควร ในหนึ่งวันจะมีคนวนเวียนมาขอความช่วยเหลือในเรื่องที่แตกต่างกันไป รายละเอียดตรงนั้นเขาไม่ทราบมากเท่าไหร่นัก
“ป้อครูอยู่ก่อบ่าน้อง (พ่อครูอยู่ไหมน้อง)” ผู้มาเยือนเดินเข้ามาสอบถามม่านหมอกที่ยืนกวาดใบไม้
“น่าจะอยู่ด้านบนนะจ๊ะ”
“โล่งอกไปอิ แสดงว่ามาตันอยู่ อั้นน้องไปบอกป้อครูกำเลาะว่าป้อกำนันหมายเปิ้ลมาหา (โล่งอกไปที แสดงมายังมาทัน งั้นน้องไปบอกพ่อครูให้หน่อยว่ากำนันหมายมาพบ)”
มาทัน? วันนี้พ่อครูจะไปไหนงั้นเหรอ
“กำนันเชิญทางนี้ครับ” ไม่ใช่เสียงของม่านหมอก แต่เป็นกองอินทร์ที่รู้งานกล่าวเชิญแขก
‘กำนันหมาย’ พ่อกำนันหมู่สิบและผู้ติดตามเดินขึ้นไปยังชั้นสองหลังจากที่ได้รับอนุญาต เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วดังมาจากด้านบนเป็นระยะ
“วันนี้ป้อครูไปบำเพียรตบะก่อครับ”
“ไป ป้อกำนันมีอะหยังก็อู้มาเตอะ (พ่อกำนันมีอะไรก็พูดมาเถิด)”
“ตี๋หมู่บ้านผมอะครับ มันมีคนโดนของดำ เปิ้ลว่าแฮงกันขนาด อยากหื้อป้อครูไปจ้วยดูหื้อจิมครับ (ที่หมู่บ้านผมมีคนโดนของดำ เขาว่าแรงกันมาก อยากให้พ่อครูไปช่วยดูหน่อยครับ)
“อาก๋านมันเป็นจะใด (อาการมันเป็นยังไง)”
“ผมก่อบ่าฮู้หนา แต่ว่ามันเป็นกันหลายคนเลย บ่าฮู้มันไปยะอะหยังกันมา (ผมก็ไม่รู้ แต่เป็นกันหลายคนเลย ไม่รู้พวกมันไปทำอะไรกันมา)” มีแต่ชาวบ้านมาร้องเรียนอ้อนวอนให้มาขอความช่วยเหลือจากพ่อครู
พลัฏฐ์หลับตานั่งสมาธิ เพ่งจิตไปตามคำบอกเล่ามองเห็นแต่ภาพดำขมุกขมัว เป็นพวกของดำตามคำกล่าวจริง ทว่าฤทธิ์ยังอ่อนกำลังมีไม่มากนัก ไม่นานหลังจากลืมตาขึ้นและหยิบของบางอย่างมาไว้บนพานสีทอง
“มันยังบ่ามีฤทธิ์นัก เอาตะกรุดอันนี้ไปก้องคอมันห้ามถอดจ๋นกว่าจะผ่านวันเสาร์ไป (ฤทธิ์มันไม่มาก เอาตะกรุดไปคล้องคอจนกว่าจะพ้นวันเสาร์ค่อยถอด)” ตะกรุดลงคาถาอาคมถูกส่งมอบให้พ่อกำนัน
“แล้วมันจะเป็นหยังก่อครับป้อครู”
“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมย้อนกลับมาที่เจ้าตัว” กำนันหมายพยักหน้าตอบโดยไม่ถามอะไรอีก พ่อครูคงรู้อะไรที่พวกเขาไม่รู้ เพราะเป็นศิษย์ตั้งแต่รุ่นปู่ของพ่อครู ไม่มีอะไรที่ตัวเขาและผู้ติดตามจะไม่เชื่อ
พลัฏฐ์ไม่อาจไปยุ่งหรือขวางกรรมของใครได้ ผลทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุที่เจ้าตัวกระทำ
ย่ามสีดำใส่ของเตรียมพร้อมยื่นให้พ่อครู พลัฏฐ์สวมชุดนุ่งขาวห่มขาวพร้อมสร้อยประคำสีดำที่คล้องคออยู่เป็นประจำ
“พวกมึงทำกับข้าวกินกันเลยไม่ต้องเผื่อกู”
“พ่อครูไปไหนเหรอจ๊ะ”
“ไปบำเพ็ญเพียร” กองอินทร์ตอบคำถามแทน
ทุกวันพระใหญ่พ่อครูจะออกไปบำเพ็ญเพียรฝึกจิตและฝึกตนอยู่ภายในถ้ำใกล้น้ำตกท้ายหมู่บ้านเสมอ จะออกแต่เช้าและกลับมาในช่วงเย็น เป็นอันที่ทราบกันดีของชาวบ้านและลูกศิษย์ จึงเป็นเหตุที่กำนันหมายมาพบในยามเช้าตรู่
“ไปดีมาดีนะพ่อครู” คำอวยพรที่ลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งมักจะพูดบ่อย ๆ ส่วนคนตัวเล็กที่มาใหม่
“รีบกลับมานะจ๊ะพ่อครู”
คิ้วดกดำขมวดชิด มองใบหน้ารูปไข่ที่ส่งยิ้มทักทาย คำพูดคำจาที่ดูเหมือนไม่มีอะไรทว่าพลันเกิดความรู้สึกบางอย่าง
ก็ไม่ได้ไปไหนไกลทำไมต้องรีบกลับ
พ่อครูเดินจากไปได้ไม่นานคำถามที่อยู่ในใจม่านหมอกส่งยิงระรัวออกมาถามผู้เป็นรุ่นพี่
“พี่กอง พ่อครูไปบำเพ็ญเพียรที่ไหนเหรอจ๊ะ”
“ที่ถ้ำใกล้น้ำตกท้ายหมู่บ้าน”
“มีน้ำตกที่หมู่บ้านด้วยเหรอจ๊ะ โห” เสียงอุทานพลางดวงตาคู่กลมโตเป็นไข่ห่าน คิดอย่างไรก็แสดงออกแบบนั้น กองอินทร์หลุดขำเล็กน้อย คำว่าอยากไปแสดงบนใบหน้าละมุนอย่างชัดเจน
“อยากไปอะดิ”
“อยากไปจ้ะ ม่านชอบน้ำตก” ครั้งล่าสุดได้ไปเล่นน้ำก็ช่วงมัธยมต้น
“วันหลังขอพ่อครูแล้วไปกัน เดี๋ยวข้าจะพาไปโดดน้ำเล่น” ในที่สุดก็มีเพื่อนโดนน้ำสักที
“ไปได้จริง ๆ เหรอจ๊ะพี่กอง”
“พ่อครูใจดีจะตาย เอ็งก็เอาหน้าหวาน ๆ ของเอ็งออดอ้อนนิดหน่อยก็ยอมใจอ่อนแล้ว พ่อครูน่ะชอบคนสวย”
บ้าพี่กองอินทร์พูดอะไรก็ไม่รู้ และตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนสวยขนาดนั้นที่พอจะอ้อนหรือทำให้ใครใจอ่อนได้
แต่ถ้าเป็นไปได้ก็คงดี
พลัฏฐ์เดินเท้าประมาณสิบนาทีก็มาถึงน้ำตกที่กำลังไหลไม่ขาดสาย มุมเยื้องไปทางซ้ายที่ซ่อนอยู่ภายหลังน้ำตกมีถ้ำที่ชาวบ้านเรียกติดปากกันมานมนานว่า ‘ถ้ำโปร่งแดง’
ตัวถ้ำไม่เล็กและไม่ใหญ่ บรรยากาศรอบกายเงียบสงบ ได้ยินแต่เพียงเสียงน้ำที่ตกกระทบพื้นดังก้องไปทั่วให้ความรู้สึกผ่อนคลายและผ่อนปรน
ของทุกอย่างวางจัดเรียงไว้ข้างกาย เมื่อถึงเวลาก็เริ่มนั่งท่าขัดสมาธิ ขาไขว้กัน มือวางทับซ้อน กำหนดลมหายใจ
การบำเพ็ญเพียรฝึกจิต ไม่ใช่แค่เพียงนั่งสมาธิ แต่คือการฝึกจิตให้รับรู้ทุกช่วงลมหายใจ ต่อสู้กับกิเลส และเอาชนะความอยากในจิตใจ พลัฏฐ์ฝึกจิตและฝึกฝน ตนได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปู่มาตั้งแต่เด็กและยังทำมันเสมอเรื่อยมา
พวกเหล่าวิญญาณเร่ร่อนชอบมาขอส่วนบุญหรือต้องการสื่อสารให้พ่อครูไปแจ้งข่าวกับคนเป็น ส่วนวิญญาณร้ายก็ปรากฏกายเช่นกัน แต่อยู่ได้แค่ด้านหน้าไม่สามารถทะลุเข้ามาด้านในถ้ำได้
“พ่อครูคะ ดิฉันกราบค่ะ”
“ดิฉันหิวเหลือเกิน อยากให้พ่อครูช่วยไปบอกให้ลูกสาวฉันทำบุญมาให้หน่อยได้ไหมคะ”
จิตหลุดจากกายไปครู่หนึ่ง ขณะลืมตาขึ้นเหล่าวิญญาณดีต่างรายล้อมและนั่งก้มหน้าแสดงความเคารพ ความแกร่งกล้าวิชาที่ไม่ได้ช่วยเหลือเพียงผู้คน ทว่าช่วยเหลือพวกผีที่ต้องการความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
“มีอันใดก็พูดมา วันนี้ข้าจะแผ่ผลกุศลส่วนบุญไปให้”
“ขอบใจมากนะจ๊ะพ่อครู”
“เพียงแค่อย่ามารบกวนเวลาทำสมาธิ อยากได้บุญก็ให้อยู่กันอย่างเงียบ ๆ”
“เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ”
การฝึกจิตต้องเริ่มใหม่เมื่อได้รับการรบกวน ไม่มีเวลาเดินทางกลับที่แน่นอน ความพึงพอใจและการตัดสินใจอยู่ที่พลัฏฐ์ทั้งหมด
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ร่างสูงนั่งหลังตรงสง่างามในท่าทำสมาธิยังคงหลับตาอยู่เช่นนั้น ก่อนจะถูกรบกวนจากเจ้ากุมารทองวัยห้าขวบที่ติดตามมาเช่นทุกครั้ง
“พ่อรีบกลับนะจ๊ะ” เสียงใสของกุมารทองที่รับจากป่าช้ามาเลี้ยงดังขึ้น
“อะไรของมึง อย่ามาขัดขวางยามนี้”
“โธ่ หนูก็แค่ส่งข่าวว่ามีคนทำกับข้าวรอพ่ออยู่จ้ะ อิอิ”
“พี่กองอินทร์ ปกติพ่อครูจะกลับมากี่โมงเหรอจ๊ะ”
“เอ็งนี่ถามเป็นเมียพ่อครูเลยนะไอ้ม่าน”
“ปะ เปล่าสักหน่อย ม่านแค่ถามเฉย ๆ” คำว่าเมียฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ แต่แปลกไปในทางที่ดี
“ไม่มีเวลาตายตัว แต่เย็น ๆ”
“งั้นเราทำอาหารมื้อเย็นรอพ่อครูกันดีไหมจ๊ะ จะได้กลับมาหายเหนื่อย” ม่านหมอกเสนอความคิดเห็น ตัวเขาเริ่มทำงานได้หลายอย่างและหนึ่งในนั้นที่อยากทำคือการทำอาหาร
“เอ็งแน่ใจนะว่าทำได้”
“ได้สิจ๊ะ แต่อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากพี่กองเล็กน้อย” ถ้าให้ทำคนเดียวมันก็คงได้แค่เมนูง่าย ๆ
“ไหนเอ็งอยากทำอะไร”
“พ่อครูชอบทานอะไรจ๊ะ” เขาทำได้หมดทั้งนั้น ลูกศิษย์ยายดาเสียอย่าง ได้รับการปลูกฝังเรื่องแม่ศรีเรือนมาตั้งแต่เด็ก ทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นแต่พวกอาหารฝรั่งหรอกนะ
“พ่อครูชอบอาหารเหนือ พวกน้ำพริก ผักนึ่งงี้”
“งั้นทำน้ำพริกปลาดุกต้มกับพวกชุดผักนึ่ง แล้วก็หมูทอดดีไหมจ๊ะ”
“เอา เอ็งว่าอะไรดีข้าก็ว่าดี”
ลูกมือตอบรับคำขออย่างง่ายดาย กองอินทร์จัดการเก็บผักสวนครัวหลังสำนัก ชำแหละเนื้อปลาเพื่อเตรียมทำน้ำพริกปลา ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนกระทั่ง...
“ไหนเอ็งบอกทำเองได้ แล้วใช้ข้าไปทำบาปไปฆ่าปลา” กองอินทร์บ่นอุบ
“โธ่พี่กองจะให้ม่านไปจับปลา มันคงดิ้นหนีม่านไปก่อน”
“ไม่ต้องเลยนะเอ็ง”
เสียงตำน้ำพริกย้ำ ๆ เป็นจังหวะ น้ำพริกปลาเป็นเมนูที่ทำได้ง่าย ใช้ปลาดุกต้มสะอาดสองตัว ตำรวมกับพริกหยวกย่าง ตะไคร้ และหอมแดงคั่ว ปรุงรสชาติตามต้องการ เป็นเมนูที่ม่านหมอกชอบมากเพราะยายชอบทำให้ทานอยู่บ่อย ๆ
“สีน่ากินอะม่าน หอมฉุยเลย”
“คิคิ พี่กองไปนึ่งผักให้ที เดี๋ยวม่านจะทอดหมู”
“ได้ทีใช้งานข้าใหญ่เลยนะโว้ย”
หมูทอดในน้ำมันสีสวยส่งกลิ่นหอมยั่วยวนชวนรับประทานด้วยความเคยชินทำให้ม่านหมอกพอจะคาดการณ์เวลาการทอดได้อย่างแม่นยำ สะเด็ดน้ำมันวางไว้รอให้หายร้อน
“ทำกับข้าวเก่งแบบนี้ต่อไปสบายไอ้กองอินทร์คนนี้แล้ว” ที่ผ่านมาเป็นลูกศิษย์สลับกับพ่อครูในการทำกับข้าว ทานได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังโชคดีที่มีอาหารจากยายเมืองที่ทำปิ่นโตส่งให้ตลอด
อาหารทุกอย่างเตรียมพร้อม ถูกจัดแจงไว้รอพ่อครูกลับมา น้ำพริกผักต้มและหมูทอดจัดวางไว้ตรงกลางรายล้อมไปด้วยผักนึ่งประดับด้วยหน่อไม้ แครอต ผักกาดและข้าวโพดอ่อนหลากสีเรียงราย
“หิวแล้วอะม่าน ข้าท้องร้องเลย”
ผ่านไปพักใหญ่เสียงฝีเท้าของคนที่สองหนุ่มต่างรอคอยก็กลับมา กองอินทร์รีบเข้าไปเอาย่ามไปเก็บ ดวงตาคมเหลือบไปเห็นดอกจ๋ำป๋าลาวหรือดอกลีลาวดีหรืออีกชื่อคือลั่นทมถูกเก็บกลับมาเต็มถุง สร้างความสงสัยชวนอยากรู้
“มึงเอาของไปเก็บที่เดิม”
“ครับพ่อครู”
“เดี๋ยว เอาดอกลีลาวดีมาให้กู” พ่อครูไม่ได้สันทัดเรื่องดอกไม้เท่าไหร่ แทบจะไม่เคยเห็นเก็บดอกไม้กลับมา ครั้งหนึ่งตัวเขาเองเคยเด็ดดอกไม้ข้างทาง โดดดุว่าไม่ขอเจ้าที่เจ้าทาง
ถึงจะสงสัยแต่ก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
เมื่อร่างสูงเพรียวของกองอินทร์พ้นสายตา พลัฏฐ์ตัดสินใจถือดอกจ๋ำป๋าลาวในมือเดินตรงเข้าไปหาคนที่นั่งแกว่งเท้าไปมาบนแคร่ไม้ไผ่อย่างสบายใจ
ยามที่เดินผ่านกลุ่มดอกลีลาวดีกลิ่นหอมของมันช่างคล้ายกับกลิ่นของใครบางคน จู่ ๆ ก็เกิดจินตนาการภาพ ถ้าดอกสีขาวนวลสวยนี้ได้แทบทัดหูของม่านหมอกคงจะเหมาะกับเจ้าตัวไม่น้อย
ร่างสูงของพลัฏฐ์เดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ ไล้สายตามองใบหน้ารูปไข่ด้านข้าง ทั้งละมุนและอ่อนหวาน
“พ่อทัดดอกไม้ให้พี่ม่านหมอกสิจ๊ะ คนสวยต้องคู่กับดอกสวย ๆ”
ดวงตาสีเข้มถลึงใส่เจ้ากุมารทองไปที แสนรู้และช่างพูดนัก แต่ก็ถูกของมันดอกไม้สวยก็ต้องคู่กับคนสวย
คิดได้แบบนั้นมือใหญ่จึงเอื้อมไปหยิบดอกลีลาวดีน้อยใหญ่ที่เก็บมาเข้าไปทัดหูข้างซ้าย
“อะ อะไรจ๊ะพี่กอง กลับมาแล้วเหรอ แล้วนี่ดอกอะไร” ผู้ถามหยุดการกระทำค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะดอกไม้ข้างหู ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดม
กลิ่นคุ้น ๆ แฮะ
“ดอกจ๋ำป๋าลาวหรือเปล่าจ๊ะ”
“อืม กูเก็บมาให้มึง คิดว่าน่าจะเหมาะกับมึง”
“พะ พ่อครู” ม่านหมอกตกใจมากกว่าเดิม เพราะคิดว่าคนที่นั่งข้าง ๆ คือพี่กองอินทร์ คนหน้าหวานยกมือป้องปากก่อนจะหันไปอีกทาง แล้วคนที่เอาดอกมาทัดหูเมื่อกี้คือ...
“ทัดไว้ที่หูข้างซ้ายสิ เหมาะกับมึงดี”
“บะ แบบนี้เหรอจ๊ะ” ลีลาวดีดอกสวยกลับไปอยู่ดังที่เดิม คนตัวเล็กหันหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้มหวาน สอบถามความคิดเห็น
“อืม แบบนั้นแหละ สวยแล้ว”
“ขอบคุณนะจ๊ะ”
สวยแล้วที่ไม่ได้หมายถึงดอกไม้ แต่หมายถึงเจ้าของที่เข้ากับมันต่างหาก พลัฏฐ์จ้องมองอยู่นานสองนานไม่อาจละสายตานึกในใจว่าคิดถูกที่เก็บติดไม้ติดมือกลับมา ผลพลอยได้คือรอยยิ้มหวานจากเจ้าเด็กตรงหน้า
พ่อครูให้ความสนใจกับม่านหมอกจนลืมตัวและไม่ทันได้ระวังตัวว่าถูกลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งแอบมอง
ความอยากรู้อยากเห็นทั้งหมดหายไปทันควัน
“เก็บมาเพราะแบบนี้นี่เองสินะ”
กองอินทร์ทำปากขมุบขมิบ จังหวะที่เดินกลับออกมาเห็นพ่อครูทัดดอกลีลาวดีให้ม่านหมอกพอดิบพอดี อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น แล้วที่อยากจะแหกปากไปมากกว่านั้นคือ พ่อครูทัดไว้ที่หูข้างซ้ายซึ่งคนโบราณเขาบอกว่า
ทัดดอกลีลาวดีข้างขวาแปลว่าโสด
ส่วนข้างซ้ายแปลว่ามีเจ้าของแล้ว