“เจ็บมั้ย! ถ้าแรงไปก็บอกฉันนะ”
“ไม่เลย มือเธอเบามาก แต่ว่าเมื่อกี้ ฉันคิดว่าเธอจะทำแบบนั้นจริง”
“หมายถึงยิงพวกเขาหรือว่าจะเอาไปขายล่ะ นายคิดว่าฉันกล้าหาญขนาดนั้นเลย ฉันแค่แสดงให้สมจริงเพื่อขู่พวกเขาเท่านั้น”
“เธอแสดงได้เหมือนมาก ฉันเกือบเชื่อแล้ว ถ้าไม่เพราะปืนกระบอกนี้ไม่มีกระสุนนะ”
“คิกๆ ถ้ามีเล่า เพียงแต่ฉันไม่ได้ใส่มัน ตอนที่เก็บได้ ฉันถอดกระสุนออก กลัวนิ้วเผลอไปโดนไกจะลั่นใส่ตัวเอง ป่านนี้สามคนนั้นคงเข็ดไปอีกนาน พวกเขาคงไม่มายุ่งกับเราอีก”
ปืนกระบอกนี้เธอเห็นมันตกอยู่ในพงหญ้า พร้อมกับซองยา ซึ่งเธอจำได้ว่ามันคือยาแก้ปวดลดการอักเสบ มีกระสุนหกนัดในซองลูกโม่ จึงเก็บกลับมาด้วยความดีใจ ถ้ามีสิ่งนี้ติดตัว ชีวิตของเธอกับอี้หานจะปลอดภัย และจริงมาก มันสามารถใช้ไล่คน
“แน่นอนว่าไม่ยุ่งและคงหนีไปที่อื่นด้วย พวกเขาตีกันเองจนหัวแตกกระดูกหัก คงแยกกันไปคนละทาง แต่มันก็สมควรแล้วกับสิ่งที่ได้ทำไว้”
“คิดไม่ถึงว่าเธอจะใช้วิธีนี้บีบให้พวกเขาทะเลาะกัน สุดท้ายไม่หลงเหลือแม้ความสัมพันธ์ทางสายเลือด”
“ตีงู ไม่สามารถตีที่เจ็ดชุนได้ ในอนาคตพวกเขาจะแว้งมากัดเราอีก มีแต่ต้องทำแบบนี้จึงปลอดภัย ไม่ใช่แค่บ้านเรา แต่รวมถึงคนอื่นในละแวกนี้ พวกเขาต่างถูกน้าสี่กับลูกชายหาเรื่องมานาน”
ที่น่ากลัวไม่ใช่ภัยสงครามกับภัยพิบัติเท่านั้น แต่ภัยจากคนที่เห็นแก่ตัวด้วย พวกเขาไม่มีจิตสำนึกแม้ในตอนที่ยากลำบาก
เฟิ่งอี้ทำแผลให้อี้หานเสร็จ เธอจึงอาสาเช็ดตัวให้เขา เพราะกลิ่นเลือดมันแรงเอาเรื่อง หากจัดการไม่ดีคืนนี้เขาอาจเป็นอาหารยุง ถ้าถูกกัดมากไปแล้วป่วยขึ้นมาคงลำบาก
“ถอดเสื้อออกเถอะ”
“ได้ยังไง! เธอเป็นผู้หญิงนะ ฉันเช็ดเองได้”
“นายเจ็บขนาดนี้ลำบากจะลุกนั่งยังยาก แล้วจะเอี้ยวตัวเช็ดไปยังไง ยุงชุมมาก พวกเราไม่สามารถก่อควันสุ่มได้ แบบนั้นจะทำให้ขาดอากาศตายเสียก่อน อยากป่วยรึ”
“แต่ฉันเป็นผู้ชาย มันไม่เหมาะสม”
“นายก็คิดว่าฉันคือนางพยาบาลสิ เป็นผู้ดูแลส่วนตัวของนายไง เร็วเข้าถอดเสื้อ”
“เฮ้อ! ดูเหมือนถ้าฉันยังปฏิเสธ เธอคงไม่ยอมใช่มั้ย”
อี้หานสุดจะทัดทานคำรบเร้าของเฟิ่งอิง เขาจึงยอมให้เธอถอดเสื้อออกแต่โดยดี ทว่าทุกครั้งที่ต้องขยับมันกลับทำให้เขายิ่งเจ็บ เฟิ่งอิงจึงพยายามเอาเสื้อออกห่างผิวเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อลดการเสียดสี แต่พอถอดเสื้อออกไปได้ สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้เธอโกรธจนร้องไห้ออกมา
“อิงอิง เธอเป็นอะไรไป!”
“พวกเขาเลวมาก! ทำไมถึงลงมือหนักขนาดนี้ อี้หานนาย นายคงเจ็บมากเลยนะ” ตัวเขายิ่งผอมมีแต่กระดูกก็ทำเธอปวดใจแล้ว ยังมีแผลมากมายประทับทั่วตัว จะไม่ให้เธอร้องไห้ได้อย่างไร
“อิงอิงอย่าร้องเลย! ฉันไม่เจ็บ หยุดร้องเถอะนะ น้ำตาของเธอมันทำให้ฉันปวดใจ”
“อื้อ! ฉันไม่ร้องแล้ว นายก็อย่าเจ็บมากไปกว่านี้เลย”
ในช่วงที่ยากลำบาก สองคนนั่งเป็นกำลังใจให้กัน หลังจากทำแผลแล้วอี้หานจึงกินยาเพิ่มอีกเม็ดและนอนหลับไป ขณะที่เฟิ่งอิงได้ขยับตัวลุกขึ้น เธอรอจนแน่ใจว่าเขาหลับสนิท จึงค่อยๆ แหวกผ้าที่ใช้แทนประตูออกมาด้านนอก พยายามทำมันให้เงียบที่สุดไม่ลืมพกปืนออกมาด้วย เดินกลืนหายไปกับความมืดนานหลายชั่วโมง เธอกลับมาในตอนดึก
“อี้หาน! นายทำไมยังตื่นอยู่” เฟิ่งอิงตกใจเหมือนเด็กที่หนีไปเที่ยวแต่ถูกจับได้ สีหน้าของเธอซีดปากสั่นจึงต้องเม้มแน่น เธอคิดว่าเขาหลับแต่ไม่คิดว่าจะตื่นมากลางดึกเช่นนี้
“เธอหายไปไหนมา! ทำไมถึงเพิ่งกลับเอาจนป่านนี้”
อี้หานขมวดคิ้วเข้าหากัน หรี่ตามองเธอไม่วาง ไล่สำรวจว่ามีที่ใดผิดปกติ เขาทั้งเป็นห่วงและโมโหมาก เด็กสาวออกไปกลางดึก ถ้าเจอผู้คนไม่ดีเข้าจะเกิดอันตราย เขายังบาดเจ็บไม่สามารถตามไปช่วยเหลือได้ทัน
“ฉันออกไปหาปลาที่ลำคลองมา” เสียงที่เบาราวกับยุงบินไม่ทำให้คนตรงหน้าหายโกรธ คำตอบนี้เหมือนยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้หงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม ใครมันจะบ้าทำแบบนั้น!
“หาปลาตอนนี้หรือ! ในคืนที่มืดมากทั้งที่มองอะไรไม่เห็น อิงอิงเธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ฉันรู้สึกว่าเธอดูแปลกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
“อี้หานนายไม่เชื่อฉันหรือ งั้นดูนี่อึบ!” เฟิ่งอิงยกถังไม้เก่าที่พังแต่พอใช้งานได้หน้าประตูเข้ามา ในนั้นมีปลาหลายตัว ขนาดคละกันทั้งเล็กใหญ่ ยังมีปูกับหอยอีกจำนวนหนึ่ง อี้หานเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างประหลาดใจ
“เธอหามันมาได้จริงๆ นี่เธอทำได้อย่างไร!”
“ฉันก็บอกนายแล้ว ว่าไปหาปลา”
“แต่ไม่จำเป็นต้องออกไปตอนนี้เลย เธอน่าจะรอให้ฉันตื่นก่อน”
เฟิ่งอิงส่ายหน้า ขอให้เขาหยุดเพื่อฟังเหตุผล เธอเพียงต้องการแสดงความคิดเห็นในมุมของตัวเอง
“ในตอนเช้าทุกคนจะตื่น สิ่งแรกที่ทุกคนจะทำคือหาอาหาร ดังนั้นโอกาสที่เด็กอย่างเราจะได้มาสักตัวมันยากมาก เพราะอาจโดนแย่งไปก่อน ที่สำคัญกลางคืนปลามันขึ้นมาเล่นอากาศ ขาดความระวังตัว จึงได้จับง่ายกว่าตอนกลางวัน”
“แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เธอมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยเป็นคุณหนูคนที่แปด ฉันไม่คิดว่าเธอจะเคยทำอะไรแบบนี้”
“ฉันคือลูกสาวที่พ่อแม่ให้ความสำคัญน้อยที่สุด เพราะฉันถูกเลี้ยงโดยคุณย่าที่ชนบท ฉันได้ทำได้เรียนรู้การเอาตัวรอด กระทั่งท่านจากไปอย่างไม่มีกลับ บ้านชนบทไม่มีคนรับใช้เหมือนตอนอยู่กับพ่อแม่ และพื้นเพของตระกูลเราไม่ใช่เศรษฐี แต่เกิดจากความขยัน”
“ย่ามักจะสอนฉันในสิ่งที่ท่านรู้ รวมถึงที่เคยเห็นผ่านตา ฉันเองตั้งใจจดจำเพราะสนุกที่ได้ฟัง ไม่คิดว่าตอนนี้จะได้นำมาใช้ และฉันเกือบหัวทิ่มลงน้ำตอนจับปลาตัวแรก”
“ดังนั้นเธอจึงดูเปียกชุ่ม เฮ้ออิงอิง! เธอทำให้ฉันตกใจแทบตาย ถ้าฉันลุกไหวคงวิ่งไปรอบๆ เพื่อตามหาเธอ”
“ฉันผิดไปแล้ว! ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่ฉันนอนไม่หลับ อาการของนายมันหนักเอาเรื่อง เราต้องมีอาหารที่เพียงพอเพื่อฟื้นฟูร่างกาย หลังสงครามแบบนี้สิ่งแรกของผู้คนคืออาหาร พวกเขาจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพราะทุกอย่างแทบไม่เหลืออะไร ทางการไม่สามารถควบคุมคนที่หิวโหยได้ บางทีอาจมีการปล้น เราต้องช่วยตัวเองก่อน”
“เธอคิดว่าต้องทำยังไง”
“บ้านหลังนี้พังแต่ยังพอซ่อมไหว หลังคาอาจให้หลบแดดฝนแต่หน้าต่างประตูรอไม่ได้ ยังมีรั้วที่ต้องทำให้ดี ป้องกันคนไม่ดีบุกเข้ามาอีก ตอนนี้มีปืนในมือจึงปลอดภัย แต่ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น พรุ่งนี้ฉันจะลงมือซ่อมมันเอง ส่วนนายก็พักผ่อนจะได้หายไวๆ”
“กลับกลายเป็นว่าฉันคือภาระของเธอ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ! นายคือคนที่ช่วยชีวิตฉัน พวกเราต้องดูแลกันถึงจะถูก ในเมื่อฉันอธิบายทุกอย่างแก่นายแล้ว ตอนนี้ก็นอนได้ ฉันเหนื่อยมาก..! ง่วงจนถ่างตาฝืนไม่ไหว”
“เธอนอนเถอะ ฉันจะรอดูว่าเธอจะวิ่งซนออกไปไหนอีกมั้ย”
“เชิญดูตามสบาย! ฉันจะนอนจริงๆ” เฟิ่งอิงไม่ห้าม เพราะเธอรู้ดีว่าอี้หานไม่ฟังแน่ ปล่อยให้เขาจับผิดเธอจนพอใจ เดี๋ยวเห็นว่าเธอหลับจริงเขาจะนอนเอง
อาจเพราะเมื่อคืนไม่มีเสียงหวูดเตือน จึงสามารถนอนได้เต็มอิ่ม ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาพบว่ามันเกือบเที่ยงวัน เสียงคนแว่วมาให้พอได้ยิน พวกเขากำลังเดินไปรอบๆ เพื่อหาในสิ่งที่ต้องการ มีเสียงตอกเสียงทุบเพื่อซ่อมแซมที่พักอาศัย ยังมีกลิ่นควันไฟจางๆ หลายครอบครัวเริ่มจัดแจงบ้านอย่างจริงจัง ชีวิตต้องเดินหน้าให้ แต่ยังมีบางคนที่จมอยู่กับอดีต
“อี้หานล่ะ เขาไปไหนแล้ว”
เฟิ่งอิงเปิดผ้าเดินออกมาข้างนอก เห็นร่างอันคุ้นเคยกำลังก้มทำบางอย่างในกองปรักหักพัง ซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเป็นห้องครัว
“อี้หานนายทำอะไร!”
“เธอตื่นแล้วหรือ ฉันกำลังต้มปลา ยังดีที่มีหม้อพอใช้งานได้ มีชามสามใบที่ร้าวเล็กน้อย ฉันลองใส่น้ำแล้วมันไม่ได้รั่ว”
“นายน่าจะรอฉันสิ! ขอโทษนะที่ตื่นสาย”
“ฉันรู้ว่าเธอเหนื่อย และฉันไม่ได้เจ็บเท่าไหร่ พอได้กินยาอาการจึงดีขึ้นมาก เธอเห็นมั้ยนอกจากรอยช้ำมันไม่ได้บวม”
“ถึงอย่างนั้นนายยังต้องพัก มาเถอะให้ฉันทำเอง”
“ถ้าอย่างนั้นฉันเอาปลาไปตากก่อน”
“เดี๋ยว! ขืนตากตอนนี้ต้องมีคนมาขโมยแน่ ฉันว่าเราควรเอามารมควัน จะสามารถเก็บไว้ได้นานๆ และยังเก็บในบ้านโดยไม่เหม็นคาว”
“ก็ดี ปลารมควันกินอร่อย เวลาทำน้ำแกงจะมีกลิ่นหอม เช่นนั้นฉันไปหาใบไม้ก่อน”
“นายแน่ใจนะว่าไหว”
“ฉันร่างกายแข็งแรง เท่านี้ทำอะไรไม่ได้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นพกปืนไปด้วยเถอะ มีของติดตัวคนจะไม่กล้าหาเรื่องนาย”
“ตกลง เอาตามที่เธอว่า”
อี้หานเหน็บปืนไว้ข้างเอว เขาใส่กระสุนไว้สามนัดเผื่อจำเป็น แต่หวังว่าจะไม่ได้ใช้มัน
เฟิ่งอิงกำชับเขาสองสามคำ มองเด็กหนุ่มที่จะกลายเป็นชายหนุ่มในไม่ช้า
“ตอนนี้เขาไม่ได้เข้ากองทัพ ดังนั้นในอนาคตของฉันคงไม่มืดมนแล้วใช่มั้ย?”
เฟิ่งอิงไม่สามารถบอกได้ว่าภาพที่เห็นตอนหลับคือฝันหรือไม่ แต่ในตอนที่รักษาตัวเพราะบาดเจ็บนั้น เธอได้มีฝันที่ยาวนาน มันคือชะตากรรมที่เจ็บปวดเคล้าด้วยความหวัง ที่ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
อี้หานจะกลายเป็นบุคคลสำคัญในกองทัพ มียศสูงถึงพันเอกเป็นผู้ที่มีอำนาจและบทบาททางทหาร กับคนนอก เธอคือพี่สาวของเขาที่มีส่วนช่วยเขาอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ที่แสดงออกนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง เรื่องจริงเธอคือภรรยาเขา เป็นนกน้อยในกรงทองถูกขังไว้ ภรรยาแสนชังในตอนที่เขาอาจรอใครอีกคน
เขารู้ว่าเธอมีประโยชน์สามารถใช้งานได้ รู้เรื่องของเขามากมายหากปล่อยไปจะทำลายเขา ด้วยคำยุยงจากบางคน เขาปลอบประโลมเธอ หลอกใช้เธอ บอกว่าทำเพื่อเธอ เพื่ออนาคตของเรา สุดท้ายเขาส่งเธอไปเป็นสายลับของฝ่ายตรงข้าม พองานสำเร็จเขาทอดทิ้งเธอไว้ ปล่อยให้เธอถูกยิงตาย
นี่คือเหตุผลที่เธอไม่ต้องการให้เขาเข้าร่วมกองทัพ เพราะเธอเองไม่สามารถอยู่ข้างนอกได้ลำพังในสถานการณ์นี้
อนึ่ง เธอไม่รู้ว่านั่นคือเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือแค่ฝันเลอะเลือนอันยาวนาน เธอไม่อาจตัดสินเขาได้ในทันที ต้องค่อยๆ ดูว่าเขามีแนวโน้มที่จะเป็นคนทะเยอทะยานมากน้อยเพียงใด หากมันจริงละก็... เธอจะหนีไปให้ห่างจากเขา แต่ก่อนอื่นเธอต้องแข็งแกร่งอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง