แตร๊ด แตร๊ด รางวัลที่หนึ่งประจำวันที่ 16/5/2568 เลขที่ออก...
สามสาวนั่งจ้องหน้าจอมือถืออย่างใจจดใจจ่อ หัวใจเต้นแรงตึกตักด้วยความตื่นเต้นในมือกำสลากกินแบ่งรัฐบาลเอาไว้แน่น พลันเหงื่อเม็ดเล็กก็ผุดขึ้นเต็มกรอบหน้าลมหายใจรุนแรงขึ้นเมื่อใกล้เวลาประกาศผล
สอง ห้า หนึ่ง สาม ศูนย์ เก้า (251309)
“หมาสี่แม่มึงเอ๊ย!!” (คำสบถ)
“บ่ใกล้” (ไม่ใกล้)
“บ่สุย” (ไม่เฉียด)
ว่าแล้วก็ขยำสลากจนยับคามือก่อนจะปาลงพื้นด้วยความไม่สบอารมณ์ เมื่อสลากที่ซื้อกับรางวัลที่ออกนั้นไม่ใกล้เลยแม้แต่น้อย
“เป็นจั่งได๋เจ้าพ่อไหย่ำมึง” (ไงล่ะเจ้าพ่อไหย่ำมึง)
ฉันหันไปถามอีเตยเพราะมันนี่แหละตัวดีบอกว่าเจ้าพ่อไหย่ำนี้แหละให้หวยมาจนบ้านดอนหมอกเขาถูกกันถ้วนหน้าฉันถึงได้ลงทุนซื้อมาตั้งหลายใบ ด้วยความหวังที่มีนั้นพังทลายลงไปแบบไม่มีชิ้นดี ส่วนคนที่ได้หวยมานั้นก็หมดไม่ใช่น้อยได้ได้แต่นั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“บ่หมานคัก เซาเด้อ” (ดวงไม่ดีเลย เลิกซะนะ)
ว่าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นพรวดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“มึงสิไปไส” (มึงจะไปไหน)
“ซื้อเลขบ่ถืกสิไปหาแก้อยู่ร้านเจ๊วาดก่อน สูนวะ” (ซื้อหวยไม่ถูกจะไปหาดื่มที่ร้านเจ๊วาดสักหน่อย อารมณ์เสีย)
เพื่อนสองคนเรียกไว้ก็ไม่เป็นผล อีกอย่างวันนี้ฉันหายออกจากบ้านมาแต่เช้าไม่แน่ว่าป่านนี้ตาสิทธิ์คงจะกำลังคิดบทเทศนาฉันอยู่ก็เป็นได้
18.18 น.
สามแยกทางเข้าหมู่บ้านโพนเสือ
“กรี้ด!!!”
โครม!!!
รถมอเตอร์ไซต์สีชมพูหวานที่ขับมาไม่เร็วมากแต่เสียหลักล้มลงกับถนนลาดยางด้วยความแรงเพียงเพราะมีหมาดำตัวหนึ่งวิ่งมาตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ทำให้คนขับนั้นล้มกองอยู่กับรถความเจ็บเริ่มเข้าแทรกเมื่อผ่านไปชั่วครู่ ความหนักของรถทำเธอไม่สามารถลุกได้เลยในทันที
วาสนากูสิมีพอส่ำนี้บ้อ ซื้อเลยกะบ่ถืก ยังมารถล้มอีก โคตรแม่มันหนิ!!!
นึกในใจพลางตั้งหน้ายอมรับชะตากรรมนอนนิ่งให้รถทับอยู่แบบนั้น มองท้องฟ้าหม่นที่เริ่มเปลี่ยนสีเมื่อพระอาทิตย์กำลังจะลาลับ โดยไม่สนว่าที่นี่คือกลางถนน
“เป็นอะไรไหมครับ”
ภาพที่ปรากฏคือชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ผิวขาวใสสะอาดราวกับว่าอาบน้ำวันละสิบรอบเลยก็ว่าได้ กลิ่นน้ำหอมให้ความสดชื่นราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในป่าของพฤกษานาพรรณ
“บ่แม่นกูตายแล้วติคือเห็นเทวดา”
เปลือกตาสีอ่อนกะพริบปริบๆ และส่ายหน้าเป็นพัลวันเพื่อเรียกสติของตัวเอง กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้ฝันหรือยังไม่ตายก็ตอนที่รถจักรยานยนต์ถูกยกออกจากตัว
“ลุกไหวไหม”
ไม่ถามเปล่าเขายังเข้ามาพยุงฉันให้ลุกขึ้นพร้อมกับพาเดินมานั่งที่ศาลารอรถริมทาง อาการตกอยู่ในภวังค์แบบนี้ไม่เคยเป็นมาก่อนแต่เมื่อจ้องหน้าของเขานานเข้าก็รู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่ผิวขาวลูกคุณหนูแบบนี้ไม่น่าจะใช่คนบ้านนอกหรอก
“จำเราไม่ได้?”
ฉันจ้องมองใบหน้าคนถามอย่างไม่ลดละไปไหน คุ้นมากพยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก ได้แต่มองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า คนเรามันจะหล่อได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ
“ฮึ! จำไม่ได้จริงๆ สินะ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง เค้นหัวเราะออกมาจากลำคอพลางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าจนฉันทำตัวไม่ถูกเลยแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ทิ้งความใคร่รู้ที่มี
“นี่...นายรู้จักเราหรือเรารู้จักกัน”
“เจ็บตรงไหน”
“ไม่เจ็บ...อ๊ะ!!!”
