เช้าวันใหม่อันสดใส หญิงชราผมขาวเดินถือปิ่นโตเดินผ่านต้นมะยมเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอุ้ยเมืองหรือยายเมือง
ยายเมืองทำกับข้าวมาส่งให้พ่อครู ท่านทั้งรักและเอ็นดูพ่อครูตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ และที่สำคัญยายเมืองเป็นเพื่อนกับปู่ของพลัฏฐ์
โดยปกติพ่อครูจะไม่รับอาหารจากคนแปลกหน้า เพราะไม่รู้คนพวกนั้นหวังดีหรือประสงค์ร้าย อาจจะมีไสยดำหรือคาถาอาคมของต่ำที่ไม่สามารถล่วงรู้ปะปนมาได้ จึงมีแค่ชาวบ้านบางคนเพียงเท่านั้นที่สามารถนำมาถวายได้
ไม่นานปิ่นโตสีสวยถูกวางไว้บนแคร่ไม้ เปิดออกทีละชั้นได้กลิ่นหอมหวนของเครื่องแกงไปทั่วอากาศ
“กองอินทร์หาถ้วยหาจ๋านมาใส่กับข้าว” ยายเมืองกล่าว
“วันนี้ทำอะไรมาอีกครับยาย”
“แกงผักแว่นกับแกงฟักใส่กุ้ง” ผักแว่นหรือผักใบบัวบกเล็ก นำมาแกงคล้ายต้มจืดใส่ปลาดุกปรุงรสตามใจชอบมีสรรพคุณมากมาย ส่วนแกงฟักทอง พลัฏฐ์ชอบฟักทองที่เนื้อเละหน่อยพร้อมทั้งใส่กุ้งแห้ง อร่อยอย่าบอกใครเชียว
“ของชอบพ่อครูเลยนะเนี่ย”
ม่านหมอกที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ พยายามจดจำรายละเอียดว่าพ่อครูชอบทานอะไร ไม่ชอบทานอะไร สองเมนูถูกบันทึกลงในสมองอย่างรวดเร็ว
“อ้าว นั่นลูกอีสายหยุดบ่ใจ้กะนะ (อ้าว นั่นลูกอีสายหยุดไม่ใช่เหรอ)” คนที่ถูกพูดถึงจะเป็นใครไม่ได้ นอกจากม่านหมอกที่นั่งเรียงใบตอง
“ใช่ยาย แม่มันจะเอาไปขายซ่อง พ่อครูก็เลยซื้อมา” ใบหน้ารูปไข่สลดลงเล็กน้อยยามนึกถึงเรื่องครั้งก่อน แต่ยังไงก็ช่างมันเพราะผ่านมาแล้ว
“แม๋มันก่อใจ๋ยักษ์ใจ๋ดำแต้ว่าอิเห้ย ลูกตึงคนมาขายหยังกะเป็นข้าวของ โจกดีของมันไป (แม่มันก็ใจยักษ์ใจดำจริง ๆ นะ ลูกทั้งคนมาขายเป็นข้าวของ โชคดีของมันไป)”
“แล้วจื่ออะหยังหล้า (แล้วชื่ออะไรล่ะหนู)”
“ม่านหมอกครับยาย”
“หน้าต๋าหน้าฮักแต่น้อ ดีแล้วหล้าเหยอยู่กับพลัฏฐ์ไป (หน้าตาน่ารักจริงเรา อยู่กับพลัฏฐ์ไปนั่นล่ะดีแล้ว)”
พลัฏฐ์?
อยู่มานานตั้งนานลืมไปเลยเรียกพ่อครูว่าพ่อครูมาตลอด จริง ๆ แล้วพ่อครูชื่อ พลัฏฐ์ เหรอเนี่ย
ชื่อเพราะจัง
พลัฏฐ์ (พะ-ลัด) เป็นชื่อที่ดูเหมาะกับพ่อครูเอามาก ๆ ความหมายตามชื่อคือ ผู้ทรงพลัง ตั้งอยู่ในกำลัง
“ง่อมก่อหล้ามาอยู่นี่ กองอินทร์มันแกล้งหยังผ่องก่อ (เหงาไหมหนูมาอยู่ที่นี่ กองอินทร์มันแกล้งอะไรบ้างไหม)”
“อุ้ยเมืองเห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” เสียงหัวเราะคิกคักรวมถึงเสียงของนกแก้วพูดได้อย่างเอี้ยงร่วมวงด้วย
“กองอินทร์แกล้ง กองอินทร์แกล้ง”
“เงียบไปเลยไอ้เอี้ยง พูดมากนะเอ็ง จับต้มเลยดีไหม”
ยายเมืองรู้สึกถูกชะตากับม่านหมอกอย่างบอกไม่ถูก เด็กคนนี้น่าสงสารจับใจ ทั้งตาบอดและพบเจอกับแม่ใจร้าย จู่ ๆ ก็นึกอยากจะชวนไปทำขนมที่บ้าน
“หล้าไปจ้วยอุ้ยยะขนมที่บ้านบ่อ (หนูไปช่วยยายทำขนมที่บ้านยายไหม)”
“จะวันพระใหญ่แล้วตวย” ยายเมืองบอกเหตุผล
อีกไม่กี่วันจะถึงวันพระใหญ่ ชาวบ้านจะทำขนมตามท้องถิ่นที่อยู่และนำไปถวายที่วัด และส่วนมากทำบุญอุทิศส่วนกุศล บ้างก็ทำบุญให้พ่อเกิดแม่เกิด บ้างก็ตานไว้ไปหน้า (ถวายไว้เพื่อโลกหน้า) และบ้างก็ถวายให้ผู้ล่วงลับ
“พี่กอง ม่านอยากไปจ้ะ”
“เอ็งก็ต้องไปขอพ่อครู ถ้าขอได้ก็ไป ข้าไปด้วย”
คนที่ถูกกล่าวถึงยืนอยู่เบื้องหลัง ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดตั้งแต่ต้น ม่านหมอกตั้งแต่มาก็อยู่แต่ในสำนักไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา ถ้าให้ออกไปเที่ยวคงจะพอช่วยคลายเหงาได้บ้าง
“ชะอุ้ย พ่อครูมาพอดีเลย ไอ้ม่านเอ็งขอดิเร็ว ๆ” กองอินทร์สะกิดและกระซิบข้างหูเบา ๆ ให้ม่านหมอกเป็นคนเปิดฉาก
“พี่กอง ให้ม่านขอเลยเหรอ”
“เออเอ็งแหละ อยากไปก็ต้องขอ” ถ้าม่านหมอกขอดูจะมีโอกาสมากกว่าเขาเป็นไหน ๆ
“อะแฮม ๆ จะพูดอะไรก็พูดกระซิบกระซาบกันอยู่นั่น” เสียงกระแอมในลำคอเรียกความสนใจของเด็กทั้งสองให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับใบหน้าคมคร้าม
เอาวะ เป็นไงเป็นกันม่าน
“พะ พ่อครูจ๊ะ คือม่านกับพี่กองอินทร์ ขอไปทำขนมบ้านยายเมืองได้ไหมจ๊ะ”
“...” พลัฏฐ์มองด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่มีคำยินยอมและคำปฏิเสธ
“คะ คือว่า ยายเมืองจะทำขนมไปวัดน่ะจ้ะ ม่านกับพี่กองอยากเออ...อยากไปช่วยจ้ะ”
“จะกลับกี่โมง?” เสียงเข้มแกล้งถามลองเชิง
“ไม่เย็นมากหรอกจ้ะ ม่านจะกลับมารดน้ำดอกไม้” เพราะไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของพ่อครูได้ ม่านหมอกจึงคาดเดาไม่ออกว่าตอนนี้พลัฏฐ์กำลังทำหน้าเช่นไร ถ้ารับรู้ได้คงสามารถหาคำพูดที่ดีกว่านี้
“นะจ๊ะ พ่อครูพลัฏฐ์ นะจ๊ะ”
“เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ”
“เออ...คือ” น้ำเสียงติดขัดเผลอใช้คำพูดเวลาอ้อนยายออกไปเสียแล้ว ม่านหมอกจะติดเรียกชื่อคนที่อยากจะอ้อนยามที่ร้องขอ
คำพูดเอื้อนเอ่ยเรียกชื่อตนกับแววตาเจือความน่าสงสารนั้นส่งผลให้ใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผาอ่อนยวบ ไม่มีใครเรียกชื่อจริงของเขามานาน ครั้งล่าสุดคงเป็นตอนที่ปู่เรียก ไม่ว่าจะใครที่ไหนก็เรียกแต่ ‘พ่อครู’ จนหลงลืมชื่อจริงของพลัฏฐ์ไป
“จะไปก็ไป แต่อย่ากลับให้มันเย็นมาก” เดี๋ยวจะโดนยุงหามเอา
“เย่ พ่อครูใจดีที่สุดเลย” หน้าตาดีใจเหมือนลิงโลด โดยเฉพาะลูกศิษย์ดูจะดีใจมากกว่าคนขอ
กองอินทร์รู้ว่าอย่างไรพ่อครูก็ต้องให้ไป ทว่าแปลกใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ แค่ม่านหมอกขอ ทุกอย่างดูง่ายไปหมด ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนเหมือนครั้งคราวก่อนที่ผ่านมา ต่อไปให้ม่านขอดีกว่าโว้ย
ขนมที่จะทำขึ้นในวันนี้เป็นขนมประจำท้องถิ่นภาคเหนือชื่อ‘ข้าวต้มมัด’ จะใช้กล้วยหรือถั่วดิน(ถั่วลิสง) ทำเป็นไส้ขนม
วิธีทำก็แสนจะง่าย ยายเมืองเตรียมใบตองตากแห้งไว้เป็นที่เรียบร้อย นอกนั้นใช้แค่ข้าวเหนียว กล้วย และถั่วลิสง
“ม่านหมอก เกยยะก่อเข้าหนมจะอี้ (ม่านหมอก เคยทำไหมขนมแบบนี้)”
“เคยจ้ะยาย เมื่อก่อนยายม่านสอนอยู่บ่อย ๆ” ปากพูดตอบมือพลางหยิบเข้าเหนียวมาใส่บนใบตองตามด้วยกล้วยสุกที่หั่นไว้
“เหมาะ ๆ ละอ่อนบ่าเดี่ยวนี้บ่าก่อยฮู้จักแล้วก้าเข้าหนมเมียง (ดี ๆ เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยรู้จักแล้วมั้งขนมพื้นเมือง)”
ใบหน้าหวานระบายยิ้มอ่อน ตลอดการทำขนมคนที่ถูกดุมากที่สุดคือกองอินทร์ ทำใบตองแตกบ้าง ใส่ปริมาณไม่เหมาะสมบ้าง แถมยังโดนพาดพิงบ่อย ๆ ว่าม่านหมอกที่มองไม่เห็นทำได้เป็นอย่างดี ส่วนกองอินทร์ไม่รู้เรื่อง
“บ่าเป็นก๋านเป็นงานแต้เฮ้ยกองอินทร์เหย (ไม่เป็นงานเป็นการจริง ๆ เลยนะกองอินทร์)” รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่ยายเมืองบ่น
“ยายก็ใจเย็น ๆ คนเพิ่งเคยทำครั้งแรก”
“เราเอาขนมไปให้พ่อครูชิมดีไหมจ๊ะ” ม่านหมอกเอ่ยขัดขึ้นมา คิดอยากจะแบ่งปันขนมให้กับผู้อื่น
“พ่อครูไม่ชอบของกินหวานน่ะสิม่าน”
“นี่ก็ไม่ใช่ของหวานสักหน่อย มีทั้งข้าวเหนียวช่วยอิ่มท้องอีกนะ”
ก็จริงอย่างที่ม่านหมอกพูด ข้าวนึ่งให้พลังงานเท่าพวกขนมปังหนึ่งชิ้นข้าวเหนียวและตัวกล้วยเองก็ให้พลังงานคาร์โบไฮเดต ทว่าความหวานของมันช่วยให้ขนมมีรสชาตินุ่มละมุน
