ตั้งแต่วันที่ฉันก้าวเท้าเข้าสู่วังน้ำแข็งอีกครั้ง —
ชีวิตก็เปลี่ยนไปจาก ‘ผู้ส่งอาหาร’ เป็น ‘ผู้ช่วยส่วนตัวขององค์ชายมังกร’ อย่างเต็มรูปแบบ...โดยที่ฉันไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
และจุดเริ่มต้นของภารกิจใหม่นี้...ก็คือสถานที่ตรงหน้า
ห้องสมุดน้ำแข็งโบราณ
ประตูบานสูงเบื้องหน้า สูงไม่ต่ำกว่าสิบเมตร พื้นผิวโปร่งแสงสีฟ้าอ่อน คล้ายแผ่นน้ำแข็งชั้นลึกที่สุดในธารน้ำแข็งโบราณ รอบขอบประตูมีเส้นเวทหมุนวน ราวกับลมหิมะที่กำลังเต้นระบำช้า ๆ ไม่มีวันจบ
เพียงแค่ยืนใกล้...
ฉันก็รู้สึกถึงพลังเวทเก่าแก่บางอย่างไหลซึมเข้ามาในกระดูก ทั้งขลัง ทั้งหนาว และทั้งน่าหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
หลงอวิ๋นยกมือขึ้น ปลายนิ้วของเขาวาดเวทกลางอากาศด้วยท่วงท่าเรียบง่าย แสงเวทสีฟ้าสว่างจาง ๆ ส่องวาบจากปลายนิ้ว แล้วแทรกตัวเข้าสู่เส้นเวทบนประตูอย่างแม่นยำ
คลิ๊ก...
เสียงเปิดประตูนั้นเย็นเฉียบ ราวกับเสียงน้ำแข็งพันปีร้าวเบา ๆ
เมื่อประตูเปิดออก ฉันก็ได้เห็น...
โลกอีกใบ
ห้องสมุดแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ ‘ชั้นหนังสือ’ เรียงบนผนัง แต่มันคือห้องโถงสูงมหาศาลที่ดูไม่มีจุดสิ้นสุด
แถวของแท่นหนังสือลอยอยู่กลางอากาศ แต่ละแถวมีเส้นเวทพยุงไว้ให้ค่อย ๆ หมุนวนเบา ๆ เหมือนดาวเคราะห์โคจรรอบดวงจันทร์
แสงเงินสะท้อนจากผลึกน้ำแข็งบนเพดาน กลายเป็นม่านแสงวับวาวราวกับหมู่ดาว ทุกอย่างดูงดงาม ราวกับเดินอยู่ใน ‘จักรวาลแห่งความรู้’ และฉัน...เป็นแค่คนส่งอาหารจากโลกธรรมดา ที่เผลอหลงเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“โอ๊ย...” ฉันโอดครวญเบา ๆ
“ตำราเยอะขนาดนี้...คุณจะให้ฉันเรียงทั้งหมดคนเดียวเหรอคะ?”
“เฉพาะส่วนนี้”
หลงอวิ๋นตอบเรียบ ๆ ขณะชี้นิ้วไปยังแถวในสุด — ซึ่งแน่นอนว่าแน่นขนัดไปด้วยหนังสือกองพะเนินระเกะระกะ แทบจะเป็นหอคอยพังถล่มอยู่แล้ว
“แค่โซนนั้นเอง?”
ฉันยิ้มค้างในแบบคนรับรู้ว่าตัวเองโดนหลอกกลางแสงจันทร์
“โอเคค่ะ...แค่จัดหนังสือเองนี่เนอะ จะยากอะไร—”
ฉันหยิบหนังสือเล่มแรกขึ้นมา เปิดหน้าแรกอย่างมั่นใจ...แล้วก็ชะงักค้างทันที
หน้าหนังสือเต็มไปด้วยตัวอักษรที่ดูเหมือนลายเส้นพริ้วไหว แต่ละตัวเหมือนจะลอยอยู่เล็ก ๆ บนหน้าเนื้อกระดาษ บางตัวมีประกายคล้ายแสงเรืองจันทร์ บางตัวเปลี่ยนรูปร่างตามมุมที่มอง...ภาษานี้ไม่ใช่แค่โบราณ
มันคือภาษาที่ไม่ควรมีอยู่ในความเข้าใจของมนุษย์เลยต่างหาก!
