บทนำ

1393 Words
แตร๊ด แตร๊ด รางวัลที่หนึ่งประจำวันที่ 16/5/2568 เลขที่ออก... สามสาวนั่งจ้องหน้าจอมือถืออย่างใจจดใจจ่อ หัวใจเต้นแรงตึกตักด้วยความตื่นเต้นในมือกำสลากกินแบ่งรัฐบาลเอาไว้แน่น พลันเหงื่อเม็ดเล็กก็ผุดขึ้นเต็มกรอบหน้าลมหายใจรุนแรงขึ้นเมื่อใกล้เวลาประกาศผล สอง ห้า หนึ่ง สาม ศูนย์ เก้า (251309) “หมาสี่แม่มึงเอ๊ย!!” (คำสบถ) “บ่ใกล้” (ไม่ใกล้) “บ่สุย” (ไม่เฉียด) ว่าแล้วก็ขยำสลากจนยับคามือก่อนจะปาลงพื้นด้วยความไม่สบอารมณ์ เมื่อสลากที่ซื้อกับรางวัลที่ออกนั้นไม่ใกล้เลยแม้แต่น้อย “เป็นจั่งได๋เจ้าพ่อไหย่ำมึง” (ไงล่ะเจ้าพ่อไหย่ำมึง) ฉันหันไปถามอีเตยเพราะมันนี่แหละตัวดีบอกว่าเจ้าพ่อไหย่ำนี้แหละให้หวยมาจนบ้านดอนหมอกเขาถูกกันถ้วนหน้าฉันถึงได้ลงทุนซื้อมาตั้งหลายใบ ด้วยความหวังที่มีนั้นพังทลายลงไปแบบไม่มีชิ้นดี ส่วนคนที่ได้หวยมานั้นก็หมดไม่ใช่น้อยได้ได้แต่นั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก “บ่หมานคัก เซาเด้อ” (ดวงไม่ดีเลย เลิกซะนะ) ว่าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นพรวดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว “มึงสิไปไส” (มึงจะไปไหน) “ซื้อเลขบ่ถืกสิไปหาแก้อยู่ร้านเจ๊วาดก่อน สูนวะ” (ซื้อหวยไม่ถูกจะไปหาดื่มที่ร้านเจ๊วาดสักหน่อย อารมณ์เสีย) เพื่อนสองคนเรียกไว้ก็ไม่เป็นผล อีกอย่างวันนี้ฉันหายออกจากบ้านมาแต่เช้าไม่แน่ว่าป่านนี้ตาสิทธิ์คงจะกำลังคิดบทเทศนาฉันอยู่ก็เป็นได้ 18.18 น. สามแยกทางเข้าหมู่บ้านโพนเสือ “กรี้ด!!!” โครม!!! รถมอเตอร์ไซต์สีชมพูหวานที่ขับมาไม่เร็วมากแต่เสียหลักล้มลงกับถนนลาดยางด้วยความแรงเพียงเพราะมีหมาดำตัวหนึ่งวิ่งมาตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ทำให้คนขับนั้นล้มกองอยู่กับรถความเจ็บเริ่มเข้าแทรกเมื่อผ่านไปชั่วครู่ ความหนักของรถทำเธอไม่สามารถลุกได้เลยในทันที วาสนากูสิมีพอส่ำนี้บ้อ ซื้อเลยกะบ่ถืก ยังมารถล้มอีก โคตรแม่มันหนิ!!! นึกในใจพลางตั้งหน้ายอมรับชะตากรรมนอนนิ่งให้รถทับอยู่แบบนั้น มองท้องฟ้าหม่นที่เริ่มเปลี่ยนสีเมื่อพระอาทิตย์กำลังจะลาลับ โดยไม่สนว่าที่นี่คือกลางถนน “เป็นอะไรไหมครับ” ภาพที่ปรากฏคือชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ผิวขาวใสสะอาดราวกับว่าอาบน้ำวันละสิบรอบเลยก็ว่าได้ กลิ่นน้ำหอมให้ความสดชื่นราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในป่าของพฤกษานาพรรณ “บ่แม่นกูตายแล้วติคือเห็นเทวดา” เปลือกตาสีอ่อนกะพริบปริบๆ และส่ายหน้าเป็นพัลวันเพื่อเรียกสติของตัวเอง กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้ฝันหรือยังไม่ตายก็ตอนที่รถจักรยานยนต์ถูกยกออกจากตัว “ลุกไหวไหม” ไม่ถามเปล่าเขายังเข้ามาพยุงฉันให้ลุกขึ้นพร้อมกับพาเดินมานั่งที่ศาลารอรถริมทาง อาการตกอยู่ในภวังค์แบบนี้ไม่เคยเป็นมาก่อนแต่เมื่อจ้องหน้าของเขานานเข้าก็รู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่ผิวขาวลูกคุณหนูแบบนี้ไม่น่าจะใช่คนบ้านนอกหรอก “จำเราไม่ได้?” ฉันจ้องมองใบหน้าคนถามอย่างไม่ลดละไปไหน คุ้นมากพยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก ได้แต่มองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า คนเรามันจะหล่อได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ “ฮึ! จำไม่ได้จริงๆ สินะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง เค้นหัวเราะออกมาจากลำคอพลางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าจนฉันทำตัวไม่ถูกเลยแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ทิ้งความใคร่รู้ที่มี “นี่...นายรู้จักเราหรือเรารู้จักกัน” “เจ็บตรงไหน” “ไม่เจ็บ...อ๊ะ!!!” ฉันยังตอบไม่จบก็ถูกเขาจับขาขึ้นไปวางไว้ที่หน้าขาตัวเองก่อนจะหยิบเหมือนกล่องอุปกรณ์ทำแผลออกมาจากกระเป๋าเดินทางนั้น หัวเขาถลอกนิดหน่อยแต่เจ็บชะมัดเลย “เบาๆ เจ็บ” “ไหนเมื่อกี้บอกไม่เจ็บ” “ก็ตอนนี้เจ็บแล้ว” “ฮึ~~” ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอหนาก่อนที่เขาจะเริ่มลงมือทำแผลให้อย่างชำนาญ แต่ก็ยังทิ้งปริศนาให้ฉันอยากรู้ต่อไปอยู่แบบนั้น ท่าทางที่ดูจริงจังและใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลานี้ทำให้ไม่อาจจะละสายตาได้เลย น่ารักว่ะไอ้หมอนี่มันลูกเต้าเหล่าใครวะ... “ซี้ด~~~ แสบ” ฟู่ววววว~~~~~~ ลมอุ่นๆ จากปากหยักได้รูปเป่าจรดลงแผลอย่างต้องการบรรเทาความเจ็บ ถ้าไม่ใส่ขาสั้นก็คงไม่เป็นแผลหรอก ขาสวยๆ เลยเกิดแผลจนได้ขออย่าให้เป็นแผลเป็นเลยนะ “เสร็จแล้ว” “อ๋อ อือ ขอบคุณนะ...ว่าแต่จะบอกได้หรือยังว่าเรารู้จักกันจริงๆ เหรอ” ฉันยังไม่ทิ้งความคลางแคลงใจ ยังจับจ้องเครื่องหน้ามีเสน่ห์นั้นอย่างต้องการคำตอบ “ยังซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ” เขาทำเหมือนรู้จักฉันดี ดวงตาคู่สวยประกายแวววับจ้องมองมามันทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่หน้าอย่างที่ไม่เคยเป็น แต่คำที่เขาพูดมามันทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนสนิทช่วงมัธยมปลายคนหนึ่งขึ้นมา เขาคนนั้นชอบว่าฉันซุ่มซ่ามและเป็นคนที่คอยห้ามปรามไม่ให้ฉันไปมีเรื่องชกต่อย แต่อยู่ๆ เขาก็ย้ายโรงเรียนกะทันหันโดยที่เราสองคนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้บอกลา “ไม่ใช่หรอกมั้ง” ความคิดหลุดออกมาเป็นคำพูดทั้งมองคนตรงหน้าพลางคิดย้อนกลับไปถึงเพื่อนในวัยเรียนนี่มันก็เกือบสิบปีเข้าให้แล้ว เขาจะเปลี่ยนไปได้มากถึงขนาดนี้เลยเหรอ แต่มันก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่ “จะคิดอีกนานไหม” ร่างสูงยืนขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับเท้าเอวถามอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาบีบแก้มอย่างถือวิสาสะและคนที่กล้าทำแบบนี้กับฉันก็มีอยู่คนเดียว “ไอ้แทน...อ้ะ!!!” ด้วยความดีใจจนเผลอลุกขึ้นจนลืมว่าขนเจ็บ ทำเอาเสียหลักแทบล้มดีที่ว่าเขายังรับร่างของฉันไว้ได้ก่อนจะปล่อยให้ยืนอิสระ ไม่อยากจะเชื่อสายตาจับตัวมันพลิกไปพลิกมาอย่างสำรวจ กลับมาคราวนี้หล่อขึ้นผิดหูผิดตาแทบจำไม่ได้เลย ต่างจากฉันที่สภาพเหมือนน้ำไม่อาบมาสิบปี “แล้วนี่จะไปไหนทำไมมานอนวัดถนนอยู่ตรงนี้” “จะกลับบ้านแต่หมาตัดหน้า” “ไปส่งที่บ้านหน่อยดิ” ตอบตกลงในทันควันเดิมทีก็จะขับเองนั่นแหละแต่มันยืนยันว่าจะขับฉันเลยต้องนั่งซ้อนท้ายมันแทน เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็เหลือไว้เพียงความมืดมิด ในหมู่บ้านชนบทแบบนี้ชาวบ้านที่กลับจากไร่จากนาก็รีบกินข้าวและเข้านอนกันแต่หัววันกันเป็นปกติ “ขับกลับบ้านเองได้ใช่ไหม” แทนไทเอ่ยถามหลังจากที่รถจอดนิ่งที่หน้าบ้านครูสำราญผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเขา ร่างสูงก้าวลงจากรถยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับมองด้วยแววตาเป็นห่วง จะว่าไปไอ้แทนมันมีความนิ่งและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลยนะแววตายามจับจ้องมาในบางครั้งทำเอาฉันต้องหลบหน้าไปเสียดื้อๆ โดยไม่รู้สาเหตุ “สบาย...เออนี่ อย่าบอกนะว่าเจอกูรถล้ม เดี๋ยวพี่เรด่า” “พูดไม่เพราะ” คนที่กล้าว่าฉันแบบนี้มีคนเดียวเลยนะตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว “เออ...ไม่พูดก็ได้” ตอบออกไปเพียงสั้นๆ ฉันก็รีบบิดรถออกมาเลย ขืนกลับช้ากว่านี้มีหวังถูกพ่อใหญ่สิทธิ์บ่นหูชาแน่ๆ แต่ถึงจะกลับช้ากลับเร็วก็โดนอยู่ดีนั่นแหละ ไม่เชื่อคอยดู...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD