บทที่ 12 ถึงเวลาของแกสักที

3741 Words
“พี่อาโปกลับมายัง” เตชินท์เดินเข้ามายังเคาน์เตอร์ของสตูดิโอที่กานต์กำลังนั่งทำงานอยู่ “เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เลย” “โอเค ขอบใจมากมึง” “วันหลังจะเข้ามาก็นัดล่วงหน้ากว่านี้หน่อยนะมึง ไอ้ห่า ปุ๊บปั๊บตลอด ดีนะที่วันนี้พี่อาโปไม่ได้มีธุระที่ไหนต่อ” กานต์บ่นยาวเหยียดจนเตชินท์มองบนถอนหายใจ แล้วยกมือขึ้นมาป้ายปากของกานต์ที่กำลังมุ้บมิ้บอยู่นั้น “ถุ้ย!! เค็มชิบหาย ล้างมือปะเนี่ย” “เออว่ะ แวะฉี่มายังไม่ได้ล้างเลย” เตชินท์ตอบพร้อมยิ้มกวนแล้วเอามือเช็ดเข้าที่เสื้ออีกฝ่ายก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป “สกปรกชิบหาย” กานต์บ่นพลางยกมือขึ้นปัดเสื้อตัวเองเบาๆ “โตเป็นควายยังจะเล่นเป็นเด็กๆ อยู่อีก” เตชินท์เดินเข้ามานั่งที่หน้าทำงานของอาโปหลังจากที่เคาะประตูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าของสตูดิโอจะเอ่ยบอกให้เข้าไปข้างในได้ “ว่าไงน้อง” อาโปเอ่ยทัก “มีเรื่องมาปรึกษาหน่อยพี่” “ซีเรียสปะเนี่ย” อาโปหรี่ตามองอย่างตั้งข้อสังเกต “ชิลๆ พี่ ไม่ได้เครียดอะไร” “อะ ว่ามาเลยงั้น” เตชินท์สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเผยยิ้มบางๆ ออกมาเล็กน้อย “เรื่องน้องเอ็มอะแหละ” “...” “คือตอนนี้ทีมซีรีส์ผมอะ หานักแสดงได้ครบหมดแล้ว เดี๋ยววีคหน้าจะเริ่มงานแบบจริงๆ จังๆ เลยอยากมาคุยกับพี่ก่อน” เตชินท์ค่อยๆ พูดอธิบาย “อื้ม” “ถ้าผมจะขอให้เอ็มมาเป็นพระเอกซีรีส์ของผมได้มั้ยพี่ ผมรู้สึกว่าน้องเหมาะสุดแล้วอะ” “ก็แกบอกพี่ตั้งแต่วันนั้นแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ไม่ติดอะไรอยู่ละ ไปทำสัญญามาละกัน” “โอเคพี่ ขอบคุณมาก” “มีอะไรให้ช่วยบอกนะ ทุกเรื่องเลย เอ็มได้เป็นพระเอกทั้งที พี่ยินดีช่วยเต็มที่” อาโปบอกทั้งรอยยิ้มกว้าง ความตั้งใจของเขาที่จะปั้นเด็กสักคนให้เฉิดฉายใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว หลังจากที่เตชินท์กลับไปอาโปก็รีบบอกข่าวนี้กับทั้งศิลาและเอ็มทันที เด็กหนุ่มที่เพิ่งเลิกซ้อมมาหมาดๆ พอได้ยินข่าวดีอาการเหนื่อยก็เหมือนจะหายไปราวกับปลิดทิ้ง ใบหน้าแห่งความสุขฉายกระจ่างชัดจนไม่ว่าใครที่ผ่านไปผ่านมาก็คงต้องยิ้มตามเป็นแน่ แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขแบบเต็มเปี่ยมก็ไม่ได้อยู่คู่กับเอ็มนานมากนัก เพราะหลังจากที่เขาได้ไตร่ตรองทบทวนกับโอกาสที่ได้รับมาแล้วนั้น ส่วนหนึ่งมันก็เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้รับมัน