ตั้งแต่บังเอิญได้เจอและสบตากับผู้หญิงที่ร้านอาหารวันนั้นก็ทำให้ครูซเอาแต่เฝ้าคิดถึงเธออยู่ตลอดเวลา เขาไม่สามารถสลัดภาพของเธอให้หลุดไปจากในหัวได้เลย เวลาการทำงานที่เคยมีสมาธิกลับถูกแทรกแซงและรบกวนด้วยรอยยิ้มและใบหน้าของเธออยู่ตลอดเวลา
กายซึ่งทำงานใกล้ชิดกับครูซมานานเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ และครั้งนี้นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายามคาดคั้นคำตอบจากครูซ กายนั่งอยู่ตรงข้ามครูซสายตาจับจ้องเขาอย่างจับผิดและความอยากรู้ที่สุด
"คุณครูซ คุณจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้นะครับ งานทุกอย่างชะงักค้างไปหมด" กายบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงจังจนครูซต้องเงยหน้าขึ้นจากเอกสารกองโตตรงหน้า
“แล้วไง???” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอย่างเย็นชากับท่าทางที่เหมือนไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร ก็แค่งานค้างนิดหน่อยเองทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้
"ก็ไม่แล้วไง แต่อะไรที่ทำให้คุณครูซผู้จริงจังของผมเปลี่ยนไปขนาดนี้ล่ะครับ" กายเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยเมื่อมองเห็นสีหน้าที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักของครูซ
“...” ครูซเงียบไม่ได้ตอบเขาเพียงแค่ขมวดคิ้วมองหน้ากายนิ่ง ๆ เพราะเขาไม่รู้จะตอบกายว่ายังไง จะให้เขาตอบว่าเขาไม่มีสมาธิเพราะเอาแต่คิดเรื่องของผู้หญิงที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่ออย่างงั้นเหรอ มีหวังไอ้คนตรงหน้าเขาคงหัวเราะเยาะเขาตายเลย
“อย่าบอกนะครับ ว่าเป็นเพราะเรื่องที่ร้านอาหารวันนั้น” กายมองท่าทีที่เงียบของครูซแล้วก็พอจะเดาออก ทำให้ครูซต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยออกมาน้ำเสียงราบเรียบ
“มันก็แค่เรื่องบังเอิญ ผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไป”
“บังเอิญอะไรครับ?? บังเอิญที่ทำให้คุณคิดถึงเธอขนาดนี้?? จนไม่มีสมาธิทำงานอย่างงั้นเหรอครับ ผมว่าไม่ใช่แล้วล่ะครับ หึหึ” กายส่ายหัวแล้วเค้นเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ให้กับความปากแข็งของคนตรงหน้า พฤติกรรมกับการกระทำออกซะขนาดนั้นยังมาบอกแค่เรื่องบังเอิญ
“ไอ้กาย!!!”
“ผมแค่พูดความจริง รักก็แค่ยอมรับว่ารัก ชอบก็แค่ยอมรับว่าชอบ แค่นั้นก็จบจะมามัวปฏิเสธความรู้สึกตัวเองอยู่ทำไม”
“เฮ้อ... ถ้ายอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้วไง ในเมื่อฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอสักอย่าง”
“ถ้าอยากรู้ก็แค่สืบ”
“สืบ??” ครูซเลิกคิ้วขึ้นย้ำคำพูดของกายที่แสดงออกถึงความไม่แน่ใจ แค่เรื่องของผู้หญิงคนเดียวแค่นี้ถึงกับต้องสืบกันเลยเหรอ
“ใช่ครับ”
“จะสืบยังไง?? ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหน” ใช้เขาไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่าง เจอกันก็แค่แป๊บเดียวแล้วจะไปสืบหาข้อมูลได้จากที่ไหน
“เรื่องนี้ไม่ยากเลย ปล่อยให้ผมจัดการเอง” การตามหาคนสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร กล้องวงจรปิดก็มีเยอะแยะไปหมด อินเทอร์เน็ตก็มีแถมกำลังคนก็มีอีกเหมือนกัน
“อื้ม” ครูซตอบรับคำในลำคอพร้อมพยักหน้าตอบรับแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับเป็นน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจของกายที่พูดแทรกขึ้นมาแทน
“แต่ผมว่าตอนนี้คุณครูซต้องรีบจัดงานทำงานที่ค้างให้หมดก่อนดีกว่านะครับ ทั้งหัวหน้าแผนกทั้งผู้จัดการสาขาพากันโทรมาตามงานจนผมมึนไปหมดแล้ว”
“เออ!!”
เอลล่าเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ด้วยท่าทางเร่งรีบเพราะตอนนี้ถึงเวลานัดของเธอกับเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเพียงคนเดียวอย่าง น้ำผึ้ง แล้วซึ่งพวกเธอไม่ได้เจอกันบ่อยนักเพราะต่างก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบทำให้ต่างคนต่างยุ่ง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังคงเหนียวแน่นไม่เปลี่ยน ถึงจะไม่ค่อยได้เจอแต่ก็ติดต่อหากันอยู่ตลอดเวลา
เอลล่ากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาร้านที่เป็นสถานที่นัดหมาย และไม่นานเธอก็เจอร้านกาแฟที่เป็นจุดนัดของทั้งคู่ เอลล่าเดินเข้าไปภายในร้านก็เห็นน้ำผึ้งนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เอล!!! ทางนี้!” ทันทีที่น้ำผึ้งเห็นเอลล่าก็รีบยกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมเรียกเอลล่าด้วยรอยยิ้มสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ
“เอลขอโทษนะที่มาช้านะผึ้ง งานเยอะมากเลยกว่าจะเคลียร์เสร็จ” เอลล่ายิ้มกว้างด้วยความดีใจเดินตรงไปหาเพื่อนแล้วนั่งลงพร้อมกับขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ที่ตัวเองมาช้า
“ไม่เป็นไร ผึ้งก็มาถึงก่อนหน้าเอลไม่นาน ผึ้งเข้าใจเราทั้งคู่ก็ยุ่งไม่ต่างกันแหละ ว่าแต่ช่วงนี้เอลเป็นยังไงบ้าง?”
“งานเยอะมาก... ไม่อยากจะพูด ว่าแต่ผึ้งเป็นยังไงบ้าง” พอพูดถึงเรื่องงานเอลล่าถึงกับเหนื่อยรอเลยทีเดียวแต่คิดว่าอีกไม่นานก็คงไม่เหนื่อยขนาดนี้แล้วเพราะน้องชายทั้งสองของเธอเรียกใกล้จบแล้วและกำลังจะกลับมา
“ไม่ต่างกับเอลหรอกงานเยอะเหมือนกันแต่คงไม่เท่าเอล ว่าแต่ที่เอลบอกว่ามีเรื่องจะเล่าให้ผึ้งฟังน่ะเรื่องอะไรเหรอ” ด้วยความที่เป็นเพื่อนสนิทจึงไม่มีความลับต่อกันทำให้ทั้งสองสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
“จะพูดว่ายังไงดีละ” เพราะความที่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี เพราะเรื่องของเรื่องมันไม่มีอะไรนอกจากความรู้สึกที่เธอเป็นอยู่แค่นั้น
“ทำไมเหรอ?? มันเป็นเรื่องร้ายแรงหรือไง”
“ไม่ใช่ แค่เมื่อวันก่อนเอลบังเอิญเดินชนกับผู้ชายคนหนึ่ง”
"เดินชนผู้ชาย??" น้ำผึ้งเลิกคิ้วแล้วมองหน้าเอลล่าด้วยความสงสัย ตั้งแต่รู้จักกันมาเพื่อนเธอไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนสักคนแม้จะมีคนเข้ามาจีบมากมาย เอลล่าพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ
"ใช่ แล้วก็ไม่รู้ทำไม... ตั้งแต่วันนั้น ทุกครั้งที่เอลว่างก็เห็นภาพเขาในหัวอยู่ตลอดเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ"
"โห... เอล! นี่มันฉากในละครชัด ๆ บังเอิญเดินชนกันแล้วก็คิดถึงเขาไม่หยุด อร๊าย... ได้ฟังแล้วฟิน" น้ำผึ้งยิ้มกว้างหลังได้ยินเรื่องราวจากปากของเอลล่า เธอรู้ว่าเอลล่าค่อนข้างกังวลและคิดมากเพราะไม่รู้ว่าอาการที่ตัวเองเป็นอยู่มันอะไร
“เอลต้องทำยังไงถึงจะลืมเรื่องผู้ชายคนนั้นได้”
“คงยาก”
“ทำไม??”
“ก็ความรู้สึกที่เอลเป็นอยู่เนี่ยเขาเรียกว่า อาการของคนตกหลุมรัก” เมื่อได้ฟังคำพูดของน้ำผึ้งก็ทำให้เอลล่าอุทานออกมาพร้อมกับมองน้ำผึ้งทำตาโตด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะตกหลุมรักผู้ชายคนนั้น
“ห๊ะ!!! ตกหลุมรัก??? จะเป็นไปได้ไงกับคนเพิ่งเจอกันครั้งแรก แถมไม่รู้จักกันเนี่ยนะ”
“รักแรกพบไง แล้วตั้งแต่วันนั้นเอลได้เจอเขาอีกไหม?"
“ไม่ และก็คิดว่ามันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นด้วย กรุงเทพไม่ใช่แคบ ๆ นะจะได้เจอกันง่าย ๆ”
“ก็จริง โอกาสที่จะเจอกันมีน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ”
“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวอีกไม่นานเอลก็คงลืมไปเอง”
"ก็จริง บางทีความรู้สึกบางอย่างมันก็เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ มันอาจเป็นเพราะเอลอยู่ในช่วงที่เหนื่อยจากงานมาก เลยทำให้โฟกัสไปเรื่องนี้แทนไง" เอลล่าพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของน้ำผึ้ง นั่นสินะ... บางทีเธออาจจะคิดมากไปเองก็ได้ อีกไม่นานก็คงลืม