ประกายดาวสบตาท่านด้วยแววตาไหวระริก มีหยาดน้ำเจือออกมาด้วยความตื้นตันใจ ก่อนจะหันไปสบตามารดาที่ยิ้มอ่อนให้อยู่ข้างๆ จึงหันไปยิ้มหวานให้คนตรงหน้า
“หนูดาวกราบขอบพระคุณคุณแม่ที่มีความเมตตาต่อหนูดาวเสมอ”
คุณอัญชันหันไปยิ้มให้คุณลดาพลางบอก
“พี่ล่ะอิจฉาดาจริงๆ มีลูกสาวน่ารักแบบนี้ ส่วนพี่คงบุญน้อย ที่พอจะมีลูกสาวน่ารักสักคน สุดท้ายก็ต้องพลัดพรากเสียอีก”
ท่านเปรียบเปรย ทำให้คนทั้งสองเงียบงันไปอึดใจ ก่อนที่คุณลดาจะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า
“อย่าคิดมากเลยค่ะพี่อัญ ถ้าวันไหนคิดถึง ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ หรือจะให้หนูดาวแวะเวียนไปหาบ้างก็ได้นี่คะ”
ประกายดาวเหลือบตามองมารดาของตนเองแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร พลางนึกในใจว่าแม่ของหล่อนคิดอะไรอยู่ จะให้ไปบ้านนั้นอีก เกิดไปเจอคนร้ายกาจคนนั้นขึ้นมาจะทำอย่างไร เขาจ้องจะเล่นงานอยู่ด้วย
แม้ในใจจะคิดหวาดหวั่น แต่ใบหน้าอ่อนหวานยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่เสมอ
“จริงหรือ หนูดาวจะไม่รังเกียจหรอกหรือ” คุณอัญชันเอ่ยถามอย่างมีความหวัง ทำให้ประกายดาวจำต้องตอบออกไปแม้จะรู้สึกอึดอัดใจ
“หนูดาวไปหาคุณแม่ได้ค่ะ แต่คงไปบ่อยๆ ไม่ได้เท่านั้น เพราะตอนนี้หนูดาวทำงานเต็มตัวแล้วค่ะ”
คุณอัญชันพยักหน้ารับรู้
“จริงสิ เห็นแม่ของหนูบอกว่าไปทำงานกับคุณพ่อได้สักพักแล้ว เป็นยังไงบ้าง สนุกไหม”
“สนุกค่ะ หนูดาวชอบทำงาน” หญิงสาวตอบ ดวงตาเป็นประกายสดใส บอกชัดว่าเจ้าหล่อนกำลังสนุกกับงานจริงๆ
“เห็นหนูดาวมีความสุขแบบนี้แม่ก็ดีใจ” ท่านเปรยออกมาเบาๆ ทำให้สองแม่ลูกเพียงแค่ยิ้มตอบ
“พี่อัญอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะคะ ดาให้แม่ครัวเตรียมอาหารเย็นเอาไว้แล้ว มีของชอบของพี่อัญด้วย”
คุณอัญชันเลิกคิ้ว มองเพื่อนรุ่นน้องอย่างเกรงใจ
“โธ่ดา พี่เกรงใจแย่”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ” คุณลดาส่ายหน้ายิ้ม “นานๆ ได้กินข้าวด้วยกันที น่าสนุกออก”
“ใช่ค่ะ อยู่รับประทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ”
เมื่อประกายดาวเอ่ยชวนด้วยดวงหน้าสดใส คุณอัญชันจึงยอมอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยความยินดี แล้วกลับถึงบ้านเวลาเกือบสามทุ่ม เมื่อกลับมาถึงท่านต้องแปลกใจเมื่อได้พบกับลูกชายตัวโตนั่งรอท่านอยู่ในห้องนั่งเล่น
“อาร์ม”
คนถูกเรียกเงยหน้ามอง พลางยิ้มให้ท่าน
“มาถึงนานหรือยัง ทำไมไม่บอกว่าจะมาล่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มตอบ พลางเดินไปหามารดาที่มีสาวใช้ส่วนตัวคอยดันรถเข็นให้ ก่อนจะเป็นคนดันรถท่านตรงไปยังโซฟาแทน
“มาถึงตั้งแต่หกโมงเย็น คิดว่าจะมากินข้าวเย็นด้วย แต่เด็กบอกว่าแม่ออกไปเจอเพื่อนข้างนอก”
คุณอัญชันยิ้มตอบ พลางลุกขึ้นจากรถเข็นออกมานั่งลงบนโซฟาโดยมีบุตรชายคอยพยุงและนั่งลงข้างๆ ท่าน นานมาแล้วที่อารัญไม่ได้อยู่ดูแลเช่นเวลานี้ เมื่อเขามาท่านก็ดีใจ
“แม่แวะไปเยี่ยมหนูดาวมา”
คำตอบของท่านทำให้คนถามชะงักลงเล็กน้อย แต่แววตายังจ้องมองท่านไม่กะพริบ คุณอัญชันยิ้มน้อยๆ ก่อนบอก
“หนูดาวกับดาเลยชวนแม่กินข้าวเย็นด้วยกัน ได้คุยกันเยอะแยะ เพราะแบบนี้แม่ก็เลยกลับบ้านช้า ว่าแต่อาร์มเถอะ ได้กินอะไรแล้วหรือยัง” ท่านถามลูกอย่างเป็นห่วง
“เรียบร้อยแล้วครับ” เขาตอบแค่นั้นก็เงียบไปอีก มองท่านอย่างค้นคว้า และคนเป็นมารดาก็พอจะรู้ทันว่าลูกชายคิดเช่นไร
“มองแม่แบบนี้ กำลังคิดอะไรอยู่”
ชายหนุ่มกะพริบตา ก่อนจะเอนหลังพิงพนักอิงหลัง แล้วส่ายหน้ายิ้ม
“ก็ แปลกใจที่แม่ไปบ้านโน้น” เขาพูดออกมาอย่างใจคิด
คนเป็นแม่เงียบไปอึดใจก่อนบอก
“แม่คิดถึงหนูดาว ก็เลยแวะไปเยี่ยม แล้วก็เหงา เลยไปหาเพื่อนคุย ได้เจอกับดาก็เลยคุยกันยาว จนหนูดาวกลับมาถึงบ้าน อาร์มรู้ไหม น้องทำงานเต็มตัวแล้วนะ ไปทำกับพ่อของเขานั่นแหละ”
บอกพลางลอบสังเกตสีหน้าบุตรชาย แต่อารัญหลุบตาลงทำให้มารดาไม่เห็นแววตา จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเช่นไร
“แม่ชวนหนูดาวแวะมาหาแม่ที่บ้านเป็นครั้งคราว” คุณอัญชันกล่าวเรียบๆ พลางจับตามองลูกชาย เช่นเดียวกับที่ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองมารดา “อาร์มคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม หากน้องจะมาหาแม่บ้าง”
คนเป็นลูกขมวดคิ้ว ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ทำไมจะต้องว่าล่ะครับ ที่นี่เป็นบ้านของแม่ จะให้ใครเข้าออกก็ได้ทั้งนั้น อีกอย่างผมเองก็ไม่ค่อยได้อยู่อยู่แล้ว”
คนเป็นแม่ยิ้มกริ่มพลางบอก
“แต่แม่อยากให้อาร์มกลับมาอยู่บ้านกับแม่”
คนเป็นลูกเงียบงันไป จนมารดากล่าวออกมา
“ทำไมถึงไม่อยากกลับมาอยู่กับแม่”
เขาสบตาท่าน พลางถอนหายใจยาว
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”
“แล้วแบบไหนกัน” ลูกชายนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง คนเป็นแม่จึงพูดออกมา “ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม่ก็เข้าใจว่าเพราะมีหนูดาวอยู่ด้วย แกจึงเล่นแง่กับแม่ หายหัวไปไม่ยอมกลับ แม่จะเสียใจแค่ไหนก็ไม่สน แต่ตอนนี้ไม่มีหนูดาวอีกแล้ว แกยังจะใจดำกับแม่ได้ลงคออีกเหรอ หรือจะต้องรอให้แม่ตายไปเสียก่อน อาร์มถึงจะยอมกลับมาอยู่บ้านเรา”
“แม่ครับ” เขากล่าวเสียงแผ่ว รู้สึกผิดต่อท่าน
“เอาเถอะ ไม่อยากอยู่แม่ก็จะไม่แค่น” ท่านบอก พลางหันไปมองหาสาวใช้คนสนิท “รำไพ มาพาฉันกลับขึ้นห้อง”
รำไพเดินเข้ามาทันทีที่คุณผู้หญิงของตนเรียกหา นางมองหน้าเจ้านายหนุ่มพลางยิ้มให้แวบหนึ่ง ก่อนจะพยุงนายจ้างขึ้นนั่งรถเข็น โดยมีร่างสูงของอารัญขยับเตรียมช่วย แต่ต้องชะงัก
“ไม่ต้องหรอก อาร์มจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ แต่ก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์อยู่รอแม่”
พูดจบ ท่านก็พยักหน้าบอกให้คนสนิทพาตรงไปยังลิฟต์ส่วนตัว จากนั้นสองนายบ่าวก็หายลับไปจากสายตาของคนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ หลายอึดใจเขาจึงส่ายหน้าเบาๆ ทำท่าจะก้าวกลับขึ้นห้องแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
คุณอัญชันมองรถหรูของบุตรชายขับออกจากบ้านผ่านหน้าต่างห้องนอน พลันหัวตาของท่านก็ร้อนผ่าว แล้วหันกลับไปมองรูปคู่ระหว่างตนกับสามีผู้ล่วงลับ รอยยิ้มแสยะผุดขึ้นยังมุมปาก
“ทุกอย่างมันเป็นเพราะคุณนะรู้ไหม ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ตาอาร์มคงไม่ออกไปอยู่ที่อื่น”
ดังอุปาทาน รอยยิ้มน้อยๆ ของชายวัยกลางคนภายในรูปที่แขวนบนผนังดูหมองเศร้าลงเมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ตนเคยกระทำต่อภรรยาและบุตรชาย
อารัญออกจากบ้านไปเพราะความไม่ศรัทธาในคำว่าครอบครัว ยิ่งความรักเขายิ่งไม่คิดว่ามีอยู่จริง
จากเด็กหนุ่มอารมณ์ดี จึงกลายเป็นผู้ชายไร้หัวใจ