๒
บางสิ่งที่ทิ้งไว้
หลังจากพูดคุยกับอารัญเรียบร้อย ในวันถัดมาประกายดาวจึงนัดเจอกับภารดาเพื่อนสมัยเด็กที่ยังคงคบหากันมาอย่างยาวนาน แม้อีกฝ่ายจะต้องเดินทางข้ามประเทศอยู่บ่อยครั้ง พบเจอผู้คนใหม่ๆ และหล่อนเองก็เก็บตัวอยู่กับครอบครัวของอารัญแทบไม่ได้ปรากฏกายที่ไหน แต่อีกฝ่ายไม่เคยลืมเพื่อนคนนี้ ยังติดต่อถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ
“หนูดาว” ภารดาโบกมือทักทายเพื่อนที่เดินเข้ามาภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“พราว” ประกายดาวยิ้มกว้างเมื่อได้พบเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานานพอควร “คิดถึงจัง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
สองสาวกอดกันอยู่หลายอึดใจก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ภารดากวาดตามองเพื่อนรักด้วยสายตาพินิจพิจารณาก่อนเอ่ย
“หนูดาวผอมลงกว่าเมื่อก่อนหรือเปล่า” ภารดามองเพื่อนรักอย่างละเอียดเมื่อคนตัวบางที่ดูเหมือนจะบางลงกว่าเดิมนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“นิดหน่อยน่ะ แต่พราวสวยขึ้นเยอะเลย ดูมีน้ำมีนวลนะจ๊ะ ดูมีความสุขมากด้วย”
คนถูกชมยิ้มจนแก้มพอง ทำให้ประกายดาวยิ้มขันเพราะอย่างที่รู้กันว่าภารดากำลังคบหาดูใจหนุ่มชาวต่างชาติได้สักสองสามเดือนแล้ว
“ก็นิดหนึ่งอะ” ภารดายอมรับอย่างหน้าชื่น ก่อนจะลดรอยยิ้มลงเมื่อคิดได้ว่าในขณะที่ตนมีความสุขอยู่นั้น แต่เพื่อนกำลังจะหย่าร้างในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ “หนูดาวล่ะ เป็นยังไงบ้าง กับเขาหนูดาวโอเคไหม”
คำว่ากับ ‘เขา’ ทำให้ประกายดาวยิ้มตอบ เข้าใจได้ในทันทีว่าเพื่อนหมายถึงใคร ซึ่งหล่อนเองไม่ได้เศร้าอะไรขนาดนั้น แค่รู้สึกเซ็งอยู่บ้างเล็กน้อยแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งอกที่กำลังจะได้เป็นอิสระจากคนที่ไม่เคยสนใจไยดีตัวหล่อนเลยสักนิดเดียว
“สบายหายห่วง อย่ากังวลเรื่องหนูดาวเลย วันนี้เรามาคุยเรื่องงานของพราวกันดีกว่า” ประกายดาวบอก อีกฝ่ายเห็นท่าทางไร้กังวลของเพื่อนรักจึงเชื่อได้ว่าประกายดาวไม่ได้โกหกตน แม้ลึกๆ หล่อนจะรู้ว่าเพื่อนคงเสียใจอยู่บ้างที่อะไรๆ ไม่เป็นไปอย่างที่หวังไว้
“งั้นดีเลย แต่ว่ารอพี่ชายเราสักสิบนาทีได้ไหม”
คราวนี้ประกายดาวเลิกคิ้วขึ้นมองเพื่อนอย่างแปลกใจ
“พี่ชายเหรอ คนไหนล่ะ”
ภารดายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนบอก
“หนูดาวจำพี่เชนได้ไหม”
ประกายดาวคิดถึงบรรดาพี่ชายของเพื่อนรักที่เคยรู้จัก แล้วใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งก็ลอยเข้ามาในความคิด
“พี่เชนคือพี่ชนาธิปใช่ไหม”
ภารดายิ้มกว้างที่เพื่อนรักยังจำลูกพี่ลูกน้องสุดหล่อของตนได้
“ใช่แล้ว คนนี้แหละ”
“ไหนว่ายังไม่กลับมาไง” ประกายดาวเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะภารดาเคยเล่าให้ฟังว่าญาติคนนี้ไม่อยากกลับเมืองไทยสักเท่าไร
“คุณป้าป่วย พี่เชนก็เลยตัดสินใจกลับ”
“เอ๊ะ คุณป้าเป็นอะไรเหรอ”
“เป็นโรคหัวใจน่ะสิ ก่อนที่พี่เชนจะกลับบ้านคุณป้าฟุบไปเกือบไม่รอด ดีที่มีคนอยู่บ้าน พอพี่เชนรู้เรื่องเลยตัดสินใจกลับเมืองไทย”