“…นี่มันตัวอะไรเนี่ย?” ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“ภาษามังกรชั้นสูง”
เสียงหลงอวิ๋นดังขึ้นจากด้านหลังอย่างสงบ
แต่ฉันสาบานได้ว่า...มุมปากของเขาขยับขึ้นนิด ๆ เหมือนกำลังกลั้นขำ
ฉันหันขวับมามองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
เขายังคงรักษาสีหน้านิ่งสงบได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ดวงตาสีฟ้านั่นมีประกายวิบวับเล็ก ๆ เหมือนเขา...ตั้งใจดูปฏิกิริยาของฉันอยู่ตั้งแต่แรก
“อ๋อค่ะ ภาษามังกรชั้นสูง...” ฉันพ่นลมหายใจแรง ๆ
“คือปกติฉันแปล แค่ดวงดาวนะคะ ไม่ได้เรียนสาขาอ่านใจมังกรพันปี!”
“อืม...” เขาครางรับเบา ๆ น้ำเสียงราวกับกำลังจดบันทึกอะไรบางอย่างไว้ในใจเงียบ ๆ
ฉันนั่งลงกะทันหันบนหมอนข้างแท่นหนังสือ ถอดใจในชั่วพริบตา ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาใกล้
เมื่อฉันเงยหน้าขึ้น เขายกมือขึ้นแตะหน้าผากฉันเบา ๆ —
สัมผัสเย็นนุ่มคล้ายปลายนิ้วที่จุ่มในหิมะ แต่ไม่ได้หนาว…กลับรู้สึกอบอุ่นแบบประหลาด ราวกับเป็นพลังงานที่ค่อย ๆ ไหลเข้าสู่ภายใน
ริมฝีปากของเขาขยับช้า ๆ พึมพำเสียงเวทบางอย่างที่ฉันฟังไม่ออก
แสงสีฟ้าอ่อน พริ้วออกจากปลายนิ้ว ไหลซ่านลงมาตามหน้าผาก วูบหนึ่ง — สมองของฉันรู้สึกแปล๊บเบา ๆ เหมือนสัญญาณถูกเชื่อมเข้ากับระบบบางอย่างในโลกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
แล้วทันใดนั้น…ฉันก็เข้าใจตัวอักษรบนหนังสือที่อยู่บนมือทันที
มันเหมือนกำลังอ่านภาษาแม่ ราวกับตัวหนังสือกำลังพูดกับฉันเองอย่างนุ่มนวล
ฉันตะลึงงัน เงยหน้าขึ้นมองเขาทันที
“คุณ…แฮกสมองฉันเหรอคะ?”
เขาเลิกคิ้วนิดเดียว แล้วตอบเสียงเรียบเฉยเหมือนเดิม
“ข้าช่วยเจ้าต่างหาก”
แปลตรง ๆ ได้ว่า: ข้าแอบทำให้เข้าใจง่ายขึ้น เพราะไม่อยากให้ข้าต้องเสียเวลาและปวดหัวเวลาสอนเจ้า
ฉันย่นจมูกน้อย ๆ แต่ก็ยอมรับอย่างเสียไม่ได้ว่า…แบบนี้ก็สบายขึ้นเยอะ
เมื่อเริ่มอ่านออก ฉันก็วางใจมากขึ้น ลองหยิบหนังสืออีกเล่มมาเปิด แล้วก็ต้องอ้าปากค้างทันที
หนังสือเปิดเอง!
มันแผ่หน้ากระดาษออกอย่างนุ่มนวล เหมือนสายลมเบา ๆ ที่ปลุกให้มันตื่นจากการหลับไหล ฉันเฝ้ามองอย่างตื่นตะลึง…ก่อนจะหันขวับไปมองหลงอวิ๋นที่ยังยืนสงบอยู่ข้าง ๆ
เขายกมือขึ้นอีกครั้ง แค่หมุนปลายนิ้วเบา ๆ อากาศรอบแท่นหนังสือก็สั่นไหว แรงเวทจากเขาปล่อยออกเป็นคลื่นนุ่มนวล ทำให้หนังสือทุกเล่ม…
เปิดหน้าตามใจสั่ง
ฉันอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบยกมือเลียนแบบทันที
หมุน ๆ ... วาด ๆ ... ลาก ๆ
แบบที่เขาทำเมื่อครู่เป๊ะ!
...
ผลลัพธ์?
หนังสือในมือฉันไม่ขยับแม้แต่นิด เงียบ...นิ่ง...เหมือนมันกำลังแอบขำในใจ
ฉันโบกมืออีกรอบ — แรงกว่าเดิม!
ผลลัพธ์รอบสอง?
ปึ่ก!
กระดาษดีดกลับมาฟาดหน้าเต็มแรง!
“โอ๊ยยยยย!” ฉันร้องลั่น ใบหน้าบูดเบี้ยว ทั้งตกใจ ทั้งเจ็บ ทั้งเสียฟอร์ม กำลังจะบ่นลั่นห้อง...
แต่แล้ว...
ฉันได้ยินเสียงบางอย่างจากข้างตัว เสียงหัวเราะเบา ๆ …ในลำคอ
ฉันหันขวับทันที
หลงอวิ๋น — ยังคงยืนสงบ
แต่ที่มุมปากของเขา…มีรอยยิ้มที่ เล็กที่สุดในโลก เล็กมาก... แต่ก็ยัง ‘มองเห็นได้’
“…คุณหัวเราะใช่ไหม”
“เปล่า” เขาตอบทันที น้ำเสียงเรียบสนิท
“…แต่คุณยิ้มอะ!”
“ก็…เจ้าทำท่าเหมือนกำลังกวักปลาทะเล”
เขาพูดเสียงราบเรียบ เหมือนเพิ่งอธิบายว่าพรมในห้องมีลายหิมะ ฉันนิ่งไปครึ่งวินาที แล้วระเบิดเสียงออกมา
“นี่แกล้งขำ หรือแอบน่ารักคะเนี่ย!”
เขาไม่ได้ตอบ
แต่เพียงเบือนสายตาออกไปทางตำราที่ลอยอยู่กลางอากาศ ทว่าปลายนิ้วกลับขยับน้อย ๆ แล้วหนังสือที่อยู่ในมือฉัน…ก็ค่อย ๆ เปิดออกเองอย่างนุ่มนวล
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ มองหนังสืออีกที แล้วเหลือบไปมองเขาอีกครั้ง
“...คุณช่วยฉันอีกแล้วใช่ไหม”
เขายังไม่ตอบ แต่แค่เพียงมุมปากที่ยกขึ้นอีกนิด...ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ในห้องสมุดน้ำแข็งนี้ อบอุ่นขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมา
ตั้งแต่ฉันได้รับงานช่วยจัดตำราในห้องสมุดน้ำแข็งโบราณ ชีวิตก็กลายเป็นบทใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว ช่วงกลางวันฉันจะนั่งจดข้อความ แปลเวท หรือฟังเสียงหลงอวิ๋นอ่านตำราด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแบบที่ไม่น่าเพลิน…แต่กลับเพลินแปลก ๆ
และในวันหนึ่ง...
ขณะที่ฉันกำลังจัดตำราโบราณบนแท่นลอยอยู่เงียบ ๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งที่ดู...เก่ากว่าทุกเล่ม หน้าปกเป็นหนังแกร่งสลักลายน้ำแข็ง ล้อมด้วยอักษรรูนลับ
ฉันเปิดมันอย่างระวัง
หน้ากระดาษสีน้ำค้างเผยให้เห็น...ประวัติและรายละเอียดของพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ภายในองพระราชวังจันทราหิมะ!
ฉันรีบคว้าสมุดกับดินสอมาจด แล้ววาดแบบร่างขึ้นทันที เส้นสายที่เรียงกันราวเขาวงกต เรียบลึกแต่สง่างาม...สวยจนอดวาดต่อไม่ได้
“หอจันทรา…ห้องโถงเกล็ดน้ำแข็ง…โอ้ นี่คือ ลานสาบานใต้ดาวเหรอ?”
