วันนี้บรรยากาศยามเช้าเงียบกว่าปกติ กองอินทร์รับหน้าที่ทำอาหารแทนม่านหมอก เด็กหนุ่มคะยั้นคะยออยากจะช่วยทั้งยังไม่ยอมง่าย ๆ ทว่ากองอินทร์ก็ไล่กลับไปพักผ่อน ดูเหมือนจะดื้อแบบที่พ่อครูบอกไว้จริง ๆ
“ม่าน เท้าเอ็งเป็นยังไงบ้าง เดินไปเดินมาเดี๋ยวแผลก็อักเสบ พักผ่อนซะบ้าง” สายตาทอดมองคนตัวเล็กที่เดินถือถ้วยมีฝาปิดในมือไปมา
“อือ ดีขึ้นแล้วจ้ะพี่กอง”
กองอินทร์ส่ายหน้ากับความดื้อของเจ้าตัว แผลก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานจะมียาติ๊บยาจันทร์ที่ไหนรักษาได้ทันใด ยกเว้นมนตราคาถาของพ่อครู
ทว่าพ่อครูก็ไม่ได้เป่ามนต์คาถาอันใดให้เสียหน่อย
“แล้วอะไรอยู่ในมือ”
“ขนมเมื่อวานจ้ะ ม่านจะเอาไปให้พ่อครู แต่วันนี้ม่านยังไม่ได้ยินเสียงพ่อครูเดินลงมาเลย”
ตาไม่เห็น ใช่ว่าหูไม่ได้ยิน ประสาทสัมผัสของคนตาบอดสัมผัสและจดจำเสียงได้แม่นยำ สามารถจำแนกสิ่งรอบตัวได้
“อยู่ในห้องพระล่ะมั้ง แต่เอ็งอย่าเพิ่งขึ้นไปเลย ตกบันไดมาจะยุ่งเอา”
“พี่กองพาม่านขึ้นไปหน่อยได้ไหมจ๊ะ” พูดยังไม่ทันขาดคำ ใบหน้าหวานซึมลงอย่างเห็นได้ชัด อดสงสารไม่ได้ที่เห็นมันทำหน้าหงอย สุดท้ายยอมใจอ่อนจนได้
“นะจ๊ะ” เจอหน้าออดอ้อนของมันใครจะทนไหว
กองอินทร์ค่อย ๆ พยุงม่านหมอกขึ้นมายังชั้นสองด้วยสภาพทุลักทุเลพอสมควร ถ้าพ่อครูมาเห็นในสภาพนี้มีหวังโดนมะเหงกบ่นหูชาไปสามวันเจ็ดวัน
“ข้ามาส่งเอ็งแล้ว อย่าบอกพ่อครูไปนะเว้ย ว่าข้าสมรู้ร่วมคิดไม่อย่างนั้นมีหวัง...” โดนมะเหงกแน่
คนตัวเล็กพยักหน้ารับตอบกลับอย่างเข้าใจ เสียงฝีเท้าของพี่กองอินทร์ไกลลับไปบ่งบอกว่าบนสำนักนี้มีแต่เขา ม่านหมอกสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกพลัง เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูหน้าห้องพระ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูไม้สักสามครั้งดังขึ้นตามจังหวะ
“ใคร”
“...” เมื่อได้ยินน้ำเสียงดุ ๆ ตอบกลับมา กระนั้นก็ยังไม่กล้าเอ่ยตอบ
“กูถามว่าใคร”
“มะ ม่านเองจ้ะ”
“มึงมีอะไร” คราวนี้คำตอบกลับเป็นโทนเสียงต่ำอ่อนลงโดยอัตโนมัติ
“พอดี ม่านอุ่นขนมมาให้พ่อครูจ้ะ” เสียงใสพยายามบังคับไม่ให้สั่น แค่นึกถึงคำพูดเมื่อคืนพลันให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัว
“มึงเอาวางไว้ข้างนอก ถ้าจะกิน กูจะไปหยิบเอง”
“เข้าใจแล้วจ้ะ” คนตั้งใจนำขนมในมือวางลงหน้างอคอตกคล้ายกับผิดหวังเล็กน้อย ในจังหวะที่กำลังหมุนตัวเดินจะเดินจากไป ทว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักไว้ก่อน
“เท้ามึงเป็นยังไงบ้าง” อยากจะเปิดประตูออกไปมองหน้าคนละมุนแต่มือก็กำลังวุ่นกับการหาข้อมูล
“กินยาก็ดีขึ้นแล้วจ้ะ” แต่ยังรู้สึกเจ็บนิด ๆ
“ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”
“ม่านขอบคุณพ่อครูอีกครั้งนะจ๊ะ”
“อืม มีอะไรทำก็ไปทำเถอะ”
พลัฏฐ์ใช้เวลาคลุกอยู่ในห้องพระทั้งวันเพื่อศึกษาตำรับตำราและคัมภีร์โบราณที่ปู่ทิ้งไว้ให้ ไม่ว่าจะเล่มไหนก็ไม่มีบทกล่าวขานถึงเรื่องเลือด
เวลาผ่านไปจนครึ่งบ่าย แม้จะพยายามสุดความสามารถก็ไม่เจอข้อมูลหรือเรื่องราวที่ใกล้เคียง สุดท้ายพ่อครูหนุ่มตัดสินใจหยิบตะกรุดที่ปู่ให้มาตั้งจิตให้ว่าง หลับตาลงและอธิษฐานต่อตะกรุดนั้นโดยสัตย์จริง
“ข้าพเจ้า พลัฏฐ์ แสงธรรมกุล ถ้าตะกรุดเล่มนี้มีไว้เพื่อช่วยชีวิตของเจ้าของ ได้โปรดแสดงข้อความหรือบ่งชี้ข้อมูลให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยเถิด”
ไม่นานความปรารถนาของพลัฏฐ์ก็เป็นผล ตะกรุดเริ่มเปล่งแสงเรืองรองและล่องลอยขึ้นในอากาศเหนือตู้หนังสือบนสุด พลันแสงค่อย ๆ ดับลงและหนังสือเล่มหนาทึบหล่นลงมาพร้อมตะกรุด
หน้าปกเผยให้เห็นภาษาล้านนาที่เขียนไว้ว่า ‘เลือดมนตรา’ ด้วยตัวอักษรล้านนา ภาษาในเนื้อหาค่อนข้างแตกต่าง มิใช่ภาษาล้านนาหรือภาษาขอม ทว่าเป็นภาษาโบราณที่พลัฏฐ์อ่านไม่ได้
ในหนังสือปรากฏปานรูปดาวในหลาย ๆ หน้า ยากจะเข้าใจความหมาย คนที่จะสามารถไขปริศนาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
‘หลวงพ่อพลพจน์’
หนังสือถูกเก็บไว้ในย่ามสีดำ พลัฏฐ์รีบออกเดินทางในทันที หลวงพ่อออกบวชตั้งแต่ช่วงที่พาเขามาฝากฝังไว้กับปู่ ไม่ยากที่จะรู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน
“พ่อครูจะไปไหนเหรอครับ” กองอินทร์เห็นท่าทีรีบร้อนของพ่อครูจึงกล่าวถาม
“กูมีกิจด่วน ไปไม่นานเดี๋ยวกลับ ระหว่างที่กูไม่อยู่อย่าให้ม่านหมอกเลือดตกยางออกเป็นอันขาด”
“เออคือ....”
“มึงไม่ต้องอยากรู้ เดี๋ยวได้รู้เอง”
“เข้าใจแล้วครับ” ลูกศิษย์เพียงคนเดียวตอบรับคำขออย่างดี โดยมีม่านหมอกยืนฟังอยู่ไกล ๆ พ่อครูรีบขนาดที่ไม่กินขนมที่วางไว้แม้แต่ชิ้นเดียว พลันความรู้สึกน้อยใจตีตื้นขึ้นมาในอก
การเดินเท้าเข้าไปในป่า ถึงไม่รู้จุดหมายที่แท้จริงแต่ตามสัญชาตญาณและอาศัยความรู้สึก เมื่อเดินย่ำเท้าเข้าไปใกล้แรงลมวูบใหญ่พัดนำทางไม่นานเจอก็เจอเข้ากับบุคคลที่ตนตามหา
หลวงพ่อพลพจน์กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยผู้มีบุญบารมี กระแสลมวูบใหญ่หยุดพัดนิ่งภายใต้บริเวณนี้พอดิบพอดี พลัฏฐ์พนมมือ หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้วก้มกราบด้วยความศรัทธา
“นมัสการครับหลวงพ่อ”
“ไหว้พระเถอะโยม ในที่สุดก็มาสินะ”
หลวงพ่อพลพจน์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองหน้าบุตรชาย หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าราวกับนั่งรออยู่ใต้ต้นโพธิ์อยู่ก่อน
“นำหนังสือนั้นมาด้วยใช่ไหม นำมาให้อาตมาช่วยเถิด” พลัฏฐ์พยักหน้า ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนาส่งมอบให้หลวงพ่อ
สายตาฝ้าฟางพร่ามัวค่อย ๆ พิศอ่านทีละหน้าอย่างใช้สมาธิ หลวงพ่อพลพจน์สืบทอดการอ่านภาษาโบราณมาจากปู่แสนซึ่งเป็นไม่กี่คนในปัจจุบันที่สามารถอ่านและถอดชุดข้อมูลได้
“เด็กนั่นมีปานรูปดาวหรือไม่” เด็กที่หมายถึงคือม่านหมอกไม่ผิดเป็นแน่
“ผมยังไม่ทราบครับหลวงพ่อ” ไม่เคยได้สังเกตหรือเพราะคนตัวเล็กใส่เสื้อผ้ามิดชิดตลอดเวลา
หลวงพ่อเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นเปิดหน้ารูปวาดปานรูปดาวพร้อมภาพเลือดที่กระจายเป็นจุด ๆ อยู่โดยทั่ว ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาหลวงพ่อกล่าวในทันที
“เด็กนั่นความจริงต้องตกตายตามยายมันไป แต่ด้วยพลังของเลือดมนตราทำให้โชคดีแค่ตาบอด อวิชชาที่แกร่งกล้ายังทำได้เพียงเท่านั้น”
“ยังไงครับหลวงพ่อ”
“เลือดของชายหนุ่มที่มีปานรูปดาว เป็นเลือดที่บริสุทธิ์แท้และหายาก ดังนั้นไม่ว่าสัมภเวสี ภูตผี วิญญาณหรือผีห่าซาตาน รวมไปถึงอวิชชา สายดำใดได้ครอบครองและดูดดื่ม จะสร้างพลังแกร่งกล้าให้แก่มันผู้นั้นและต่ออายุขัยที่ใกล้จะดับของพวกมันได้อย่างยาวนาน”
เมื่อได้สดับรับฟัง พลัฏฐ์เข้าใจในทันทีทั้งสองเหตุการณ์ที่ผ่านมาผีตายโหงที่คลุ้มคลั่งบีบคออยากได้เลือดของม่านหมอก รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
“แต่อย่าเพิ่งได้กังวลใจไป ปริมาณเลือดอันน้อยนิดมิสามารถรวบรวมพลังได้ หากแต่มันผู้นั้นต้องได้ดื่มเลือดจากผิวกายของเด็กมีปานรูปดาว”
นั่นแปลว่า ต้องได้รับเลือดในปริมาณที่มากพอและต้องได้รับเลือดโดยตรงจากตัวของม่านหมอก ไม่ใช่การนำเลือดใส่ภาชนะแล้วนำไปดื่มกินได้
“ชีวิตเด็กนั่นช่างน่าสงสาร ยายเสีย ตาบอด แถมถูกแม่เอามาขาย” ถ้าไม่ซื้อไว้คงเจอเรื่องแย่กว่านี้
“เราไม่สามารถไปแก้กรรมใครได้ แต่ไสยขาวแบบเราช่วยให้มันบางเบาได้เท่านั้น”
“แล้วเขามีโอกาสกลับมามองเห็นอีกครั้งไหมครับ”
“นั่นก็อยู่ที่บุญกรรมที่สั่งสมมา หรือต้องรอให้มนตราคลายจนเสื่อมไป” ถ้าเสื่อมมันคงเสื่อมไปเนิ่นนาน เว้นเสียแต่คนที่ทำของใส่ม่านหมอกยังคงมีชีวิตอยู่และมันคงต้องการเลือดของเด็กหน้าหวานไม่ต่างจากใครอื่น
หลวงพ่อพลพจน์ผู้บรรลุทางธรรมและเข้าใจสิ่งอบายมุขทางโลกอย่างถ่องแท้ ย่ามใกล้มือเปิดออก มือแห้งเหี่ยวหยิบของบางอย่างแล้วส่งให้บุตรชาย
“จงคืนของที่เป็นของเขาให้แก่เจ้าของ แล้วมอบยันตราผืนนี้ไว้ให้ด้วย ถึงแม้มันจะช่วยได้ไม่มากก็ตาม”
ยันตราสี่เหลี่ยมสีแดงลงอักขระทองเป็นภาษาโบราณถูกมอบไว้บนมือใหญ่ พลัฏฐ์ก้มลงกราบสามครั้งก่อนจะกล่าวคำขอบคุณและคำลา
“ขอบคุณมากนะครับหลวงพ่อ”
“จงดูแลเท่าที่ทำได้ อย่าทำเพียงเพราะสงสาร แต่จงทำเพราะความต้องการของตัวเจ้าเอง”
คำพูดสุดท้ายของหลวงพ่อพลพจน์ที่ฝากฝังไว้ พลัฏฐ์เข้าใจทุกคำและความหมาย เขาอยากช่วยให้ม่านหมอกหลุดพ้นความทุกข์จากใจจริง
พลัฏฐ์กลับมายังสำนักในยามพลบค่ำ แสงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า แต่ยังคงทิ้งความสวยงามไว้ดังเช่นเคย
เสียงตำน้ำพริกดังมาจากในครัว สิ่งที่ติดอยู่ในใจคือการพิสูจน์ว่าม่านหมอกมีปานรูปดาวและเป็นเด็กเลือดบริสุทธิ์ที่มีฤทธามอบแก่พวกภูตผีจริงตามตำราหรือไม่
“พ่อจ๊ะ พ่อลืมกินขนมที่พี่ม่านเอาไปให้เมื่อเช้าหรือเปล่า” เจ้าเด็กกุมารทองเตือนสติ พลัฏฐ์เพิ่งนึกขึ้นได้ด้วยความเร่งรีบเมื่อเช้าแท้ ๆ
“พี่ม่านคงน้อยใจพ่อมากเลยจ้ะ”
“จะน้อยใจกูทำไม ที่กูรีบไปรีบกลับก็เรื่องของมัน”
“เรื่องของพี่ม่านเหรอจ๊ะ ไหนมีอะไรมาเล่าให้พลูทองฟังมั้งอะพ่อ พลูทองอยากรู้”
“มึงเป็นเด็กก็อยู่ส่วนเด็กไป”
ช่วงขายาวก้าวเข้าไปตามเสียงในครัว หนึ่งลูกศิษย์ที่กำลังงุ่นง่านกับการตำน้ำพริก ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่างกับของมีคม
“มึงทำอะไรม่านหมอก”
“อ๊ะ!!!”
เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยขึ้นไม่ให้สุ้มให้เสียงทำเอามีดที่อยู่มือหล่นพื้น ทว่าโชคดีที่พ่อครูเอื้อมรับได้ทัน
“ขะ ขอโทษจ้ะ ม่านกำลังหั่นผักอยู่”
“แล้วทำไมไม่ให้กองอินทร์ทำ ไอ้กอง กูสั่งมึงว่าไง”
กองอินทร์ลอบกลืนน้ำลาย เพิ่งนึกได้ว่าพ่อครูสั่งห้ามไม่ให้ม่านหมอกเลือดตกยางออก และการใช้มีดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติได้ง่าย โดยเฉพาะมีดกับคนตาบอด
“ผะ ผมขอโทษครับพ่อครู” นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองอย่างเอาเรื่อง ลูกศิษย์ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ก้มหน้างุดอย่างรู้สึกผิด ยามนี้รัศมีความน่ากลัวลอยฟุ้งไปในอากาศ
พ่อครูตอนโกรธน่ากลัวสุด ๆ
“พ่อครูอย่าว่าพี่กองเลยนะจ๊ะ ม่านเองที่ขอพี่กองทำ” แม้ตัวเขาไม่อาจรับรู้ได้ว่าพ่อครูแสดงสีหน้าเช่นไร ทว่าฟังจากเสียงเจือความไม่พอใจอยู่มากอย่างสัมผัสได้
“มึงไม่ต้องออกตัวรับผิดแทนกัน”
“ม่านผิดเองจ๊ะ ม่านไม่ได้รับผิดแทน”
“ผมผิดเองครับพ่อครู ไม่ดูแลตามคำสั่ง”
“พอ ไม่ต้องเถียงกัน” น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับมีพลังสยบการถกเถียงในทันที ยามพ่อครูเปรยหางตามองหน้าทั้งสองที่อายุน้อยกว่าสลับไปมาอย่างคาดโทษ
“มึงกองอินทร์ต่อไปมึงห้ามขัดคำสั่งกู วันนี้ไปแบกน้ำให้เต็มโอ่ง”
“ไปเดี๋ยวนี้ไอ้กอง”
“คะ ครับ พ่อครู” กองอินทร์รีบออกไปให้ไวที่สุด เป็นห่วงก็แต่ม่านหมอก ไม่รู้จะถูกพ่อครูดุมากแค่ไหน ขอให้พ่อครูไม่ใจร้ายกับมันมากเกินไป
“พ่อครู ถ้าจะลงโทษพี่กองอินทร์ก็ลงโทษม่านด้วยสิจ๊ะ พี่กองอินทร์ไม่ได้ผิดคนเดียวสักหน่อย” เสียงใสเริ่มไม่ยอม พยายามปกป้องสิทธิ์ของรุ่นพี่ที่ตัวเองมีส่วนผิดเพราะขอเป็นคนทำเอง
“ต่อไปมึงก็ห้ามทำกับข้าว ไม่ต้องเข้าครัว ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกับของมีคม”
“แต่ม่านจะทำกับข้าวให้พ่อครูนี่จ๊ะ”
“ไม่ต้องทำ กูไม่กินจากมึง ให้กองอินทร์เป็นคนทำ”
พลัฏฐ์ลืมตัวเผลอใช้คำพูดแรงไปจนส่งผลให้คนฟังรู้สึกสะอึก พลันดวงตาสีสวยมีน้ำตาคลอหน่วย ทว่าพลัฏฐ์หาได้ใส่ใจไม่ ไม่ใส่ใจดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเก็บมาคิด
เด็กดื้อพูดไม่ฟังต้องใช้ไม้แข็ง อย่ายอมใจอ่อนเพียงเพราะน้ำตาไม่กี่หยด คนตัวเล็กเบื้องหน้ายังไม่รู้ความจริง
“ก็รู้ตัวว่ามองไม่เห็น ทำไมถึงดื้อรั้นอยู่ได้ ถ้าเกิดเลือดตกยางออกในช่วงที่กูไม่อยู่ แล้วมาไม่ทัน....”
เกือบหลุดคำบางอย่างที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของเด็กหนุ่ม เขาไม่สามารถไว้ใจรอบด้านได้เกรงว่าพวกผีร้ายที่แฝงตัวมาจะได้ยินเข้าจะยิ่งมีอันตราย
“ม่านเป็นภาระมากเลยเหรอจ๊ะ...”
“กูได้พูดสักคำหรือยังว่ามึงเป็นภาระ”
แต่ม่านคิดว่าใช่ แค่การได้ทำอาหารเป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้มีความสุขได้แต่ถ้ามันเป็นคำสั่งของผู้มีพระคุณก็คงต้องทำตาม
“ม่านต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ ต่อไปจะทำตามคำสั่งพ่อครูจ้ะ” แววตาหม่นหมองเจือความเศร้าสร้อยพยายามปกปิดไว้แต่กลับปิดไว้ไม่มิด
ร่างเล็กปาดน้ำหูน้ำตาเดินจากไป ทิ้งพลัฏฐ์ไว้ในครัวเพียงลำพัง รู้ตัวว่าเผลอพูดโดยไม่สนความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่เพราะความปลอดภัยของตัวม่านหมอกเอง จากนี้ไปจะไม่ยอมใจดีให้แล้ว
“สักวันมึงจะเข้าใจ” เสียงพึมพำที่บ่นกับตนเองและส่งไปไม่ถึงใครบางคน