เป็นโอกาสที่หลายคนพยายามจะไขว่คว้ามันมาอย่างยากลำบาก และในตอนนี้เขาก็ได้รับการหยิบยื่นโอกาสมาแล้วซึ่งเขาเองก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้ แต่อีกส่วนหนึ่งเขาก็รู้สึกเครียดและกดดันเป็นอย่างสูงเพราะมันต้องแลกมาด้วยความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ทั้งกับตัวเองและชื่อเสียงของทั้งอาโป ศิลา กานต์ และเตชินท์ รวมไปถึงสตูดิโออีกด้วย ระหว่างที่เอ็มเดินกลับบ้านในเวลาสองทุ่มนิดๆ ของคืนวันศุกร์ บรรยากาศรอบข้างที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถราที่เต็มถนนไปหมด หลายสิ่งรอบตัวเหล่านี้มันตีกันวนอยู่ในหัวของเอ็มรวมถึงความคิดของเขาเองด้วย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเขาควรจะดีใจกับโอกาสในครั้งนี้แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เอ็มหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ที่บริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อสาขาที่เขาเข้าออกอยู่ประจำ ลมพัดมาวูบหนึ่งทำให้ผิวหนังของเขาสัมผัสได้ถึงความเย็นนั้น แวบหนึ่งเขานึกถึงศิลาเพียงเพราะต้องการหาคนที่จะสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับเขาในเวลานี้ได้ ฝ่ามือนั้นไวเท่าความคิด เอ็มคว้าเอามือถือขึ้นมากดโทรหาศิลาทันที ตู้ดดดด~ ตู้ดดดด~ เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่เพียงสองครั้ง มันดังไปพร้อมๆ กับเสียงหัวใจของเอ็มที่กำลังเต้นเพราะความกังวล เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ทั้งขาและแขนของเขากำลังสั่นอยู่ (ฮัลโหลน้อง) “พี่ศิลาว่างอยู่มั้ยครับ” (ว่างสิ มีไรเปล่า น้ำเสียงแปลกๆ) “ผมไม่ค่อยสบายใจอะพี่” (อ่า... เล่าให้พี่ฟังได้นะ) “ก็เรื่องซีรีส์ของพี่เตแหละ” (อื้อ ไม่สบายใจตรงไหน ลองเล่าให้พี่ฟังหน่อย) “ก็... พี่ว่าผมจะทำได้จริงๆ เหรอพี่ ผมกลัวทำทุกคนผิดหวัง” (แกฟังพี่นะ...) “...” (นี่เป็นโอกาสสำคัญมากนะเว้ย ทั้งกับตัวแกเองแล้วก็สตูฯ ด้วย) “ครับ” (ที่ผ่านมาแกก็ทุ่มเทมามากไม่ใช่เหรอ เพื่อที่จะได้มีโอกาสทำงานด้านนี้ อีกอย่างทุกคนก็ทุ่มเทเพื่อแกด้วย อยากให้แกได้โอกาสที่เหมาะกับแกสักที) “...” (แกฟังพี่อยู่เปล่า) “ฟังอยู่ครับ” (นั่นแหละ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น แกเป็นคนเก่งเว้ย ทำให้เต็มที่โอกาสมาทั้งที อย่าให้ตัวเองต้องมาเสียดายทีหลัง แล้วก็อย่าทำให้ทุกคนผิดหวังด้วย) “ครับพี่ศิลา ผมจะพยายาม” น้ำเสียงของความมั่นใจในตัวเองกลับมาอีกครั้งหลังจากได้กำลังใจจากปลายสาย (เยี่ยมมากไอ้น้อง ลุยดิวะ พวกพี่ยังสู้ไม่ถอยเลย) “ขอบคุณมากพี่” (อื้ม มีอะไรก็โทรมาได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ) “ครับ งั้นผมวางก่อนนะครับ” ความกังวลใจก่อนหน้าถูกคลายไปพร้อมกับที่เอ็มกดวางสายโทรศัพท์ ลมหายใจถูกพ่นยาวออกมาพร้อมกับความอึดอัดที่อยู่ภายในใจ ในเวลานี้เสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนนฟังดูเบาบางลงอาจเพราะเวลาที่ล่วงเลยมาเกือบจะครึ่งคืนได้แล้ว คงถึงเวลาที่ต้องกลับไปพักก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเริ่มลุยแบบจริงๆ จังๆ สักที ใครเลยจะรู้ว่านับจากวันที่เริ่มเปิดแคสติ้งที่สตูฯ ในวันนั้นจนถึงวันที่เอ็มได้รับโอกาสให้เติบโตในงานแสดงมันก็ไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่ปากพูด เพราะหลังจากที่เอ็มตกลงปลงใจว่าจะรับงานนี้อย่างแน่นอน การฝึกฝนครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้นแบบจัดเต็ม อาโปและศิลาช่วยจัดหาครูสอนแอคติ้งเก่งๆ มาสอนการแสดงและทำเวิร์คช็อปให้กับเอ็มเพิ่มเติมจากช่วงเวลาที่กองซีรีส์จัดไว้ให้ เพียงเพราะไม่อยากให้ใครมาตำหนิได้ว่าเอ็มเป็นคนไม่เก่งหรือเป็นตัวถ่วงทำให้งานเดินต่อได้ช้า ซึ่งผลที่ได้รับก็ต้องบอกว่าดีเยี่ยมเพราะเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทุกคนในกองของเตชินท์ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเอ็มเป็นเด็กที่เก่งมาก ต้องมีอนาคตที่ดีในเส้นทางนี้แน่ๆ และมันก็เป็นแบบนั้น... เมื่อถึงวันเปิดตัวนักแสดงของซีรีส์เรื่องใหม่ที่เตชินท์เป็นผู้กำกับ กระแสในโลกออนไลน์พูดถึงตัวอย่างซีรีส์ที่ถูกปล่อยลงในยูทูบของทีมผู้จัดอย่างเป็นทางการกันอย่างหนาหู ด้วยคุณภาพของโปรดักชั่นที่ดูลงทุนสูงเป็นอย่างมาก รวมถึงความสามารถทางด้านการแสดงอันโดดเด่นของเอ็มที่ถึงแม้จะเป็นเรื่องแรกแต่ก็ทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ “เอ็มมันเก่งเนอะพี่โป” ศิลาเอ่ยบอกหลังจากเปิดเช็กกระแสจากคอมเมนท์ในที่ต่างๆ บนโลกออนไลน์อยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น “จริงครับ แบบนี้พี่ค่อยสบายใจหน่อย” แขนล่ำของอาโปถูกยกขึ้นมาโอบไหล่ของคนข้างๆ เอาไว้ “หายเหนื่อยเลยมั้ยครับ” “ช่าย ไม่เสียแรงที่เราทุ่มเทกันมา” อาโปพูดจบก่อนจะค่อยๆ บรรจงจูบลงบนหัวไหล่ของศิลา “แฟนผมเก่งจังครับ” ศิลายิ้มก่อนจะเอ่ยพูดออกมา ใบหน้าหวานค่อยๆ เลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วริมฝีปากบางก็เริ่มเคลื่อนไปยังบริเวณหน้าผากของอาโปแล้วกดจูบลงไปเบาๆ สายตาของทั้งอาโปและศิลาประสานกันอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ประกายในแววตาของคนทั้งสองฉายชัดถึงอารมณ์ที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา ความเงียบเริ่มเข้าครอบคลุมทุกสิ่งรอบตัวของคนทั้งคู่ ฝ่ามือหนาของอาโปค่อยๆ เคลื่อนลงไปสัมผัสบริเวณเอวของศิลาเรียกให้คนร่างบางสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากของคนพี่ประทับลงที่ลำคอเรียวของคนน้องก่อนจะค่อยๆ เริ่มซุกไซ้ไปตามอารมณ์ที่เริ่มจะปะทุแรงขึ้นเรื่อยๆ แบบที่เขาไม่อยากจะกักเก็บมันเอาไว้อีกต่อไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่ออีกคนผละออกแล้วใช้มือดันไหล่อีกฝ่ายให้หยุดการกระทำนั้น “ไว้ก่อนนะพี่ เดี๋ยวไปสตูฯ สายนะ” ศิลายิ้มบอก “แป๊บเดียวเองน้า” เสียงอ้อนของอาโปทำให้เขาดูน่ารักขึ้น แต่ก็ยังคงใช้ไม่ได้ผลกับคนน้องนัก “แป๊บเดียวไม่มีอยู่จริงน่ะสิครับ พี่โปก็รู้ตัวเองอยู่” “แหะๆ ก็แหม่ หนูก็ใช่ย่อยนี่นา” “ก็นั่นแหละครับ ผมถึงได้บอกว่าให้เอาไว้ก่อนไงครับ” “...” “ไว้คืนนี้นะครับพี่โป” “งั้นก็ได้ครับ” “ดีครับ ตอนนี้ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วครับ เดี๋ยวจะได้ออกไปสตูฯ กันครับ” “งั้นหนูเตรียมมื้อเช้าไว้ให้พี่หน่อยนะครับ” อาโปหอมหัวศิลาเบาๆ แต่ฟอดใหญ่แล้วลุกเดินออกจากโซฟาไป เสียงฝีเท้าเดินเข้าออกสตูดิโอดังอยู่เป็นระยะในขณะที่ศิลากำลังนั่งดูสัมภาษณ์ของเอ็มที่เพิ่งไปถ่ายมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ส่วนหนึ่งเพราะกำลังตื่นเต้นกับเส้นทางการเติบโตของเอ็ม แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องการเช็กภาพลักษณ์ของเอ็มขณะออกสื่อด้วยว่ามีจุดไหนที่ต้องปรับอีกมั้ยเพื่อที่จะได้ช่วยให้เอ็มดูเพอร์เฟ็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ “แฟนคลับนัมเบอร์วันนะ” กานต์เอ่ยแซวเมื่อเดินลงมาเห็นศิลากำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคลิปวิดีโอของเอ็มในไอแพด “นิดนึงน่ะพี่ คนมันตื่นเต้น” “แกดูตื่นเต้นกว่าไอ้เอ็มมันซะอีก” เสียงพูดปนขำในลำคอของกานต์ยังคงแซวต่อเนื่อง เพราะอันที่จริงตั้งแต่วันที่เปิดตัวเอ็มว่าจะเป็นนักแสดง ศิลาก็ไม่เคยหยุดที่จะตามดูทุกคลิปของเอ็มที่มีออกมาเลยแม้แต่วันเดียว