แต่พอฉันวาดไปถึง “เขตลับเฉพาะ” มือของฉันก็ชะงักนิดหน่อย — แต่สุดท้ายก็วาดมันลงไป
ห้องลับกลางสวนหิมะที่ตกแต่งด้วยพรม กลิ่นไวโอเล็ต และแสงไฟอุ่น…
เพราะฉันจำมันได้แม่นยำเกินไป
“เจ้าวาดอะไรน่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง
ฉันเงยหน้าขึ้น หยิบแผ่นกระดาษให้เขาดู
“ฉันอ่านเจอในหนังสือเล่มนี้ค่ะ…เลยลองวาดไว้ ดูน่าสนใจดี—”
แต่ยังไม่ทันอธิบายจบ ใบหน้าของหลงอวิ๋นที่ปกติสงบเสมอ กลับนิ่งสนิทกว่าเดิม
เย็นลง...แต่ไม่ใช่แบบน่ากลัว
...มันเหมือน ‘ตื่นตระหนกแบบเงียบ ๆ’
“ห้องนี้...”
เขาชี้ไปยัง ห้องลับกลางสวนหิมะ ที่ฉันวาดไว้
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ
“ก็...ในหนังสือตรงนั้นอธิบายไว้แบบนั้นนี่คะ—”
เขาไม่พูดอะไรต่อ เพียงเอื้อมมือหยิบหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนั้นขึ้น...แล้วปิดมันด้วยเวทอย่างเงียบ ๆ
เปลือกหนังบนหน้าปกเปล่งแสงเบา ๆ — ก่อนจะถูกผนึกแน่น
“...ไม่ควรวาดมันออกมาง่าย ๆ”
เขาเอ่ยเสียงต่ำเบา ไม่ดุ...แต่ชัดเจนว่า “จริงจัง”
ฉันเม้มปากนิดหน่อย จะอธิบายอะไรเพิ่มก็ไม่กล้า แต่ก่อนจะได้คิดต่อ...
โครก~
เสียงท้องของฉัน...ร้องออกมาอย่างไม่ให้เกียรติสถานการณ์สุด ๆ
“...”
ฉันกลั้นหายใจ
หลงอวิ๋นชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะขมวดคิ้วเบา ๆ
ไม่ได้รำคาญ...แค่ดูเหมือนจะ “ประมวลผล” จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างจริงจังเกินจำเป็น
“ข้าลืมไป...พวกมนุษย์ต้องการอาหารบ่อยกว่าพวกเรา”
“…อย่าเรียกแบบนั้นสิคะ ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ”
แต่เขาไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียง เขาทำเพียงหมุนตัวแล้วกล่าวเรียบ ๆ
“ตามข้ามา”
เขาพาฉันเดินลัดเลาะออกจากห้องสมุด ทางเดินผลึกน้ำแข็งใสวาวสะท้อนแสงหิมะกระทบใบหน้าเขาเป็นระยะ เราสองคนเดินผ่านโถงเวท ผ่านหอสูง ผ่านระเบียงใต้แสงจันทร์
จนกระทั่งมาหยุดตรง...ห้องโถงเกล็ดน้ำแข็ง ห้องโถงกว้างขนาดมหาศาล ตกแต่งด้วยแท่นคริสตัลใสราวกับน้ำแข็งบริสุทธิ์ โคมไฟผลึกห้อยระย้าเหนือโต๊ะอาหารยาวเรียบหรู
จานอาหารเริ่มปรากฏขึ้นทีละจาน ร้อน อุ่น หอม…เป็นอาหารแบบมนุษย์ครบทุกหมวด
ฉันตาโต ก่อนจะหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ
“…นี่คุณมีระบบอาหารมนุษย์ด้วยเหรอคะ”
เขาหันมามองฉัน แล้วยกคิ้วนิดเดียว
“ก็...เจ้าต้องกิน”
แค่นั้น คำพูดง่าย ๆ ธรรมดา ๆ แต่ในใจฉันกลับเหมือนโดนเวทสะกดให้เต้นผิดจังหวะ
…เจ้าต้องกิน
…ข้าก็เลยเตรียมให้
💙✨💙✨💙✨💙✨💙✨