ประกายดาวทำเสียงรับรู้เบาๆ คิดถึงตอนที่ยังเป็นนักศึกษา หล่อนเคยเจอเขาไม่กี่ครั้ง ชนาธิปเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมากคนหนึ่ง รูปหล่อ หล่อนไม่ค่อยกล้าคุยกับเขามากนักเพราะมีสาวๆ ตามกรี๊ดมากมายทีเดียว จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเพราะเขาเดินทางไปเรียนต่างประเทศ หล่อนเองพอเรียนจบก็แต่งงานกับอารัญ
“ก่อนหนูดาวมาถึง พี่เชนโทร.มาหาพราว ชวนไปกินข้าวด้วยกัน แต่พราวนัดหนูดาวเอาไว้แล้ว ก็เลยถือโอกาสนัดพี่เชนมาเจอกันที่นี่ด้วย ดาวจะว่าอะไรไหม”
ประกายดาวค้อนเพื่อนเบาๆ ก่อนจะบอก
“รับนัดพี่เชนแล้วเพิ่งมาบอกหนูดาวแบบนี้ก็ได้เหรอ” ประกายดาวแซวเพื่อนที่ทำหน้าขอโทษขอโพย แต่ใจจริงนั้นมีแผน “แต่ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ไม่รู้ตอนนี้พี่เชนจะเป็นยังไงบ้าง”
หญิงสาวกล่าวยิ้มๆ ฝ่ายเพื่อนรักยิ้มกว้างยิ่งกว่า รีบจีบปากจีบคอบอกทันที
“หล่อกว่าเมื่อก่อนมาก” ภารดาลากเสียงยาว “สาวๆ ตามเป็นพรวนเหมือนเดิม แต่พี่เชนก็ยังไม่คบใครนะ สงสัยจะรอเจอคนแถวนี้ก่อน”
“พอเลย” ประกายดาวค้อนคมพร้อมยิ้มขบขัน แค่สบตาก็รู้ทันว่าเพื่อนคิดจะทำอะไร
“อุ๊ย พี่เชนมาโน่นแล้ว” ภารดาร้องบอกด้วยอาการตื่นเต้น จนประกายดาวต้องส่ายหน้า แต่เมื่อร่างสูงของชนาธิปเดินมาถึง สองหนุ่มสาวที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วต่างมีอาการชะงักเมื่อได้สบตากัน โดยเฉพาะชายหนุ่มที่มองหญิงสาวด้วยอาการคล้ายตะลึงเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอหล่อนที่นี่
“สวัสดีค่ะพี่เชน จำหนูดาวได้ไหมคะ” ประกายดาวเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองกับชายหนุ่มเพื่อทำลายความเงียบ ภารดาเองก็พยายามกลั้นขำกับอาการของพี่ชายอย่างหนัก กระทั่งฝ่ายนั้นรู้สึกตัวว่ากำลังมองประกายดาวอย่างเสียมารยาทจึงเอ่ยขอโทษเบาๆ พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ระหว่างสองเพื่อนรัก
“เกือบจำไม่ได้เหมือนกัน พี่ไม่คิดว่าจะได้เจอหนูดาวที่นี่”
ประกายดาวยิ้มอ่อน ขณะที่ชายหนุ่มยังมองหญิงสาวไม่วางตา
“หนูดาวทำให้พี่เชนอึดอัดหรือเปล่า”
คำถามของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า
“ไม่เลยครับ ขอโทษที่ทำให้หนูดาวคิดแบบนั้น พี่แค่แปลกใจ แต่ก็...ดีใจมากนะครับที่ได้พบกับหนูดาวอีกครั้ง”
รอยยิ้มและสายตาของชนาธิปทำให้นวลแก้มของประกายดาวขึ้นสีเล็กน้อย นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครมองหล่อนด้วยสายตาชื่นชมแบบนี้ คงเท่ากับเวลาห้าปีที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ภายในบ้านรัตนหิรัญ
แต่เวลาเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ทั้งสามกำลังรับประทานอาหาร ใครบางคนที่นั่งอยู่ในร้านก่อนหน้านั้นกำลังจับตามองหญิงสาวที่มีใบหน้าอ่อนหวานและรอยยิ้มจับใจใครต่อใคร เขารู้ว่าหล่อนต้องเติบโตขึ้นเป็นสาวงามพอตัว แต่ไม่คิดว่าจะเฉิดฉายและเจิดจรัสราวกุหลาบที่แย้มกลีบเบ่งบานล่อภมรบินเข้ามายล นี่ขนาดมีทะเบียนตีตรายังขนาดนี้ ถ้าหย่าแล้วประกายดาวคงไม่รอช้าที่จะถลาเข้าไปซบอกแน่นๆ ของไอ้หมอนั่นเลยกระมัง...
ถึงวันที่นัดหมายกับอารัญ ประกายดาวตื่นขึ้นมาแต่งตัวแต่เช้า แม้จะบอกตนเองว่าการพบกันในครั้งนี้ไม่มีความหมายอะไร แต่ลึกๆ กลับรู้สึกไม่มั่นคงเอาเสียเลย
“หนูแน่ใจนะลูกว่าจะไปพบกับเขาตามลำพัง ให้แม่ไปเป็นเพื่อนดีกว่าไหม” คุณลดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงลูกสาว แต่คนที่เตรียมพร้อมแล้วหันมายิ้มให้กับมารดาอย่างมั่นใจ
“แม่ไม่ต้องห่วงหนูดาวหรอกนะคะ เขาไม่ทำอะไรหรอก พูดให้ถูกคือเขาไม่สนใจหนูดาวด้วยซ้ำไป ที่ต้องนัดเจอก็เพราะมีเรื่องต้องตกลงกันอีกนิดหน่อยก่อนหย่า”
มารดายืนมองลูกสาวที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยสายตาอ่อนโยน ประกายดาวสวยน่ารักขนาดนี้แต่อารัญกลับไม่เห็นคุณค่า แค่นั้นไม่พอยังเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าจนลูกสาวของท่านถูกนินทาไม่เว้นวัน ดีที่ประกายดาวไม่ใช่คนที่จะสนใจใครนักและแทบไม่ได้ออกไปเจอหน้าใครหรือแม้แต่ออกงานก็น้อยมาก เพราะต่างคนต่างอยู่กับอารัญ แต่ละวันอยู่แต่กับมารดาของชายหนุ่ม จึงไม่มีผลกระทบสักเท่าไร
“ถ้าอย่างนั้นให้คนขับรถพาไปก็แล้วกัน หนูไม่ต้องขับไปเอง”
คุณลดายังคงเป็นห่วงบุตรสาว แต่เมื่อประกายดาวยืนยันหนักแน่นว่าต้องการไปคนเดียว ท่านจึงยอมตามใจ ประมาณสี่สิบนาทีให้หลังหญิงสาวจึงมาถึงยังสถานที่นัดหมาย
ร่างบางแหงนหน้ามองขึ้นไปบนอาคารสูงชื่อดัง ก่อนจะหันไปยังคนขับรถที่เตรียมติดตามหล่อนไปด้วยตามคำสั่งของคุณลดา
“น้าทีปรอหนูดาวอยู่ที่นี่นะคะ”
“เอ่อ แต่ว่าคุณลดาบอกให้ผมคอยดูแลคุณหนูดาวนะครับ” ประทีปกล่าว แต่นายจ้างสาวกลับยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูดาวไปเองได้” พูดจบหญิงสาวก็ก้าวตรงไปยังประตูทางเข้า ประทีปทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนส่งคุณหนูของตน ก่อนจะเคลื่อนรถยนต์ออกจากบริเวณนั้น
ประกายดาวเข้ามาถึงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แจ้งความจำนงของตนเองกับพนักงานสาวสวยทันที
“ฉันชื่อประกายดาว มาพบคุณอารัญ รัตนหิรัญค่ะ”
สาวสวยยิ้มหวานพร้อมกับตอบ
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานคนเดิมกดโทรศัพท์ ครู่เดียวจึงกรอกเสียงลงไป “คุณอารัญคะ คุณประกายดาวมาถึงแล้วค่ะ”
ประกายดาวมองสาวสวยตรงหน้า ไม่นานฝ่ายนั้นจึงรับคำคนที่อยู่ปลายสายก่อนวางโทรศัพท์ลงบนแป้น
“คุณอารัญบอกให้พาคุณขึ้นไปได้เลย เชิญทางนี้ค่ะ”
ประกายดาวมองตามสาวสวยร่างสูงโปร่งแล้วเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ ตรงไปยังลิฟต์ตัวหนึ่ง จากนั้นเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน ลิฟต์ตัวหรูพาสองสาวเคลื่อนขึ้นไปยังชั้นบนด้วยความเร็วสูงแต่นุ่มนวล กระทั่งลิฟต์ตัวนั้นหยุดอยู่กับที่พร้อมประตูเปิดออก พนักงานสาวสวยจึงก้าวนำออกไปก่อนหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งแล้วกดกริ่ง