“เอาแบ่งปิ๊กบ้านไป ๆ อุ้ยกิ๋นน้อยเดียวบ่าหมด (เอาแบ่งกลับบ้านไป ยายกินนิดเดียวไม่หมด)”
ม่านหมอกรู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก กิจกรรมพวกนี้นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ทำ ตอนเด็ก ๆ ยายชอบพาไปวัดอยู่เป็นประจำ และม่านหมอกเองก็ชอบการทำขนมก่อนวันพระใหญ่เพราะจะได้แอบยายกินกล้วยหวีเล็กทุกที
เมื่อฝาหม้อนึ่งเปิดออก กลิ่นหอมของข้าวต้มมัดตลบอบอวลไปในอากาศ เนื้อสีขาวปนเหลืองอ่อน ๆ เนียนสวยกำลังสุกได้ที่จึงนำออกมาวางตั้งไว้ให้หายร้อน
ยายเมืองจัดการห่อขนมให้เด็ก ๆ เพราะเวลาก็ล่วงเลยผ่านมาค่อนเย็น ข้าวต้มมัดที่ม่านหมอกห่อเองกับมือวางในถุงพลาสติกคู่กับชิ้นที่กองอินทร์ทำ หน้าตาการห่อต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เอ็งนี่ทำงานบ้านงานเรือนได้ดีจริง ๆ เลยนะม่าน” ใครได้ไปเป็นเมียคงสบาย
“ขอบคุณมากนะจ๊ะยาย วันนี้สนุกมากจ้ะ ม่านไหว้ลาจ้ะ”
“ไหว้พระลูก ไปดีมาดี”
ระหว่างทางกลับสำนักเสียงบทสนทนาเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย ๆ กองอินทร์รู้สึกเอ็นดูม่านหมอกเหมือนน้องชายคนหนึ่ง ตั้งแต่เด็กนี่เข้ามาในสำนักมีชีวิตชีวามากขึ้น
โดยเฉพาะ...คนคนหนึ่ง
“ถ้าเอาไปให้พ่อครู...” นัยน์ตาสีสวยวูบไหวเล็กน้อยคล้ายลังเลกับสิ่งที่คิดอยู่ในหัว
“ถึงพ่อครูจะไม่ชอบของหวาน ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่กินถูกไหม ต้องลองก่อน” ความรู้สึกบางอย่างบอกว่าอย่างไรพ่อครูก็ไม่มีทางปฏิเสธน้ำใจจากร่างเล็กข้าง ๆ เขาเป็นแน่
“ขอบคุณมากนะจ๊ะพี่กอง ม่านจะลองดู” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างเบาใจ รู้สึกดีที่ได้รับความคิดเห็นและการสนับสนุนความคิดที่ม่านหมอกไม่เคยได้รับมาก่อน
สองหนุ่มกลับถึงสำนักในยามตะวันชิงพลบ มือข้างซ้ายของเด็กหนุ่มถือขนม ส่วนข้างขวาใช้ถืออุปกรณ์คอยนำทาง ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในลานกว้างหน้าสำนัก ม่านหมอกรับรู้ถึงบางอย่างที่ติดอยู่ในรองเท้า
“เอ๊ะ อะไรนะ”
รองเท้าแตะสีขาวถูกถอด ก้อนหินเม็ดเล็กเม็ดน้อยซ่อนอยู่ภายใน ในขณะที่ม่านหมอกค่อย ๆ วางเท้าอย่างระมัดระวังบนพื้นดิน แต่ก็ต้องรีบชักเท้าออกโดยไว ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกาย เศษแก้วขนาดใหญ่ทิ่มทะลุเข้าไปใต้เท้าเปล่าเป็นแผลใหญ่เลือดไหลออกมาไม่หยุด
“โอ๊ย เจ็บ” ม่านหมอกร้องเสียงหลง
“เฮ้ย ม่านเป็นไร”
ในชั่วพริบตา ท้องฟ้าที่สดใสกลับกลายเป็นลางร้ายเมื่อมีเมฆสีดำเคลื่อนตัวเข้ามาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องราวกับฟ้าจะถล่ม
รอบด้านพลันมืดสนิท ลมแรงพัดกรรโชก เศษฝุ่นเศษใบไม้ลอยฟุ้งในอากาศ กิ่งต้นมะยมที่ปลูกไว้ป้องกันสิ่งอัปมงคลหักระเนระนาดเต็มสองข้างทาง
“อะไรวะเนี่ย” กองอินทร์ไม่เข้าใจเหตุการณ์ซึ่งหน้า พ่อครูปรากฏกายโดยทันที
“พาม่านหมอกขึ้นข้างบน”
“อะไรนะครับพ่อครู”
“กูบอกให้พาม่านหมอกขึ้นบ้าน” เสียงดุดันเอ่ยจริงจังย้ำเป็นครั้งที่สอง
ภายในความมืดมิดเสียงโหยหวนของพวกภูตผี สัมภเวสี และวิญญาณร้ายโหยหวนกรีดร้องดังไปทั่ว เสียงภูติพรายร้องครวญครางว่า ‘เลือด’ กึกก้องทั้งบริเวณ
“พี่กองอินทร์ มันเกิดอะไรขึ้นจ๊ะ” ลมวูบใหญ่พัดผ่าน ร่างเล็กสัมผัสได้ถึงแรงบางอย่างไม่ใคร่จะดีนัก
“เอ็งอย่าเพิ่งถาม ข้าก็ไม่รู้ ตอนนี้รีบขึ้นไปข้างบนก่อน”
ดูท่าจะไม่ดี กองอินทร์รีบประคองม่านหมอกขึ้นไปยังชั้นสองของสำนักทั้ง ๆ ที่เลือดหยดไปตามทางเช่นนั้น สีหน้าเด็กหนุ่มไม่ดีนัก แสดงออกทั้งความรู้สึกเจ็บปวดและหวาดกลัวในคราเดียวกัน
พลัฏฐ์รู้ทันทีว่าเกิดสิ่งใด
ธูป ๓ ดอกและเทียน ๒ เล่มถูกจุดพลางกล่าวบทสวดบูชาพระพุทธคุณ เพ่งจิตอธิษฐานแล้วปักลงดิน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
[พวกกูต้องการเลือดเด็กนั่น]
“เลือดเด็กนั่นทำไม”
“มึงไม่ต้องเสือก หลีกทางไป”
ดูเหมือนพวกมันจะไม่ยอมเอาง่าย ๆ ยกทัพรวมกลุ่มกันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว มันบางตัวพยายามจะพุ่งเข้าใส่เรือนไม้สักทว่าต้องเจ็บปวดร้องโหยหวนทันทีเพราะโดนเข้ากับอาคมที่คุ้มครองตัวเรือน
“อย่ามายุ่งกับพวกกู!!!”
ผีหญิงสาวหน้าตาไร้สีสัน ม่านตาเล็ก ปากสีดำคล้ำฉีกจะถึงหู ตะโกนมาทางพลัฏฐ์อย่างหงุดหงิด
“พวกมึงมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น”
ดวงตาสีนิลกาฬทอดมองเปลวเทียนที่กำลังมอดไหม้ดับลงพลางหลับตาขยับปากบริกรรมคาถาไปที่ลูกประคำ
“พุท ธัง กันจะ ธรรมมัง กันจะ สังฆัง กันจะ นะระ นะจะ”
สวดไปเรื่อย ๆ จนพวกวิญญาณพวกนั้นเริ่มถดถอยหลังไป ลมยังคงแรงขึ้นต่อเนื่อง ทว่าไม่มีสิ่งใดสามารถมาทำลายสมาธิของพ่อครูได้
“มึงหยุดสวดเดี๋ยวนี้ กรี๊ด!!”
พ่อครูใช้วาโยกสิณ มองดูการเคลื่อนไหวของใบไม้เป็นอารมณ์ ความรู้สึกแรงที่พัดผ่านผิวอาจจะเป็นภาพลวงที่ถูกสร้างขึ้นมา
บทสวดมนต์ยังคงถูกบริกรรมบทแล้วบทเล่า วนกันไปเรื่อย ๆ เสียงกรีดร้องและเงาดำมืดต่าง ๆ พลันค่อย ๆ มลายหายไป
“กูจะกลับมาเอาคืน มึงคอยดู!”
เปลวไฟดับลงพร้อมกับท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนกลับมาสดใสดังเดิมเหตุการณ์เหนือธรรมชาติครั้นดูไม่น่าเชื่อถือ แต่เกิดขึ้นจริง
ก่อนจะหันหลังขึ้นเรือนพลัฏฐ์ร่ายคาถาอาคมป้องกันอีกครั้ง ไม่นานทุกอย่างก็กลับดูเป็นปกติ
“พ่อครู ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น” เมื่อเห็นพ่อครูเดินขึ้นมาเป็นสำนัก กองอินทร์รีบเปิดปากถาม
“พวกผีได้กลิ่นเลือดของม่านหมอก” เหตุของเรื่องคงเป็นตามนั้นไม่ผิดเป็นแน่
“ทะ ทำไม...” เลือดของม่านมันทำไม
“กูยังอยู่ในช่วงหาคำตอบ แต่มึงเจ็บไหม”
นัยน์ตาคู่คมฉายแววห่วงใยอย่างปิดไม่มิด อุปกรณ์ทำแผลถูกจัดวางอย่างรู้งาน สีหน้าม่านหมอกไม่สู้ดีนัก มือหนาค่อย ๆ แกะทิชชูสีขาวที่นำมาใช้ห้ามเลือดก่อนหน้า
“เดี๋ยวกูจะทำแผลให้” เสียงทุ้มอ่อนโยนพูดพลางซับเลือดแห้งที่อยู่รอบ ๆ
“ขะ ขอบคุณนะจ๊ะ”
พลัฏฐ์บรรจงเบามืออย่างถนอมทุกขั้นตอน เสียงใสร้องบ้างบางครั้งที่รู้สึกปวดแสบ พยายามอดกลั้นเอาไว้ ในขั้นตอนสุดท้ายผ้าก็อตสีขาวพันบริเวณรอบ ๆ แผลป้องกันการติดเชื้อเป็นอันเสร็จสมบูรณ์
“กูจะพามึงไปนอน ง่วงหรือยัง”
ม่านหมอกพยักหน้ารับแทนคำตอบ ค่อย ๆ พยุงตัวหยัดขึ้นจากพื้น ทว่าในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาร่างลอยหวือขึ้นกลางอากาศในท่วงท่าเจ้าสาว ด้วยน้ำหนักและมวลร่างกายที่ต่างกันมาก ร่างสูงใหญ่และกล้ามแขนหนั่นแน่นจึงอุ้มอีกฝ่ายได้สบาย ๆ
“พะ พ่อครู ทำอะไรจ๊ะ อะ” ขาแกร่งเซเสียหลักเล็กน้อยเป็นเหตุให้มือนิ่มรีบโอบไปที่ลำคอคนแก่วัยโดยอัตโนมัติ
“อือ ม่านเดินเองได้จ้ะ” ใจเต้นแรงยิ่งกว่าโดนแก้วบาด รับรู้ถึงระยะห่างเพียงลมหายใจกั้น
“อย่าดื้อ” เท้าเจ็บร้องโอดโอยยังบอกเดินเองได้อีก
“ม่านไม่...”
“บอกว่าอย่าดื้อ” ริมฝีปากเรียวเล็กจะอ้ำอึ้งพลันหุบเม้มทันที
“พ่อครูให้ผมพาม่านไปก็ได้มั้งครับ” กองอินทร์พยายามเสนอความคิดเห็นทว่ากลับถูกสายตาดุ ๆ มองค้อนกลับมาพร้อมเสียงตอบกลับดังฟังชัด
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูจัดการเอง”
หลังจากตั้งท่ามั่นคงพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า จู่ ๆ ตะกรุดที่ได้รับจากปู่หลังจากที่ท่านเสียก็ฉายแสงเจิดจ้า แสงนั่นค่อย ๆ ทวีคูณไล่ระดับความสว่างส่องกระทบมาถึงผิวหนังของคนในอ้อมแขน
“พ่อครู แสงอะไรเหรอจ๊ะ ม่านรู้สึกถึงแสงบางอย่าง” อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“มึงรับรู้ได้?” น่าประหลาดใจ มองไม่เห็นแต่กลับรับรู้ได้
“ม่านบอกไม่ถูกเหมือนกันจ้ะ” รู้สึกแต่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
ตะกรุดที่เก็บไว้เป็นอย่างดีไม่เคยฉายแสงแม้แต่ครั้งเดียว หรือตะกรุดนั่นจะพบกับเจ้าของจริง ๆ อย่างที่ปู่เคยบอกไว้