ร่างบางทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างแรงก่อนจะยกใบทะเบียนสมรสขึ้นมาดูอีกครั้งด้วยจิตใจที่สับสน หญิงสาววางมันลงข้างตัวพลางถอนหายใจออกมาด้วยความฟุ้งซ่านเมื่อต้องมาเผชิญกับสิ่งที่พยายามหลีกหนีมาทั้งชีวิตอย่างไม่อาจตั้งตัวได้ ทำไมทุกอย่างมันถึงได้ลงเอยแบบนี้นะ ทำไมเรื่องราวมันต้องบานปลายมาจนถึงขนาดนี้ด้วย ในเมื่อชีวิตของเธอไม่เคยคิดถึงการแต่งงานเลยสักนิด ไม่เลย...แม้เพียงสักครั้ง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนถูกเปิดพร้อมการปรากฏตัวของสาวใหญ่ผู้เป็นป้า นวลฉวีส่งสัญญาณให้กิดาการที่ประคองเธออยู่ว่าให้ออกไปรอข้างนอก ซึ่งอีกฝ่ายก็เข้าใจ หญิงสูงวัยทอดสายตามองหลานสาวที่เบือนหน้าหนีไปจากเธอด้วยความเห็นใจแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด ก่อนจะก้าวไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วใช้มือลูบหัวหลานสาวช้าๆ ด้วยความอ่อนโยน
“หนีขึ้นมาแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะลูก” คนเป็นป้าเอ่ยตำหนิร่างเล็กที่ปลีกตัวขึ้นมาบนบ้านทันทีที่ทั้งหมดกลับมาถึงบ้านหลังจากเสร็จธุระที่อำเภอโดยไม่ได้ล่ำลาใคร หากแต่น้ำเสียงที่ใช้นั้นยังคงนุ่มนวลเมื่อรู้ดีว่าเรื่องที่เธอเพิ่งบังคับหลานสาวส่งผลต่อจิตใจของสาวน้อยมากเพียงใด
“ทำไมคุณป้าต้องบังคับหวาด้วยคะ” ดวงยิหวาถามกลับ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเสียใจและหวาดหวั่น ปลายเสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ “คุณป้าก็รู้ว่าหวาไม่อยากแต่งงาน”
“หวา...เชื่อป้านะลูกว่าการแต่งงานมันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”
นวลฉวีตอบพร้อมกับค่อยๆ ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแล้วลูบหลังไปมาเมื่อเห็นว่าร่างเล็กเริ่มสั่นเทา
“ไม่...ไม่จริงหรอกค่ะ คุณป้าก็รู้ว่ามันไม่จริง” ดวงยิหวาสั่นหน้าไปมาในอ้อมอกของป้า ภาพความทรงจำของหญิงสาวอมทุกข์ที่มีใบหน้าคล้ายเธอลอยเด่นขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง หญิงสาวที่มีทุกอย่างไว้ในครอบครอง...ทั้งงานแต่งงานและทะเบียนสมรส แต่เธอคนนั้นกลับไม่เคยมีความสุขเพราะมันเลยสักนิด
“หวา...อย่าปล่อยให้ความทรงจำในอดีตมาคอยฉุดรั้งอนาคตของหนูสิลูก” นวลฉวีเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้ดีถึงความฝังใจของหญิงสาวที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ภาพของนวลวรรณ....น้องสาวของเธอเองก็ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเธอเช่นกัน หญิงสาวที่ทำทุกอย่างเพื่อผูกมัดผู้ชายที่เธอรัก แต่สุดท้ายก็ได้แค่ตัวและความผูกพันทางกฎหมาย แต่ไม่เคยได้หัวใจของอีกฝ่ายมาไว้ในครอบครอง
“หวากลัวค่ะป้า หวากลัว” ร่างเล็กเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงตื่นๆ
“หวาไม่อยากผูกพันกับใคร ไม่อยากใช้วิธีแบบนี้ผูกมัดกับใครทั้งนั้น คุณป้าก็รู้ว่าผลของมันน่ากลัวแค่ไหน ยิ่งกับคนที่ไม่ได้รักกันด้วยแล้ว การที่ต้องมาแต่งงานกันแบบนี้ มันยิ่งน่ากลัวนะคะ”
“หวา...ถ้าป้าไม่มั่นใจ ป้าก็ไม่ปล่อยมือคู่นี้ของหนูไปให้ใครดูแลหรอกนะลูก” นวลฉวีย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น คราแรกเธอเองก็ไม่คิดจะบีบบังคับหลานสาวของเธอแบบนี้ หากแต่เรื่องที่เกิดขึ้นจากฝีมือของอดีตน้องเขยนั้นทำให้เธอได้เห็นถึงข้อเท็จจริงในหลายๆ อย่างที่อดีตพระเอกหนุ่มชี้ให้เธอเห็นตอนที่พูดคุยกันส่วนตัว เธอจึงเริ่มคล้อยตามถึงหนทางการแก้ไขปัญหาที่เขาได้เตรียมการเอาไว้ รวมถึงภาพการปกป้องของเขาที่มอบให้แก่หลานสาวยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าเธอเลือกคนไม่ผิด
“แต่หวา...”
“เชื่อป้านะลูก ค่อยๆ เปิดใจเรียนรู้กันไปไม่ต้องเร่งรีบ หนูเองก็อย่าปิดกั้น ให้โอกาสอีกฝ่าย หนูอาจจะได้เจอความรักดีๆ อย่างที่หนูคาดไม่ถึงก็ได้นะ”
“ถ้าอย่างนั้นมันก็ยิ่งน่ากลัวไม่ใช่เหรอคะ” ดวงยิหวาตอบกลับเสียงแผ่ว นวลฉวีจึงคลายอ้อมกอดแล้วสบตาหลานสาวของตนอย่างแปลกใจ จนอีกฝ่ายต้องหลุบตาหลบก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมา
“หวาเคยเห็นคุณป้าแอบร้องไห้ตอนที่ดูรูปของคุณลุง”
“โธ่...เด็กโง่เอ๊ย” คนเป็นป้ากล่าวยิ้มๆ พลางลูบหัวหลานสาวอย่างเอ็นดูเมื่อเริ่มเข้าใจความคิดอีกด้านของเธอ“น้ำตาไม่ใช่เครื่องหมายของความอ่อนแอเสมอไปหรอกนะลูก”
ตากลมโตตวัดขึ้นมองป้าของเธออย่างไม่เข้าใจ เมื่อเธอคิดมาตลอดว่าป้าของเธอยังคงเสียใจกับการจากไปของลุงเขยที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจจะรักษาได้ทัน
“ที่ป้าร้องไห้เป็นเพราะคิดถึงความสุขในช่วงเวลาที่ป้าได้อยู่กับลุงต่างหากล่ะลูก ช่วงเวลาอิ่มเอมที่ทำให้ป้ายังคงซาบซึ้งและคิดถึงลุงเขาอยู่เสมอ ป้าถึงอยากให้หวาได้มีโอกาสพบเจอกับความทรงจำดีๆ แบบนั้นบ้างยังไงล่ะลูก”
ดวงยิหวาคิดตาม แต่ยังมีท่าทีดื้อดึง ความเจ็บปวดที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจมานานทำให้เธอยังไม่อาจเปิดใจต่อเรื่องเหล่านี้ได้โดยง่าย
“ป้าเชื่อว่าปุณณ์จะสามารถสร้างช่วงเวลาเหล่านั้นให้หวาได้ รวมถึงครอบครัวของเขาด้วย คุณอัญชรีย์แม่ของปุณณ์เองเขาก็ดูเอ็นดูหนูมากนะ หวาโชคดีมากเลยรู้ไหม”
ดวงยิหวานิ่งเงียบอย่างยอมรับความจริงในข้อนี้ มารดาของอดีตพระเอกหนุ่มดูใจดีและเปิดใจให้กับเธอมากจนเธอเองยังคาดไม่ถึงว่าคนแปลกหน้าเช่นเธอที่หลุดเข้าไปในชีวิตของพวกเขาจะได้รับการต้อนรับที่ดีขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เธอมีส่วนทำให้พวกเขาต้องพบกับความเดือดร้อน
“ป้าว่าหนูหยุดเป็นเด็กขี้แยและเตรียมตัวเก็บของดีกว่า พรุ่งนี้หนูต้องออกเดินทางแต่เช้านะลูก” นวลฉวีว่าพลางเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้านวล คำพูดของผู้เป็นป้าทำให้หลานสาวเริ่มใจหายขึ้นมาอีกครั้ง ใจหาย...ที่เธอจะต้องจากบ้านหลังนี้...จากป้าของเธอไป เพื่อร่วมต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวที่เธอยังไม่คุ้นเคย
“หวาไม่อยากไปเลยค่ะ ถ้าหวาไม่อยู่แล้วใครจะอยู่ดูแลคุณป้าล่ะคะ”
หลานสาวผวาเข้ากอดป้าของตนอย่างออดอ้อน จริงอยู่ว่าปลายทางอย่างเชียงใหม่ไม่ถือว่าไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก เพียงแต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะต้องอยู่ห่างจากป้าของเธอ โดยเฉพาะในเวลาอันรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
“กิดาก็อยู่นี่ จะกลัวอะไร อีกอย่างป้าคิดว่าถ้าอาการของป้าดีขึ้นอีกหน่อย ป้าจะไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนอย่างที่ป้าเคยคิดเอาไว้มาสักพักแล้วละ ตอนนี้หวามีคนดูแลแล้ว ป้าจะได้หมดห่วงเสียที”
“ปฏิบัติธรรมหรือคะ”ดวงยิหวาทวนคำอย่างแปลกใจเมื่อเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เธอคิดมาตลอดว่าป้าของเธอรักบ้านหลังนี้มากเพราะที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำของลุงเขย เธอจึงรู้สึกผิดมากเมื่อรู้ว่าป้าจำเป็นต้องจำนองบ้านหลังนี้เพื่อช่วยส่งเสียเธอเรียน เธอจึงเอาเงินเก็บทั้งหมดไปไถ่ถอนบ้านก่อนที่จะรู้ว่าป้าของเธอป่วยจนจำเป็นต้องผ่าตัดด่วน
“ใช่จ้ะ เพราะฉะนั้นหวาไม่ต้องเป็นห่วงป้าหรอกนะ ป้าไม่เหงาหรอก ส่วนหนูก็ตั้งใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวนะลูก ป้าเชื่อว่าหลานของป้าจะต้องเจออนาคตที่สดใสแน่ๆ ขอแค่หนูยอมเปิดใจแค่นั้นก็พอ นะลูกนะ”
ดวงยิหวานิ่งไปอีกครั้งและไม่ยอมรับปาก คนมองจึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่หลานเขยว่าจะสามารถทำตามคำที่ให้ไว้กับเธอ เพื่อรักษาบาดแผลในใจของคนตรงหน้า เด็กสาว...ที่เป็นดังดวงใจที่เหลือเพียงดวงเดียวของเธอในยามนี้
“ผมแน่ใจแล้วครับคุณป้า... ผมเข้าใจเรื่องรอยแผลในครอบครัวดีว่ามันสร้างความเจ็บปวดให้กับชีวิตคนคนหนึ่งได้มากมายขนาดไหน ผมสัญญานะครับว่าผมจะดูแลหวาให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ คุณป้าไม่ต้องห่วงนะครับ...จากนี้ไปหวาจะเป็นเหมือนดวงใจของผมเหมือนกัน”
อดีตพระเอกหนุ่มเก็บของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าใบใหญ่ก่อนจะรูดซิปปิดกระเป๋าให้สนิท ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องนอนของตัวเองอย่างสำรวจตรวจตราอีกครั้งจนมั่นใจว่าเขาได้ตระเตรียมทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย แววตาของเขาไม่ได้มีร่องรอยของความอาวรณ์เลยสักนิด ร่างสูงยืดตัวและลุกขึ้นยืนช้าๆ พร้อมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะข่มความเจ็บเอาไว้แล้วเปิดประตูห้องเพื่อไปหามารดาที่อยู่ภายในห้องนั่งเล่นด้านล่าง
“เก็บของเสร็จแล้วหรือลูก” อัญชรีย์เอ่ยทักลูกชายของตนก่อนที่เขาจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เธอ
“เรียบร้อยแล้วครับแม่” ปุณณ์ตอบก่อนจะเอี้ยวตัวโอบกอดมารดาของตน “ขอบคุณแม่อีกครั้งนะครับที่ยอมรับการตัดสินใจของผม”
“แม่พร้อมจะอยู่ข้างลูกเสมอจ้ะ” คนเป็นแม่ตอบด้วยประโยคเดิมที่เธอพูดกับลูกชายเมื่อช่วงเช้าที่เขาโทร.หาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังก่อนที่ใจจะหวนคิดไปถึงลูกสะใภ้หมาดๆ ของตน
“หนูหวาเขาน่าสงสารมากเลยนะลูก” อัญชรีย์รำพึง ตากลมโตสุกใสที่มีรอยเศร้าหมองแฝงอยู่ยังคงเด่นชัดในความทรงจำ จนเมื่อได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวที่ลูกชายบอกเล่า ตัวเธอจึงยิ่งเห็นใจสาวน้อยคนนั้นมากขึ้นไปอีก
“ใช่ครับแม่” ปุณณ์ตอบรับก่อนจะผละออกแล้วทำเพียงกุมมือของมารดาไว้เท่านั้น ใจของเขาเริ่มหวนไปถึงหญิงสาวที่กำลังถูกพูดถึง
“น่าสงสาร...แต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งซ่อนอยู่ แถมยังห่วงใยคนอื่นมากกว่าตัวเองด้วย” ร่างสูงเอ่ยออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มบางเบาถูกจุดขึ้นที่มุมปากของเขาจนคนเป็นแม่มองอย่างสนใจ
“วันนี้ตอนที่ไปโรงพยาบาลด้วยกันเพื่อไปพาป้านวลออกจากโรงพยาบาล ผมนึกห่วงว่าหวาจะกดดันหากต้องเจอกับแววตาที่คอยแต่จ้องจับผิดของคนอื่น แต่ผมกลับคิดผิด... หวาในตอนนั้นสนใจเพียงแค่เรื่องของป้านวลจนลืมปัญหาของตัวเองไปซะสนิท เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการพยายามหาทางออกเรื่องค่ารักษาด้วยวิธีการของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ตอนแรกหวาจะไม่ยอมรับเงินของผมด้วยนะครับ ผมคะยั้นคะยออยู่ตั้งนานกว่าหวาจะตกลง เมื่อเห็นว่าไม่สามารถหาทางออกอื่นได้จริงๆ” ปุณณ์เอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ท่าทางกระวนกระวายของหญิงสาวไม่ใส่ใจต่อสายตาเดียดฉันท์ของคนรอบข้างยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา
อัญชรีย์มองแววตาของลูกชายที่ฉายความอ่อนโยนออกมาอย่างเข้าใจ เธอรู้ดีว่าบุตรชายของเธอให้ความสำคัญกับคำว่า ‘ครอบครัว’ เพียงใด เธอจึงไม่แปลกใจหากว่าการกระทำของสาวน้อยคนนั้นจะสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ลูกชายของเธอได้ อีกทั้งความรักความเข้าใจของสองป้าหลานที่มีให้กันนั้น แม้ในเวลาสั้นๆ...เธอเองก็ยังสัมผัสได้
“แม่ก็พอดูออกอยู่นะว่าหนูหวาเป็นเด็กน่ารักคนหนึ่งเลยละ ว่าแต่เราเถอะ ไปมัดมือชกเขาแบบนั้นไม่กลัวเขาโกรธเอาเหรอ” คนเป็นแม่ทำน้ำเสียงคาดโทษ ตอนแรกเธอคิดว่าลูกชายได้ตกลงกับอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ท่าทีต่อต้านของสาวน้อยคนนั้นทำให้เธอรับรู้ได้ในทันทีว่าดวงยิหวาไม่ได้เต็มใจให้การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นเลยสักนิด
“ก็คงจะมีบ้างแหละครับ แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ให้ได้” ชายหนุ่มตอบรับ หากแต่ไม่ได้รู้สึกหนักใจ แม้จะกำลังคิดถึงแววตาที่ยังแฝงความดื้อดึงของหญิงสาว ใบหน้าเข้มฉายแววจริงจังขึ้นมาอีกครั้งจนคนมองสะท้อนใจเมื่อรับรู้ถึงเหตุผลลึกๆ ของลูกชายตน
“เมื่อครู่พี่ปัณเขาโทร.มาด้วยนะ บอกว่าเจ้าตัวเล็กน่ะดีใจใหญ่ที่รู้ว่าน้าชายของเขาจะกลับไปพร้อมกับยายด้วย นี่ถ้ารู้ว่าจะมีน้าสะใภ้ตามไปอีกคนคงจะดีใจมากแน่ๆ รายนั้นน่ะเขาชอบเวลามีคนอยู่ที่บ้านเยอะๆ”
ตาคมอ่อนแสงขึ้นมากเมื่อคิดถึงคนที่มารดากล่าวถึง ชายหนุ่มจึงหันไปยิ้มให้มารดาเพื่อตอบรับคำบอกเล่านั้น
“และพ่อ...เขาก็โทร.มาด้วยนะลูก เขาเป็นห่วงลูกนะ” อัญชรีย์เอ่ยพลางบีบมือลูกชาย รอยยิ้มของคนฟังค่อยๆ จางไปช้าๆ กลายเป็นใบหน้าเฉยชาเข้ามาแทนที่
“ฝากขอบคุณเขาด้วยนะครับ” ปุณณ์เอ่ยเสียงเรียบ อัญชรีย์พยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ลูกชายทั้งที่ภายในใจเริ่มหนักอึ้ง คงไม่ใช่แค่ลูกสะใภ้ของเธอเท่านั้นที่มีรอยบาดแผล เมื่อลูกชายของเธอเองก็มีรอยแผลลึกที่ต้องได้รับการดูแลเช่นเดียวกัน