ฉันยังตอบไม่จบก็ถูกเขาจับขาขึ้นไปวางไว้ที่หน้าขาตัวเองก่อนจะหยิบเหมือนกล่องอุปกรณ์ทำแผลออกมาจากกระเป๋าเดินทางนั้น หัวเขาถลอกนิดหน่อยแต่เจ็บชะมัดเลย
“เบาๆ เจ็บ”
“ไหนเมื่อกี้บอกไม่เจ็บ”
“ก็ตอนนี้เจ็บแล้ว”
“ฮึ~~”
ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอหนาก่อนที่เขาจะเริ่มลงมือทำแผลให้อย่างชำนาญ แต่ก็ยังทิ้งปริศนาให้ฉันอยากรู้ต่อไปอยู่แบบนั้น
ท่าทางที่ดูจริงจังและใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลานี้ทำให้ไม่อาจจะละสายตาได้เลย
น่ารักว่ะไอ้หมอนี่มันลูกเต้าเหล่าใครวะ...
“ซี้ด~~~ แสบ”
ฟู่ววววว~~~~~~
ลมอุ่นๆ จากปากหยักได้รูปเป่าจรดลงแผลอย่างต้องการบรรเทาความเจ็บ ถ้าไม่ใส่ขาสั้นก็คงไม่เป็นแผลหรอก ขาสวยๆ เลยเกิดแผลจนได้ขออย่าให้เป็นแผลเป็นเลยนะ
“เสร็จแล้ว”
“อ๋อ อือ ขอบคุณนะ...ว่าแต่จะบอกได้หรือยังว่าเรารู้จักกันจริงๆ เหรอ”
ฉันยังไม่ทิ้งความคลางแคลงใจ ยังจับจ้องเครื่องหน้ามีเสน่ห์นั้นอย่างต้องการคำตอบ
“ยังซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ”
เขาทำเหมือนรู้จักฉันดี ดวงตาคู่สวยประกายแวววับจ้องมองมามันทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่หน้าอย่างที่ไม่เคยเป็น
แต่คำที่เขาพูดมามันทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนสนิทช่วงมัธยมปลายคนหนึ่งขึ้นมา เขาคนนั้นชอบว่าฉันซุ่มซ่ามและเป็นคนที่คอยห้ามปรามไม่ให้ฉันไปมีเรื่องชกต่อย แต่อยู่ๆ เขาก็ย้ายโรงเรียนกะทันหันโดยที่เราสองคนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้บอกลา
“ไม่ใช่หรอกมั้ง”
ความคิดหลุดออกมาเป็นคำพูดทั้งมองคนตรงหน้าพลางคิดย้อนกลับไปถึงเพื่อนในวัยเรียนนี่มันก็เกือบสิบปีเข้าให้แล้ว เขาจะเปลี่ยนไปได้มากถึงขนาดนี้เลยเหรอ แต่มันก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่
“จะคิดอีกนานไหม”
ร่างสูงยืนขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับเท้าเอวถามอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาบีบแก้มอย่างถือวิสาสะและคนที่กล้าทำแบบนี้กับฉันก็มีอยู่คนเดียว
“ไอ้แทน...อ้ะ!!!”
ด้วยความดีใจจนเผลอลุกขึ้นจนลืมว่าขนเจ็บ ทำเอาเสียหลักแทบล้มดีที่ว่าเขายังรับร่างของฉันไว้ได้ก่อนจะปล่อยให้ยืนอิสระ ไม่อยากจะเชื่อสายตาจับตัวมันพลิกไปพลิกมาอย่างสำรวจ กลับมาคราวนี้หล่อขึ้นผิดหูผิดตาแทบจำไม่ได้เลย ต่างจากฉันที่สภาพเหมือนน้ำไม่อาบมาสิบปี
“แล้วนี่จะไปไหนทำไมมานอนวัดถนนอยู่ตรงนี้”
“จะกลับบ้านแต่หมาตัดหน้า”
“ไปส่งที่บ้านหน่อยดิ”
ตอบตกลงในทันควันเดิมทีก็จะขับเองนั่นแหละแต่มันยืนยันว่าจะขับฉันเลยต้องนั่งซ้อนท้ายมันแทน
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็เหลือไว้เพียงความมืดมิด ในหมู่บ้านชนบทแบบนี้ชาวบ้านที่กลับจากไร่จากนาก็รีบกินข้าวและเข้านอนกันแต่หัววันกันเป็นปกติ
“ขับกลับบ้านเองได้ใช่ไหม”
แทนไทเอ่ยถามหลังจากที่รถจอดนิ่งที่หน้าบ้านครูสำราญผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเขา ร่างสูงก้าวลงจากรถยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับมองด้วยแววตาเป็นห่วง จะว่าไปไอ้แทนมันมีความนิ่งและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลยนะแววตายามจับจ้องมาในบางครั้งทำเอาฉันต้องหลบหน้าไปเสียดื้อๆ โดยไม่รู้สาเหตุ
“สบาย...เออนี่ อย่าบอกนะว่าเจอกูรถล้ม เดี๋ยวพี่เรด่า”
“พูดไม่เพราะ”
คนที่กล้าว่าฉันแบบนี้มีคนเดียวเลยนะตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“เออ...ไม่พูดก็ได้”
ตอบออกไปเพียงสั้นๆ ฉันก็รีบบิดรถออกมาเลย ขืนกลับช้ากว่านี้มีหวังถูกพ่อใหญ่สิทธิ์บ่นหูชาแน่ๆ
แต่ถึงจะกลับช้ากลับเร็วก็โดนอยู่ดีนั่นแหละ ไม่เชื่อคอยดู...