บางคลิปก็ดูแล้วดูอีก... ไม่รู้ว่าบ้านแฟนคลับของเอ็มที่เพิ่งเปิดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ศิลาแอบไปเป็นแอดมินด้วยหรือเปล่า “นั่นดิ พี่เริ่มจะหึงแล้วนะเนี่ย” อาโปพูดพร้อมเดินมาวางจานผลไม้ที่เพิ่งให้ป้าพรเตรียมไว้เมื่อครู่บนเคาน์เตอร์ “เอาแล้วววว ไอ้ศิลา” กานต์ทำหน้าล้อเลียน “อะไรเล่าพี่โป” “ถึงว่าทำไมเมื่อเช้าปฏิเสธพี่” อาโปทำหน้างอนหลังพูดจบ “ไม่เกี่ยวซะหน่อย” “เดี๋ยวนะ... ยังไงงง” กานต์เลิ่กลั่กเมื่อได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ เพราะในหัวของเขาตอนนี้คิดดีไม่ได้เลยยย “ทำไมครับ ไอ้น้องกานต์” อาโปพูดแล้วเหลือบตามามองนิ่ง “เปล่าค้าบบ ผมไปดีกว่า ไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านนนน” กานต์ค่อยๆ ถอยเท้าออกห่างจากอาโปและศิลา “ไปหาขนมกินที่เซเว่นดีกว่า” กริ๊งงง~ เสียงสัญญาณกระดิ่งที่ประตูด้านหน้าของสตูดิโอดังขึ้นพร้อมๆ บานประตูที่ค่อยๆ เปิดออก รองเท้าส้นสูงที่คุ้นตาปรากฏผ่านเข้ามาในสายตาของคนทั้งสามก่อนจะตามมาด้วยใบหน้าของเจ้าของรองเท้าคู่นั้น เรียกให้ทั้งสามคนหุบยิ้มทันที “สวัสดีค่ะ” เสียงนิ่งของแม่นาโนเอ่ยทัก “ครับคุณแม่” อาโปตอบรับแล้วเดินเข้ามาหาหญิงสาวที่ยืนหน้าเครียดอยู่ตรงนั้น “เรามีเรื่องต้องคุยกันค่ะ” “ครับ?” “ขึ้นไปนั่งคุยกันข้างบนดีกว่ามั้ยคะ” “ได้ครับ” อาโปตอบรับก่อนจะหันไปมองศิลากับกานต์ที่ยืนมองมาด้วยสายตาแห่งความสงสัยที่จู่ๆ เธอก็โผล่เข้ามาอีกแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่พ้นเรื่องของนาโน แต่จะว่าไปโปรเจ็คของนาโนก็เสร็จสิ้นตามข้อตกลงไปนานแล้ว ทำให้อาโปไม่รู้เหตุผลของแม่นาโนที่มายังสตูฯ ในวันนี้เหมือนกัน “เรื่องนาโนจะยังไงต่อคะ” แม่นาโนเอ่ยถามทันทีที่เข้ามาในห้อง “เดี๋ยวเราจะประเมินกันอีกทีครับ ช่วงนี้ก็ให้น้องเข้ามาซ้อมได้เรื่อยๆ ครับ” “งั้นเหรอคะ ไม่คิดจะปั่นกระแสอะไรเพื่อให้น้องดังกว่านี้เลยเหรอคะ” “ครับ?” “ก็ทีของน้องเอ็มสตูฯ ยังดันทุกทางเลยนี่คะ ผู้กำกับซีรีส์เรื่องนั้นก็รุ่นน้องที่สนิทกันกับคุณอาโปไม่ใช่เหรอ ถึงได้เอาเอ็มไปฝากเป็นพระเอกได้ แล้วทำไมถึงทำแบบนั้นกับนาโนไม่ได้คะ” “จริงๆ เราให้น้องเอ็มไปแคสติ้งตามกระบวนการนะครับ ไม่ได้มีการฝากอะไร” “ไม่ใช่ว่าเอาเงินไปให้เขาเพื่อจะให้เอ็มเป็นพระเอกเหรอคะ” “เดี๋ยวนะครับ นี่คุณแม่คิดว่าทุกคนเขาจะต้องเป็นเหมือนคุณแม่เหรอครับ” “แหมคุณอาโปก็... ที่พูดก็แรงเกินไปนะคะ ทำเอาแม่ดูไม่ดีไปเลย” แม่ของนาโนเอ่ยพูดพร้อมยิ้มมุมปาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าแอบกระตุกน้อยๆ ด้วยความรู้สึกโกรธแต่ยังพยายามควบคุมอารมณ์อยู่ “ทีคนดีๆ อย่างคุณยังกล้ารับเงินใต้โต๊ะเลยค่ะ จะมาว่าแม่แบบนี้ก็ไม่ถูกซะทีเดียวนะคะ” “...” อาโปนิ่งเงียบใจอยากตอบโต้แต่สิ่งที่แม่นาโนพูดก็ไม่ได้ผิด เพราะเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากจะได้เงินก้อนนั้น เพียงแค่เขาอยากให้เรื่องวุ่นวายในตอนนั้นมันจบๆ ไปสักที เลยตัดสินใจเลือกทำแบบนี้เพื่อที่จะได้ทำเพลงให้นาโน แม่ของนาโนจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายที่สตูฯ อีก แต่ดูเหมือนว่าวันนั้นเขาจะตัดสินใจผิด... แม้จะเปลี่ยนไปใช้ข้ออ้างว่าสงสารนาโนและอยากให้โอกาสน้องก็ตาม เพราะฟังๆ ดูแล้วจากที่แม่ของนาโนพูด ตัวเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนความทุจริตอยู่ดี “ในส่วนของน้องนาโนทางสตูฯ ก็เต็มที่นะครับ อยากให้คุณแม่ได้ทราบไว้ว่าผมเต็มที่มากเพราะคุณแม่เสียเงินให้ผมมาแล้ว ผมก็ไม่อยากให้มันเสียเปล่า แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณแม่ได้มีโอกาสคุยกับน้องมั้ยว่าอยากทำด้านนี้จริงๆ หรือเปล่า เพราะน้องดูไม่จอยกับงานตรงนี้เลยนะครับ” “นี่คุณอาโปกำลังโทษน้องหรือเปล่าคะ” “อยากดูหลักฐานมั้ยล่ะครับ ผมจะเปิดให้ดู” อาโปเปิดไฟล์กล้องวงจรปิดในเวลาที่นาโนซ้อมให้คุณแม่ของน้องดูเพื่อเป็นการยืนยันว่า ที่ผ่านมาตัวนาโนนั้นก็ไม่ได้เต็มที่กับการฝึกฝนสักเท่าไหร่ ถึงแม้น้องจะเป็นคนเก่งมีความสามารถแต่ก็มีอีโก้สูงมากเหมือนกัน อย่างที่เคยพูดกันอยู่หลายครั้งว่าต่อให้เก่งและมีความสามารถแค่ไหน ถ้ามีอีโก้สูงจะทำให้ไม่สามารถพัฒนาให้เก่งไปมากกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ได้ เพราะมันก็จะเหมือนน้ำที่เต็มแก้วไม่สามารถเติมอะไรลงไปได้อีก ซึ่งนาโนเป็นแบบนั้น เพียงแต่แม่ของน้องไม่ยอมรับ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะมีอีโก้สูงไม่แพ้กันน่ะสิ... “เห็นมั้ยครับ ว่าเวลาซ้อมน้องก็เอาแต่เล่นมือถือ” อาโปกดหยุดเล่นวิดีโอ “แม่ไม่สนหรอกนะคะว่าคุณอาโปจะอ้างเหตุผลอะไร แต่ในเมื่อรับเงินแล้วก็น่าจะต้องทำได้ดีกว่านี้สิคะ หรือจริงๆ แค่อยากได้เงินคะ” คำพูดของแม่นาโนทำเอาฟางเส้นสุดท้ายของอาโปขาดผึง ความโกรธปะทุขึ้นอย่างกู่ไม่กลับ แต่อาโปก็พยายามจะควบคุมให้ได้มากที่สุด แม้จะรู้ตัวดีว่าตอนนี้มันฉายชัดบนใบหน้าของตัวเองแล้วก็ตาม “คุณแม่ดูถูกผมมากเกินไปแล้วนะครับ” อาโปพยายามกดเสียงให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปังงง!! เสียงประตูที่ถูกผลักให้เปิดออกอย่างแรงดังขึ้นพร้อมใบหน้าของศิลาที่กำลังโกรธหนักปรากฏขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทระหว่างที่ผู้ใหญ่กำลังคุยธุระกัน แต่เขาดันบังเอิญได้ยินพอดีในขณะที่กำลังจะเอาน้ำมาเสิร์ฟให้กับอาโปและแม่นาโน ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาได้ยินคำพูดที่ดูถูกอาโปขนาดนี้ แล้วคนรักแฟนอย่างศิลาจะไปยอมได้ยังไง... “ถ้าคุณแม่คิดว่าโดนพวกเราหลอกคุณแม่ไปฟ้องเอาได้เลยครับ!” ศิลาเอ่ยปากโพล่งออกไปเพราะความโมโหก่อนจะเดินปึงปังเข้ามาในห้อง “ฟ้องแน่ค่ะ ไม่ต้องห่วง!” น้ำเสียงแข็งขึ้นของแม่นาโนบ่งบอกอารมณ์โมโหได้เป็นอย่างดี “แต่เกรงว่าคุณแม่จะแพ้นะครับ เพราะคุณแม่เองไม่ใช่เหรอครับที่เสนอเงินจ้างสตูฯ ให้ทำเพลงให้นาโน” “ก็พวกคุณหลอกชั้น!” สรรพนามเปลี่ยนตามอารมณ์ที่ร้อนขึ้น เสียงทุบโต๊ะดังหลังจากที่แขกผู้มาเยือนฟาดมือลงเสียเต็มแรง “ใครไปหลอกคุณแม่ครับ” อาโปเอ่ยถามแทรกขึ้นมาด้วยเสียงแข็ง “ใช่ครับ ถ้าคุณแม่มีหลักฐานก็เอามากางเลยครับว่าตรงไหนที่พวกเราหลอก” ศิลาเอ่ยเสริมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มโวยวายแบบไร้เหตุผล “ก็คุณรับปากว่าจะทำให้นาโนดังไงคะ” “ผมไม่เคยพูดนะครับ ผมรับปากแค่จะทำเพลงให้ตามคำร้องขอของคุณแม่ ถ้าไม่เชื่อไปดูสัญญาได้ครับ ข้อความที่คุยกันในไลน์ก็ยังมีครับ” “...” “แต่ถ้าคุณแม่คิดว่าไม่ยุติธรรมผมยินดีนะครับ ให้คุณแม่ฟ้องเลยครับ ผมก็มีหลักฐานจากฝั่งผมเหมือนกัน” “ได้ค่ะ! งั้นก็ไว้รอเจอกันที่ศาลแล้วกันค่ะ!!” แม่นาโนเสียงสั่นอาจด้วยเพราะความโมโหที่คุกรุ่นอยู่ภายในก่อนจะลุกเดินตึงตังออกไป เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังกระแทกโสตประสาทของทั้งอาโปและศิลาเรียกความหงุดหงิดให้ทวีคูณ พอผู้หญิงคนนั้นเดินพ้นประตูห้องออกไป ทั้งคนพี่คนน้องต่างก็ทิ้งตัวลงนั่งพลางถอนหายใจเฮือกโตเพราะความเหนื่อยใจที่ต้องมาเจอกับเรื่องอะไรเดิมๆ จากคนเดิมๆ อีกครั้ง “ไม่จบไม่สิ้นสักที เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้” อาโปบ่นอย่างเหนื่อยอ่อน “รู้งี้วันนั้นไม่รับเงินมาก็ดี” “ฮ่าๆ ไอ้คำว่ารู้งี้บางทีมันก็น่าเจ็บใจเหมือนกันนะครับ” ศิลาขำเบาๆ ระหว่างพูดกับอาโป คนพี่หันมาเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย “เห้อ... แต่เอาเถอะ พี่ว่ายังไงเราก็ชนะอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลนะ” “ผมก็มั่นใจว่าฟ้องมาเราก็ชนะอยู่ดี เพราะเราทำทุกอย่างตามจริง มีหลักฐาน ไม่เคยโกหก” “มีอะไรกันวะ ยัยแม่นาโนเดินเหวี่ยงออกไปไม่พูดไม่จาสักคำ น่ากลัวเวอร์!” กานต์เดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาคนทั้งคู่ในห้องทำงานชั้นสอง “เหมือนเดิม มาโวยวายเรื่องนาโนเพราะเห็นข่าวเอ็มได้เป็นพระเอกซีรีส์” อาโปตอบด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงสักเท่าไหร่ “เอ้า ไรวะ” “แถมเขายังบอกว่าจะฟ้องด้วยว่าสตูฯ ไปโกงเขา” “โกงไรวะพี่ ก็มาเสนอเงินให้เราเอง แล้วเราก็ทำตามดีลหมดแล้วด้วย” “ก็ใช่มั้ยล่ะ” “ก็ฟ้องมาเลย เดี๋ยวผมจะไปแฉให้หมดว่าจริงๆ เพลงนาโนที่ปล่อยไปคือแม่มาจ้างทำ” “เห้ย ก็แรงไป น้องนาโนมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย” “แต่แม่เขากำลังจะทำให้สตูฯ เราเสียชื่อเสียงนะพี่” กานต์พูดด้วยน้ำเสียงที่เพิ่มระดับอารมณ์ขึ้น เพราะเขาไม่อยากให้สตูฯ ที่ทั้งอาโปและศิลาช่วยกันสร้างมาด้วยความเหนื่อยอ่อนต้องมาปนเปื้อนจากข่าวลวงของคนประสาทแดกคนหนึ่ง “แต่สิ่งที่แกจะทำมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ นอกจากจะทำให้นาโนเสียชื่อ สตูฯ เราก็จะโดนดูไม่ดีด้วยที่ไปรับเงินใต้โต๊ะอะ” “...” “เราก็มีส่วนผิดในกระบวนการนี้นะ พูดอะไรไปก็มีสิทธิ์เข้าตัวเองได้ทั้งนั้นนั่นแหละ” อาโปเอ่ยเตือนสติกานต์ “แล้วจะให้ทำไงอะพี่” กานต์ถามอย่างสงสัย “ก็รอดู รอให้เขาฟ้องมาก่อนแล้วค่อยว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย” “พี่ไว้ใจศาลบ้านเราด้วยหรอ มันจะได้ความยุติธรรมจริงเหรอพี่” กานต์เบะปากพอได้ยินคำว่าศาล เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นมันจะมีความยุติธรรมตามชื่อสักเท่าไหร่ “เรามีหลักฐานครบ ไม่ต้องกลัวหรอก อีกอย่างเงินเราก็มี คอนเน็กชั่นทนายเก่งๆ พี่ก็มีเยอะ จัดการได้น่า” อาโปยิ้มพลางยักคิ้วให้เพราะอยากให้ทุกคนสบายใจ “แฟนมึงแม่งคนดีเกินไป กูล่ะเบื่อ” กานต์ส่ายหัวแล้วหันไปพูดกับศิลาที่เอาแต่นั่งยิ้มแล้วมองไปที่อาโปอย่างเดียว สายตาที่ดูภาคภูมิใจในตัวแฟนกระจ่างชัดจนคนโสดอย่างกานต์เริ่มรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอยู่เหมือนกัน “แน่นอน!! ไม่งั้นผมจะเลือกพี่โปเป็นแฟนทำไมล่ะ” “รำคาญญญ!!! ไปรักกันให้พอ!!! แล้วจะรอไปงานแต่งนะ!” กานต์บ่นลากเสียงยาวทำเอาทุกคนหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะที่เขาจะเดินออกจากห้องทำงานของอาโปไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD