บทที่ 15 ให้มันเป็นหนี้

1823 Words
ช่วงสายของอีกวัน บาสและม่อนกลับกันไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าของห้องที่ยังคงนั่งอยู่ตรงจุดเดิม หลังจากขึ้นกลับมาจากส่งเพื่อนเสร็จ เมื่อคืนทั้งเธอและเพื่อนปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องที่ยังเครียดจนถึงตอนนี้ กว่าจะพากันนอนก็เกือบเช้าถึงได้ตื่นสาย และเพราะม่อนมีธุระกับที่บ้านต่อเลยไม่ได้อยู่ทานข้าวเช้าด้วยกัน ส่วนบาสก็เหมือนจะติดร่างแหไปด้วยเพราะห่วงว่าม่อนจะกลับบ้านคนเดียว เสียงโทรศัพท์ข้างกายเรียกสติของคนกำลังนั่งเหม่อ คนตัวเล็กวางแก้วกาแฟในมือลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าใครโทรมาถึงได้ยิ้มกว้าง “แม่คะ..” (เป็นไงบ้างลูก) “สบายดีค่ะแม่ แม่ละคะ สายแล้วทานข้าวเช้ารึยัง” (ทานแล้วจ้ะ ป้ามนเขาเอาแกงหน่อไม้มาให้ อร่อยเชียว กินแล้วนึกถึงแพง) โครงหน้าหวานละมุนโอบล้อมด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง จังหวะเปลือกตาปิดลงเหมือนจะมีน้ำตาด้วย เธอพยายามเก็บความรู้สึกและเสียงด้วยใช้นิ้วบีบจมูก สลับกับแหงนหน้าขึ้น “เทอมหน้าแพงจะกลับไปหาแม่นะ” (เทอมหน้าเลยเหรอ อีกตั้งนานไม่ใช่เหรอแพง) “แพง...” (งานยุ่งเหรอลูก เงินที่แม่ให้ไปไม่พอใช้สินะ) แต่เหมือนควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อคำถามของปลายสายกระตุ้นให้มันหล่นแหมะ ลงบนหลังมือ พะแพงเงียบไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่เลือกที่จะถามกลับไปแทน “แม่รู้แล้วเหรอ ใครบอกคะ” (แพงเป็นลูกแม่นะ ทำไมแม่จะไม่รู้ อีกอย่างลุงก็เห็นว่าแพงเอาเงินให้น้องอยู่บ่อยๆ น้องมันคงไปเล่าให้ลุงฟัง ว่าแต่ได้ไปหาเพชรบ้างไหมลูก ถึงป่านนี้แม่ยังติดต่อน้องไม่ได้เลย ลุงเขาบอกว่าตั้งแต่เพชรขอค้างหอพักกับเพื่อนลุงก็แทบไม่ได้เจอ และช่วงนี้เขาตระเวนออกขายของแบบงานคาราวาน บางทีไกลกลับบ้านดึกก็หาที่พักใกล้ๆ เลยไม่รู้ว่าน้องกลับบ้านบ่อยแค่ไหน) สาวเจ้าชะงัก เธอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ทั้งที่รับปากเอาไว้ว่าจะไปดูน้องชายให้ มัวแต่วุ่นวายเรื่องของตัวเอง ถึงได้ถอดสมองออกจากเรื่องไปเลย “แพงจะไปวันนี้ค่ะแม่ เจอน้องแล้วแพงจะส่งข่าวนะคะ” (จ้ะ หนูก็อย่าหักโหมมากนะลูก แม่เป็นห่วง) “ค่ะแม่ อ๋อแม่.. จากนี้ไปไม่ต้องส่งเงินมาให้แพงแล้วนะ” (เอ๋ ทำไมล่ะ) “ก็ในเมื่อแม่รู้ว่าแพงไม่พอ และแพงทำงาน แม่ก็เก็บเอาไว้เถอะค่ะ ทำงานแล้วจะขอแม่อีกทำไม” อันที่จริงเธอกะจะใช้เงินนี้ของเขา เจ้าของที่ต้องการให้คืนด้วยร่างกายซึ่งยังบริสุทธิ์แลกแทน แน่นอนเธอจะไม่ทำ และจะไม่คืนมันแล้วด้วย จะทำตามอย่างที่ลูกน้องเขาแนะนำ แถมยังรู้สึกเสียใจด้วยซ้ำ ที่เลือกอีกอย่างนึง ถ้าตอนนั้นเธอนิ่งเสียไม่ขอให้เขาไปรายงานนาย เรื่องจะเป็นแบบเมื่อคืนไหมนะ เขาจะโทรมาหาเธอไหม (เอางั้นเหรอ แพงจะพอใช่ไหม) “พอค่ะแม่ แพงดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ” (มาสั่งแม่ไม่ให้ห่วงได้ยังไง เรานี่... เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่แพง แค่นี้ก่อนนะ ป้ามนเขามา เห็นถือถุงมาด้วยไม่รู้เอาอะไรมาให้อีก) “ค่ะแม่ ดูแลตัวเองด้วยนะ” วางสายจากแม่เสร็จ คนตัวเล็กก็พาร่างที่หนักอึ้งไปคว้าผ้าเช็ดตัว แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเลยทันที เธอกะจะไปหาน้องชายที่วิทลัย ไม่อยากรอถึงตอนเย็น ช่วงนี้ไม่อยากไปไหนมาไหนตอนมืดค่ำหรือดึกดื่น พักกลางวัน “อะไรหอบมึงมาทานข้าวกับกูได้เนี่ย” เหนือเมฆเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้า ที่เดินเข้ามานั่งได้ไม่นาน และคว้าเมนูไปดู ส่วนลลิสาที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักคนยังอุตส่าห์หันมาขึงตาใส่ เป็นการต้อนรับเขาที่น่าประทับใจมาก “ว่างก็มาได้ จะเป็นอะไรไป” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม หันไปชี้เมนูให้พนักงาน เหนือเมฆส่ายหน้าพลางยิ้มให้กับการกระทำของเขาที่มาหลังแต่กลับสั่งก่อนคนอื่น ด้วยเมนูเดิมไม่เคยเปลี่ยน จนกระทั่งได้สิ่งที่ต้องการกันทุกคนพนักงานจึงจะเดินหายไป พวกเขาถึงเริ่มบทสนทนาเฉพาะเพื่อนคุยกันได้ “สรุป มึงจะเอาเด็กคนนั้นให้ได้?” เป็นการเปิดประเด็นที่ทำเพื่อนสาวอย่างลลิสาถึงกับชะงัก ตัดบทปลายสายที่เดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนจากต่างประเทศทันที เพื่อมาสนใจเขา หล่อนยกมือทาบอก แสร้งหันมองคนถูกถามพร้อมทำหน้าแหยง ส่วนอาคีรานอกจากจะทำหน้ามึนใส่แล้ว ยังเลิกคิ้วสูงอีก พลางมองคนทั้งคู่สลับกัน “ถามกู?” “อ้าว ไอ้นี่...ก็ต้องมึงสิ ให้กูไปถามใคร เชฟในครัวเรอะ?” “ไม่รู้ดิ เห็นถามเฉยๆ ไม่เอ่ยชื่อ” “ไม่กวนได้ไหมคี สาก็อยากรู้เหมือนกัน นี่ตอนวันเกิดสายังไม่เคลียร์กันเลยนะ เค้กก็ไม่ได้เป่า มัวสนใจแต่คนอื่น” ประโยคหลังหล่อนทำหน้ากระเง้ากระงอด ร่างสูงมองหน้า พลันถอนหายใจพรืด เขามันเป็นคนจำพวกขี้รำคาญซะด้วย หากไม่เห็นเป็นเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาลคงตัดขาดไปแล้ว “อยากตามเฉยๆ ไม่ได้หรือยังไง” จึงตอบสั้นๆไปแค่นั้น ทั้งที่จริงเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้สักนิด สำหรับเขามันคือเรื่องที่ไร้สาระเกินกว่าจะออกมาพูด แค่เรื่องงานก็เต็มพื้นที่ในสมอง อีกอย่างเรื่องนี้เปรียบเสมือนเป็นเพียงอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดำมืดของเขาก็เท่านั้น และชีวิตด้านมืดก็ไม่ควรนำออกมาในที่สว่าง ทว่าแลดูเพื่อนๆสนใจนัก และนั่นทำให้เริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยจะอยากกินของที่สักไปเมื่อกี้สักเท่าไหร่แล้ว “แต่ดูท่าเด็กนั่นจะหยิ่งพอตัวเลยนะ” “เขาไม่ได้เรียกว่าหยิ่งหรอกสา บางทีเด็กเขาไม่มีรสนิยมอะไรแบบนี้ น้องยังเรียนอยู่เลย อีกอย่างเลือกทำแผนกในครัว ทั้งที่สวยเช้งซะขนาดนั้น คิดดูสิ” ทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าของคนที่นั่งฝั่งซ้ายลลิสาถึงกับเบ้ปาก หล่อนไม่ชอบสักเท่าไหร่เวลาเพื่อนชมคนอื่น ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ยิ่งทำให้เกิดความหมั่นไส้ อาจจะเพราะติดนิสัยถูกตามใจตั้งแต่เล็ก เนื่องจากเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม “น้องเขาไม่ยอม คีก็อย่าไปบังคับเขาเลย สาเห็นผู้หญิงมากมายที่คีเคยควง เธอเหล่านั้นล้วนแต่เต็มใจให้ไม่ใช่เหรอ จะวิ่งตามทำไมแค่เด็กกะโปโล” “สา...” ไม่มีคำตอบกลับจากเขา แน่นอนเหนือเมฆถึงได้เรียกชื่อเพื่อนหวังเตือนสติ ว่าบางอย่างก็ไม่ควรล้ำเส้น ไม่อย่างนั้นความเดือดร้อนจะมาตกลงที่เธอ เขาไม่อยากให้กลุ่มตัวเองแตกคอ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาคีรามีแววตาแบบนี้ และทุกครั้งเขามักจะหายเข้ากลีบเมฆแบบไม่ทราบสาเหตุ เพราะขุ่นเคืองที่เพื่อนพูดไม่คิดนี่แหละ ทั้งอันที่จริงเป็นเพียงเจตนาที่ดี เหมือนเพื่อนเตือนเพื่อนทั่วไปก็เท่านั้น หากแต่เจ้าตัวไม่ได้คิดเช่นนั้น เขามักจะเป็นคนเอาแต่ใจ และเข้าถึงยากเสมอ ทว่าพวกเขานั้นกลับชิน จะมีก็แต่ลลิสาที่ยังติดพูดมากอยู่บ้างบางครั้ง เนื่องจากนิสัยหญิง หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จต่างคนก็ต่างกลับ ทั้งคู่เลือกเดินไปส่งลลิสาที่รถก่อน เนื่องจากวันนี้หล่อนเรียกรถมารับเพื่อไปส่งที่สนามบินและเดินทางต่อกลับฝรั่งเศสเลย “ส่งแค่นี้นะบี๋ ถึงฝรั่งเศสแล้วโทรมาด้วยล่ะ” เหนือเมฆโบกมือ หล่อนยิ้มให้พลางหันไปหาอีกคน ที่เอาแต่ยืนมองโทรศัพท์ไม่ได้สนใจหล่อนสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ที่เผลอไปทำเขาเคือง ทว่าคนแบบหล่อนหาสะทกสะท้านไม่ ยังคงทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไปก่อนนะคี ไว้ถึงสาจะบอกลงกลุ่ม” “อืม..” ถึงท่าทีของเขาจะได้กลับมาแค่การพยักหน้า แต่หล่อนก็ถือว่าเขารับรู้แล้ว จึงเดินไปกอดแบบหลวมๆ ทั้งเขาและกับอีกคน “เรื่องแข่งรถยังไงนะ จะยังเป็นสปอนเซอร์อยู่?” “อืม” “รอบที่แล้วฟีดแบคเป็นไง” “ใช้ได้” “อ่า” บทสนทนาของพวกเขาจบเพียงแค่นั้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เดินมาถึงรถพอดีซึ่งจอดรออยู่แล้ว อาคีราพยักหน้าให้เพื่อนเป็นการบอกลาตอนเหนือเมฆเดินเลยไป เขาขึ้นไปนั่งประจำที่ พร้อมใบหน้าอีกด้านหนึ่งของเขา ด้วยคลื่นที่ไม่ปกติจนปุณสามารถรับรู้ได้ เขาเหลือบมองนายผ่านกระจกทันทีที่ปิดประตูลงหลังขึ้นมานั่งประจำคนขับ เมื่อเห็นสีหน้าท่ามกลางความเงียบจึงเอ่ยสิ่งที่ต้องรายงาน “เป็นน้องชายเธอครับนาย ชื่อเพชร มาเรียนต่อที่นี่เหมือนกับเธอ แต่พักอยู่คนละที่กันครับ” “........” เมื่อเห็นท่าทางที่เรียบเฉย ราวกับไม่ได้อยากรู้สักเท่าไหร่ คนรายงานจึงเริ่มลังเลระหว่างการเงียบไปกับพูดต่อไปอย่าหยุด แต่พอเห็นสายตาพิฆาตจ้องเขม็งผ่านกระจกหลังที่เขามองอยู่ จึงพูดต่อไปทันที “หมอนั่นมักจะไถเงินเธอครับ” “บ่อยแค่ไหน” “ทุกครั้งที่หมดตัว เอ่อ..มันติดการพนัน” “เป็นน้องชาย ก็ต้องอายุน้อยกว่าพี่สาว พี่สาวยังเรียนอยู่แถมทำงานไปด้วย แล้วมัน..มีสิทธิ์อะไรติดการพนัน?” ประโยคนี้นายบ่นลอยๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา “แล้วไง เธอให้ทุกครั้ง?” “ครับ เพราะมันมักจะขู่ ถ้าไม่ให้จะไปขอแม่แทน” “อ่า..” ความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถอีกครั้ง คิ้วหนาไม่ได้ขมวดเข้าหากันแน่นอย่างทุกๆครั้งยามครุ่นคิดหนัก ประหนึ่งว่าคราวนี้ ทุกอย่างได้ถูกล็อคเป้าไว้แล้ว ถึงได้มีคำสั่งออกมาจากปากเขา ผ่านน้ำเสียงนุ่มนวล และสีหน้าที่เรียบเฉย “ทำให้มันเป็นหนี้” “ครับ?” “ถ้าเป็นพวกมาเฟียแถวตึกสีพ่น จะดีมาก” “รับทราบครับนาย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD