02 บทที่ 2 - 4

1428 Words
“หวา ขอโทษแม่ปรางเขาซะ” คนเป็นลูกเม้มปากตัวเองแน่นพร้อมกับยืนนิ่งอย่างไม่ยอมรับในความผิดของตน กำพลจึงตั้งท่าจะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง “พาเมียที่รักของเธอกลับไปได้แล้วกำพล ฉันจะบอกอะไรให้นะ ว่าถ้าเป็นฉัน...เมียเธอไม่เจอแค่นี้แน่ โทษฐานที่มาว่าน้องสาวของฉัน” นวลฉวีส่งสายตาแข็งกร้าวไปให้คู่สามีภรรยาจนทั้งสองรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งของนวลฉวีที่มีมากผิดไปจากน้องสาวผู้อ่อนแอของเธอยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเขา เมื่อครั้งหนึ่งในอดีต หญิงคนนี้เคยออกโรงปกป้องน้องสาวรวมถึงหลานรัก และอาละวาดหนักจนทำให้อดีตน้องเขยและเมียใหม่เข็ดขยาดกันไปนานทีเดียว “กลับกันเถอะแม่ปราง นะๆ พี่ขอร้องละ” กำพลเอ่ยด้วยท่าทีเกร็งๆ พลางกระตุกแขนภรรยาให้เดินถอยออกมา “กะ...ก็ได้ เห็นแก่พี่พลหรอกนะ” คนเป็นภรรยาตอบด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่วายทิ้งสายตาอาฆาตเอาไว้ก่อนที่ทั้งสองจะพากันเดินออกจากตัวบ้านไปอย่างรวดเร็ว “คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควรจะไปได้แล้วเหมือนกันนะ” นวลฉวีปรายตามองคนอื่นๆ รวมถึงกลอยที่ยังคงยืนอยู่ ทุกคนทำหน้าเจื่อนๆ ก่อนจะรีบพาตัวเองกลับไปยังที่ทางของตน หญิงสูงวัยผู้เป็นเจ้าของบ้านผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อเรื่องวุ่นวายได้ผ่านพ้น ร่างท้วมหันกลับมามองหลานสาวด้วยความสงสารพร้อมกับค่อยๆ ก้าวเข้าหา ก่อนจะเบนสายตาไปทางร่างสูงที่ช่วยเหลือหลานสาวของเธอ “ขอบใจปุณณ์มากนะลูกที่ช่วยยิหวาเอาไว้” “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” ชายหนุ่มตอบพร้อมส่งยิ้มอย่างเต็มใจ มือหนาค่อยๆ ถอนออกจากเอวของหญิงสาวที่ยังคงมีท่าทีเกร็งๆ อยู่เพื่อให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้น “หลังของปุณณ์” ดวงยิหวาพึมพำพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง ถึงเธอจะไม่เห็นด้วยตา แต่เธอก็พอเดาได้ว่าพ่อของเธอคงใส่แรงลงมาไม่น้อย “ผมไม่เป็นไร” ปุณณ์หันไปส่งยิ้มให้อีกฝ่ายคลายกังวล แต่ร่างเล็กยังคงมีสีหน้าไม่ค่อยดีเช่นเดิม “พาปุณณ์ไปทายาก่อนเถอะหวา” นวลฉวีเอ่ยปาก หลานสาวของเธอตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนที่ชายหนุ่มหญิงสาวจะพากันเดินเลี่ยงเข้าไปในบ้าน หญิงสูงวัยมองตาม สายตาของเธอจับจ้องไปยังคนทั้งสองด้วยแววตามุ่งมาดอย่างคนที่ตัดสินใจในเรื่องสำคัญได้แล้ว ร่างบางอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นรอยช้ำบนหลังของชายหนุ่ม รอยแดงพาดยาวที่เริ่มบวมกว่าครึ่งหลังทำให้เธออดนึกหวาดหวั่นไม่ได้ ถ้าหากว่าเขาไม่ช่วยเธอเอาไว้เธอจะเจ็บสักแค่ไหนกันนะ...เพียงคิดถึงตรงนี้หัวใจก็เริ่มเจ็บหน่วงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดได้ว่าชายที่ตั้งใจลงมือเพื่อทำร้ายเธอคือคนที่เธอเรียกเขาว่าพ่อ “ขอบคุณนะ” เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือบางที่ค่อยๆ ทายาให้เขาอย่างเบามือ ปุณณ์เอี้ยวมองหญิงสาวอย่างห่วงใยเมื่อจับความผิดปกติในน้ำเสียงนั้นได้ “ผมไม่ปล่อยให้หวาเป็นอะไรหรอก อย่าลืมสิ...หวาเป็นภรรยาของผมแล้วนะ” คนเจ็บเอ่ยด้วยถ้อยคำทีเล่นทีจริงแต่น้ำเสียงนั้นหนักแน่น มือบางชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะเริ่มทำหน้าที่ต่อเมื่อได้ยินสถานะที่ไม่ทันตั้งตัวออกจากปากของเขา “ความจริง...ปุณณ์ไม่จำเป็นต้องพูดแบบนั้นกับพ่อก็ได้ เพราะสุดท้ายปุณณ์ก็จะต้องมาเดือดร้อนทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ปัญหาของปุณณ์ด้วยเลย” “หวาครับ...ปัญหาของหวาก็เหมือนปัญหาของผมนั่นแหละ อย่าพยายามปฏิเสธอีกเลย ตอนนี้เราสองคนลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ เราคือครอบครัวเดียวกันแล้ว” เสียงเข้มยืนยันอีกครั้งพลางหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวเต็มตัวเพื่อสบตาเธอได้อย่างเต็มตา คำว่า ‘เรา’ ที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาสร้างความวูบไหวและความอุ่นใจให้แก่ร่างเล็กได้ในคราวเดียวกัน แต่รอยแผลในใจที่ยังคงเด่นชัดทำให้เธอเลือกที่จะมองข้ามความรู้สึกเหล่านั้น ดวงยิหวาจึงได้แต่ก้มหน้าหนีเมื่อไม่อาจสู้ความมุ่งมั่นในแววตาของเขาได้ “คุณป้าก็แค่พูดเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ดวงยิหวาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ภายในใจของเธอเริ่มร้อนรน เมื่อสิ่งที่เธอกังวลดูจะใกล้เข้ามาทุกที “แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะ” ปุณณ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติแต่กลับเร่งให้ความหวาดหวั่นในใจของคนตรงหน้ายิ่งตีตื้น ป้าของเธอไม่ใช่คนพูดอะไรโดยปราศจากการไตร่ตรอง...ข้อนี้เธอรู้ดี และนั่นทำให้เธอยิ่งกลัว “หวา...” พระเอกหนุ่มเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น มือหนาข้างหนึ่งเชยคางของหญิงสาวให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา “ผมจริงจังมากนะกับเรื่องของเรา ได้โปรด...ตกลงแต่งงานกับผมเถอะนะ” หัวใจของคนฟังเต้นแทบไม่เป็นจังหวะอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าเว้าวอนของอีกฝ่าย ดวงตาคมเข้มที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตากลมหวานเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและการร้องขอ ครั้งนี้ร่างบางไม่ได้หลบสายตาไปไหน แต่กลับจ้องลึกลงไปราวกับต้องการค้นคว้าอะไรจากดวงตาของเขา “ทำไม...” ดวงยิหวาครางออกมาเสียงแผ่วด้วยคำพูดที่ทำให้คิ้วหนาของคนฟังขมวดเข้าหากัน “ทำไมปุณณ์ถึงอยากจะแต่งงานนัก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วผู้ชายส่วนใหญ่น่าจะดีใจไม่ใช่เหรอ ที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายปฏิเสธไม่อยากรับความรับผิดชอบแบบนี้ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รัก” ปลายเสียงของประโยคเริ่มสั่นเมื่อใจหวนคิดไปถึงความสัมพันธ์ที่เปราะบางภายในครอบครัวของตน ครอบครัวที่เกิดจากความผิดพลาดจนก่อให้เกิดรอยแผลที่ไม่มีวันจะประสานกันได้ “ผมอาจจะเป็นพวกส่วนน้อยล่ะมั้ง และผมก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบวิ่งหนีปัญหาด้วย” ตาคมเข้มมีรอยร้าวบางอย่างฉายออกมาก่อนที่จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วจนคนมองไม่ทันสังเกต มือหนาฉวยมือบางขึ้นมากุมไว้แน่นก่อนจะเอ่ยต่อ “หวาครับ...ให้โอกาสผมหน่อยได้ไหม ในเมื่อเราสองคนต่างไม่มีใคร แล้วทำไมเราจะลองเดินไปด้วยกันไม่ได้ล่ะ” “คือ...”ดวงยิหวาเอ่ยได้แค่นั้นก่อนจะเงียบไปด้วยความสับสน ปุณณ์มองหญิงสาวอย่างใจเย็น เวลาผ่านไปโดยไม่มีคำพูดใดออกมาจากคนทั้งสองอีก ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ ก่อนที่โทรศัพท์ของฝ่ายชายจะดังขัดขึ้นมา “ว่ายังไงณัฐ อืม...ใช่ เข้ามาได้เลย” ปุณณ์ตอบรับสั้นๆ ก่อนจะวางสายลง แล้วหันไปคว้าเสื้อของตัวเองขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อย “ออกไปด้านหน้ากันเถอะหวา ผมอยากให้หวาเจอใครบางคน” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วจับมืออีกฝ่ายที่ยังมีท่าทีมึนงงให้ก้าวตามตน เมื่อทั้งสองเดินมาถึงห้องรับแขก ดวงยิหวาจึงได้เห็นว่านวลฉวีและกิดาการกำลังนั่งคุยกับณัฐพลและหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งที่เธอไม่เคยรู้จัก ปุณณ์ยิ้มให้กับหญิงสูงวัยคนนั้นแล้วจับจูงร่างบางให้เดินเข้าไปหาพลางเอ่ยแนะนำ “หวาครับ นี่แม่ของผมเอง และนี่ดวงยิหวาครับแม่” “สวัสดีค่ะ” ดวงยิหวายกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยสีหน้ามึนงงและตกใจไม่น้อย หญิงสูงวัยรับไหว้แล้วมองอีกฝ่ายอย่างเมตตา “สวัสดีจ้ะ หน้าตาน่ารักเสียจริงลูกสะใภ้ของแม่” ดวงตากลมเบิกกว้างให้กับสรรพนามของตัวเองที่ออกมาจากปากของหญิงสูงวัย ร่างเล็กตวัดสายตามองร่างสูงอย่างต้องการคำยืนยันอีกครั้ง ซึ่งชายหนุ่มเองก็เข้าใจในท่าทีของเธอ “แม่ของผมมาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาคุยกับป้าของหวาเรื่องการแต่งงานของเรา”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD