อีกเพียงห้านาทีถัดมา อดีตพระเอกหนุ่มก็ปรากฏตัว...
“ยังไม่นอนหรือหวา” ร่างสูงที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังมองมาทางเขาอย่างจับสังเกต
“เรายังไม่ง่วงน่ะ” ดวงยิหวาตอบก่อนจะมองชายหนุ่มที่เดินตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งด้วยท่าทางการเดินที่ต่างจากเดิมไปเล็กน้อยทั้งๆ ที่เขาพยายามฝืนให้เป็นปกติแล้ว หญิงสาวนิ่งคิดสักพักก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เธอลุกขึ้นแล้วตรงไปเปิดเสื้อชายหนุ่มที่ด้านหลังทันที
“ตายจริง” ร่างเล็กอุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นว่ารอยช้ำบนหลังของชายหนุ่มบวมขึ้นมากกว่าครั้งก่อนที่เธอทายาให้ ตากลมโตช้อนมองเขาอย่างรู้สึกผิด ร่างสูงจึงหันไปมองเธอแล้วส่งยิ้มให้อย่างปลอบใจ
“ไม่มีอะไรหรอกหวา ผมเป็นฝ่ายซุ่มซ่ามเดินไปชนเคาน์เตอร์ในห้องน้ำเอง”
“แต่ถ้าไม่มีแผลนี่ ปุณณ์ก็คงไม่เจ็บขนาดนี้”
“หวาครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ” ปุณณ์เอ่ยสำทับพร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายอย่างปลอบใจ แต่สีหน้าของเธอก็ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวเราทายาให้นะ ปุณณ์นั่งก่อนเถอะ” ดวงยิหวาช่วยพยุงร่างสูงไปที่เตียง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตามใจพร้อมกับบอกที่เก็บยาให้คนตัวเล็กได้ทำตามที่ร้องขอ มือบางทายาให้เขาอย่างแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบที่เริ่มสร้างความอึดอัด ดวงยิหวาได้แต่นึกโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุสร้างความเดือดร้อนให้ชายหนุ่มตรงหน้า จนคิ้วเรียวบางเริ่มขมวดเป็นปมมากขึ้นเรื่อยๆ
“คืนนี้อากาศดีนะ”
“ฮะ ปุณณ์ว่าอะไรนะ” ร่างเล็กถามกลับเมื่อรู้สึกว่าได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายแว่วๆ จนทำให้สติกลับมา อดีตพระเอกหนุ่มไม่ตอบ แต่หันมายิ้มให้ดวงยิหวา ก่อนจะสวมใส่เสื้อของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วคว้ายาในมือหญิงสาวไปเก็บ ดวงยิหวาได้แต่มองตามด้วยความงุนงงเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มได้คว้าเสื้อกันหนาวตัวหนามาคลุมไหล่ให้ ก่อนจะดันตัวเธอให้ลุกขึ้นแล้วพาไปยังบริเวณระเบียงของห้อง
“มีอะไรเหรอปุณณ์” ดวงยิหวาถามย้ำพร้อมกับใส่เสื้อให้เรียบร้อยแล้วกระชับผ้าพันคอที่ร่างสูงเพิ่งนำมาให้แน่นขึ้นเมื่อลมหนาวเริ่มปะทะกับผิวกาย ปุณณ์ช่วยจัดความเรียบร้อยให้หญิงสาวก่อนจะสวมหมวกไหมพรมให้เธอเป็นชิ้นสุดท้าย แล้วเอ่ยประโยคร้องขอแทนคำตอบ
“รอตรงนี้ก่อนนะหวา”
“อ้าว เดี๋ยวสิ” ดวงยิหวาร้องเรียกอดีตพระเอกหนุ่มที่เดินกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดไฟจนทำให้ความมืดเข้าปกคลุม ร่างเล็กปรับสายตาอยู่สักพักจึงเห็นว่าชายหนุ่มเดินตรงกลับมาหาเธอแล้ว เขาจับไหล่ของเธอให้หันหน้าออกไปทางระเบียงแล้วยืนซ้อนหลังพร้อมกับกระซิบที่ข้างหู
“เงยหน้าสิหวา”
ดวงยิหวาเงยหน้าตามที่เขาบอก ดวงตากลมโตเป็นประกายทันทีเมื่อได้เห็นความงดงามของท้องฟ้าตรงหน้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพราวด้วยจำนวนที่มากมายจนเกินจะนับไหว แสงสว่างของดาวที่ตัดกับสีดำของท้องฟ้าโดยไร้แสงไฟอย่างในเมืองมารบกวนยิ่งทำให้ดวงดาวเหล่านั้นเด่นชัดขึ้นจนดึงดูดร่างเล็กให้สาวเท้าเข้าหาอย่างไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิด
“สวยจังเลย...ปุณณ์ดูสิ ดาวพวกนี้ดูเหมือนใกล้จนเราสามารถคว้าเอามาไว้ได้เลย ไม่เหมือนกับตอนที่ดูเวลาอยู่กรุงเทพฯ เลยเนอะ”
ร่างเล็กเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ส่งไปให้ชายหนุ่ม ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับความงดงามของธรรมชาติต่อ มือบางเอื้อมขึ้นทำท่าทางราวกับไขว่คว้าดาวมาไว้ในมืออย่างสนุกสนาน สำหรับที่นี่...ดวงดาวทุกดวงช่างดูใกล้กับเธอมากเกินกว่าที่เธอจะเคยคิดฝันว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับดวงดาวที่เต็มไปด้วยแสงสว่างเหล่านั้นได้ใกล้ขนาดนี้
“หวาชอบดูดาวเหรอ” ปุณณ์เอ่ยถามพร้อมกับก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง แต่แล้วคิ้วหนาก็ต้องขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่ารอยยิ้มที่สดใสของหญิงสาวค่อยๆ หายไปหลังจากที่ได้ยินคำถามของเขา
“ชอบหรือเปล่าเหรอ...”ดวงยิหวาทวนคำถามเบาๆ ในขณะที่แววตาของเธอเริ่มหม่นอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยใบหน้าที่ไม่หลงเหลือรอยยิ้มอีกแล้ว
”จริงๆ แล้วเราก็ไม่แน่ใจหรอกว่าชอบหรือเปล่า บางที...มันอาจจะเป็นแค่ความหวังไร้สาระของเด็กที่ไม่ยอมรับความจริงคนหนึ่งก็ได้”
ร่างเล็กเอ่ยต่อพร้อมกับทบทวนความทรงจำบางอย่างที่ไหลเข้ามาในห้วงคำนึง ก่อนจะหันไปสบตากับร่างสูงที่มองมาทางเธอด้วยความใส่ใจ
“ปุณณ์เคยได้ยินความเชื่อเกี่ยวกับดาวตกใช่มั้ย ว่าถ้าเราได้เห็นดาวตกแล้ว เราจะอธิษฐานขอพรได้หนึ่งข้อ และพรข้อนั้นก็จะเป็นจริงในที่สุด”
“เคยสิ”
“ตอนเด็กๆ เราเคยมีความหวังนะ เราเคยหวังเอาไว้ว่าอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนคนอื่นๆ กับเขาสักครั้ง ตอนนั้นเราเลยไปยืนรอดาวตกอยู่ตรงหน้าต่างทุกคืนเลย ทุกคืน...จนถึงวันที่พ่อกับแม่เลิกกัน ทุกคืน...จนถึงวันที่แม่ไม่อยู่กับเราแล้ว เราถึงได้เข้าใจว่า แค่การจะได้ขอพรสักครั้ง คนอย่างเราก็ยังไม่ได้รับโอกาสให้ทำเลย ตั้งแต่วันนั้น...เราก็เลิกหวังและไม่สนใจจะมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนอีกต่อไป”
ดวงยิหวาเอ่ยเล่าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอีกครั้ง แต่คราวนี้ประกายในดวงตาของหญิงสาวได้เลือนหายไป กลายเป็นร่องรอยของความร้าวรานที่เข้ามาแทนที่
“อืม...แล้วหวาเคยได้ยินเรื่องดาวประจำตัวหรือเปล่า”
ปุณณ์เอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ ใบหน้านวลจึงหันกลับมามองเขาด้วยแววตาสงสัยก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ดาวประจำตัว...คืออะไรเหรอ”
“เรื่องที่คนเราจะมีดาวประจำตัวอยู่ดวงหนึ่ง เป็นดาวดวงที่อยู่คู่กับเรามาตั้งแต่เกิดที่เราสามารถจะขอพรอะไรกับดาวดวงนั้นก็ได้ แล้วสุดท้าย...เราจะสมหวัง”
อดีตพระเอกหนุ่มเป็นฝ่ายเล่าบ้าง พร้อมกับทอดมองหญิงสาวด้วยแววตาอ่อนโยนที่แฝงประกายวิบวับบางอย่างจนดึงดูดความสนใจของคนฟังได้ไม่น้อย
“มีเรื่องเล่าแบบนี้ด้วยเหรอ เราไม่เคยได้ยินหรอก”
“มีสิ อย่างตัวผมเองก็มีดาวประจำตัวของผม ส่วนตัวหวาเองก็มีดาวประจำตัวของหวาเหมือนกันนะ” ร่างสูงยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของหญิงสาว คนมองเริ่มคิดตามก่อนจะหรี่ตามมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
“ปุณณ์พูดจริงเหรอ ไม่น่าเชื่อนะเลยว่าปุณณ์จะเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย”
“อ้าว...นี่หวาไม่เชื่อผมเหรอ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะชี้ให้ดู นั่นไง ดาวประจำตัวของผม”
ดวงยิหวามองตามมือหนาที่ยกขึ้นไปในอากาศ คิ้วบางขมวดเข้าหันอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มด้วยแววตาทั้งประหลาดใจทั้งขำขัน
“นั่นมันดาวเหนือไม่ใช่เหรอปุณณ์”
หญิงสาวถามกลับในขณะที่ชายหนุ่มยักไหล่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ คนมองจึงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นคนตรงหน้าในอีกมุมที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“หัวเราะอะไรกันหวา ถ้าหวายังไม่มั่นใจ ผมให้ยืมดาวของผมอธิษฐานก่อนก็ได้นะ”
“หืม...ของแบบนี้ยืมกันได้ด้วยเหรอ”
หญิงสาวถามกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับมองปุณณ์อย่างเริ่มรู้ทัน ส่วนคนถูกมองยังคงตีหน้าเนียนทำท่าให้น่าเชื่อถือขึ้นมาอีกครั้ง
“ได้สิ เจ้าของอย่างผมอนุญาตแล้ว รับรองหวาไม่ผิดหวังแน่”
“อืม...ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเราขอยืมดาวของปุณณ์ขอพรสักข้อนะ”
“เชิญเลยครับ”
ปุณณ์ผายมือออกไปข้างหนึ่งพร้อมกับก้มศีรษะให้ดวงยิหวา ร่างเล็กจึงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหันตัวพร้อมกับเงยหน้าไปทางดวงดาวที่สุกสว่างที่สุดบนท้องฟ้า มือบางทั้งสองข้างยกขึ้นมาประสานที่ช่วงอก ก่อนที่เปลือกตาของหญิงสาวจะปิดลงเมื่อเธอเริ่มกล่าวคำอธิษฐานแบบเด็กๆ ที่เธอเก็บไว้ในใจมาตลอดกว่าสิบปี...
‘ขอให้หวามีครอบครัวที่อบอุ่นด้วยเถิด’