EPISODE 01

3479 Words
EPISODE 01 “รู้สึกดีขึ้นมั้ยซารัง” อาจารย์เยจีเดินเข้ามาถามหลังจากที่ฉันนอนลืมตามองฝ้าเพดานห้องพยาบาลมาได้สักพัก “ดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากนะคะ” ฉันส่งยิ้มให้เธอพร้อมกับพยายามประคองตัวเองลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้อาการหน้ามืดตาลายพวกนั้นหายไปหมดแล้ว แม้แต่ตอนที่ลุกขึ้นมานั่งฉันก็ไม่รู้สึกเวียนหัวเลยสักนิด มิหนำซ้ำกลิ่นหอมแปลกๆ ที่เคยได้กลิ่นก็หายไปแล้วด้วย ตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันกำลังรู้สึกนั่นก็คือความหิว “ฉันขอตัวกลับเลยก็แล้วกันค่ะ” “อืม อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยล่ะ แล้วก็นี่อย่าลืมนี่ด้วยล่ะ” อาจารย์เยจีคลี่ยิ้มหวานพร้อมกับยื่นตลับยาสีขาวส่งมาให้ ซึ่งฉันก็ได้แต่มองมันงงๆ พยายามนึกทบทวนอยู่ว่าตลับยานั่นใช่ของฉันรึเปล่า แต่ยังไม่ทันจะนึกออก อาจารย์เยจีก็ยัดตลับยานั่นใส่มือของฉันมาเสียแล้ว “จุนแจเขาเก็บไว้ให้เธอน่ะ” พูดจบอาจารย์เยจีก็ผละตัวออกไป รุ่นพี่จุนแจเป็นคนเก็บเอาไว้ให้ฉันงั้นเหรอ แต่ว่ามันไม่ใช่ของฉันสักหน่อย ฉันได้แต่ก้มมองตลับยาในมือแล้วลอบถอนหายใจ ตัดสินใจจะเปิดออกดูเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะพบว่าด้านในตลับยามียาชนิดแคปซูลสีแดงๆ อยู่สองเม็ดซึ่งไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ยิ่งมอง ยิ่งนึก ฉันก็ยิ่งมั่นใจว่ามันไม่มีทางใช่ของฉันแน่นอน เป็นไปได้ว่ารุ่นพี่จุนแจอาจจะเข้าใจอะไรผิด ปั่ก! ฉันปิดตลับยาแล้วรีบเก็บใส่กระเป๋า ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นของใครและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแคปซูลด้านในคือยาอะไร แต่ฉันว่าจะลองถามบีโฮดูก่อน เผื่อว่าเขาอาจจะทำตกไว้ตอนที่พาฉันมาส่ง หลังจากเก็บตลับยาใส่กระเป๋ากระโปรงเรียบร้อย ฉันก็รีบเดินออกมาจากห้องพยาบาล เมื่อครู่เหลือบเห็นนาฬิกาแขวนผนังห้องด้านในแล้วตกใจแทบแย่เมื่อรู้ว่าตอนนี้เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะหลับไปนานขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ตื่นขึ้นมาเสียก่อน อาจารย์เยจีก็น่าจะเดินเข้าไปปลุกฉันพอดี “อ้าวซารัง ดีขึ้นแล้วเหรอ ฉันกำลังจะเดินไปตามเธออยู่พอดี” บีโฮที่กำลังเดินตรงมาหาฉันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยื่นกระเป๋าเป้ของฉันส่งมาให้ “อืม ขอบใจ ว่าแต่ทำไมนายเดินมาคนเดียวอะ ยัยกงจูกลับไปแล้วเหรอ” “ยัยนั่นถูกอาจารย์เรียกไปพบเรื่องรายงานไม่เรียบร้อยน่ะ ก็เลยให้ฉันเดินมาหาเธอก่อน บอกให้พาเธอไปรอหน้าตึก” บีโฮรีบบอก ฉันพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินตามเขาไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็ได้แต่ยกมือขึ้นลูบท้องวนไปวนมาเพราะหิวจะแย่ อยากกินรามยอนชะมัด “รู้มั้ยว่ากงจูเป็นห่วงเธอแทบแย่ ตั้งแต่ที่ฉันกลับไปที่ห้องเรียน ยัยนั่นยังบ่นถึงเธอไม่หยุดเลย แน่ใจนะว่าดีขึ้นแล้วน่ะ จะไปหาหมอรึเปล่า” “ดีขึ้นแล้วน่า อาจารย์เยจีบอกว่าฉันพักผ่อนน้อยกับกินอาหารไม่ตรงเวลาน่ะ นี่ก็กำลังตั้งใจจะชวนนายกับกงจูแวะหาอะไรกินก่อนกลับอยู่พอดี” “ดีเลย วันก่อนฉันได้ยินกงจูบ่นว่าอยากกินไก่ทอดอยู่พอดี” “ฉันอยากกินรามยอน” “ไก่ทอด ได้ยินว่าช่วงนี้มีโปรมาสามจ่ายสองด้วยนะ” “ก็ได้ๆ ไก่ทอดก็ไก่ทอด ตอนนี้ฉันหิวจนกินไก่ได้เป็นตัวๆ แล้ว” ฉันรีบตอบตกลงพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ขี้เกียจเถียงกับบีโฮเพราะรู้ว่าเหนื่อยเปล่า เขาเล่นเอาโปรโมชั่นมาหลอกล่อขนาดนี้ ฉันยอมก็ได้หรอก โอ๊ย ยิ่งในหัวฉันกำลังจินตนาการไปถึงไก่ทอดแล้วยิ่งทำให้รู้สึกหิวขึ้นกว่าเดิม ฉันจะได้กินไก่ย่างแล้ว อยากวาร์ปไปถึงร้านไก่เร็วๆ “เออ จริงสิบีโฮ ฉันเกือบลืม” ฉันร้องเรียกบีโฮเมื่อนึกขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบตลับยาสีขาวออกมาส่งให้ “นี่ใช่ของนายรึเปล่า” หากแต่เมื่อยื่นตลับยาออกไป บีโฮกลับมองมันแค่แวบเดียวก็รีบส่ายหัวปฏิเสธทันที “ไม่ใช่ของฉันสักหน่อย” “อ้าว ถ้าไม่ใช่ของนายแล้วของใครล่ะ อาจารย์เยจีบอกว่ารุ่นพี่จุนแจเก็บไว้ให้ แต่ไม่ใช่ของฉัน ก็เลยคิดว่าเป็นของนายเสียอีก” ฉันรีบบอก แต่บีโฮก็ยังคงส่ายหัวปฏิเสธรัวๆ เหมือนเดิม “ไม่ใช่อะ ฉันไม่ได้ขี้โรคจนต้องพกยาใส่ตลับติดตัวหรอก” บีโฮว่าพลางไหวไหล่นิดหน่อยก่อนจะล้วงมือทั้งสองข้างลงกระเป๋ากางเกง แล้วยังไงต่อดีล่ะคราวนี้ ถ้าตลับยานี่ไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ของบีโฮ แล้วมันเป็นของใครกัน “อาจจะเป็นของคนอื่นที่ทำตกเอาไว้ก็ได้ พรุ่งนี้เธอก็เอามาคืนอาจารย์เยจีไว้ก็แล้วกัน เขาจะได้ตามหาเจ้าของให้ หรือไม่เดี๋ยวเจ้าของเขาก็คงกลับมาตามหาเองนั่นแหละ เผื่อว่ามันจะเป็นยาสำคัญ” จริงสินะ ยานี่อาจจะเป็นยาสำคัญก็ได้นี่นา เมื่อครู่ฉันน่าจะบอกอาจารย์เยจีไปเลยว่าไม่ใช่ของฉันก็สิ้นเรื่อง “ถ้างั้นฉันว่าฉันเอากลับไปคืนให้อาจารย์เยจีเลยดีกว่า เผื่อว่าเจ้าของที่ทำตกไว้เขาจะกลับมาตามหา ถ้ามันเป็นยาประจำตัวหรือยาสำคัญจริงๆ จะได้ไม่มีปัญหา” ฉันรีบบอก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องพยาบาลทันทีเพราะกลัวว่าอาจารย์เยจีจะกลับไปเสียก่อน แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องแล้วกลับพบว่าห้องพยาบาลปิดเสียแล้ว หมดเวลางานแล้วสินะ สรุปว่าฉันต้องเอามาคืนให้อาจารย์เยจีพรุ่งนี้อีกรอบจริงๆ คิดแล้วอดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้ กลัวว่าเจ้าของที่ทำมันตกเอาไว้จะตามหามันอยู่ ทำยังไงดีนะ เฮ้อ~ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ สุดท้ายแล้วฉันจะทำอะไรได้นอกเสียจากเดินกลับไปสมทบกับบีโฮที่หน้าตึก ภาวนาให้เจ้าของยานี่มียาสำรองเอาไว้ที่บ้านด้วยก็แล้วกัน เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ดังขึ้นรอบกาย ประกอบกับเสียงกริ่งของจักรยานและเสียงของเครื่องยนต์ที่ขับขี่สวนกันไปมา บรรยากาศวุ่นวายและคึกคักไปในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้กงจูจะคุยกับอาจารย์เรียบร้อยรึยัง ฉันหิว “ระ รุ่นพี่จุนแจ” ฉันถึงกับเสียอาการเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็สบตากับรุ่นพี่จุนแจเพราะว่าเขากำลังจะเดินสวนมาทางนี้ เราสองคนต่างหยุดเดินโดยอัตโนมัติ ต่างคนต่างมองหน้ากันนิ่งๆ สายตาของรุ่นพี่จุนแจดูว่างเปล่า เรียบเฉย เหมือนเมื่อตอนที่เราพบกันที่ห้องพยาบาลไม่มีผิด “ดีขึ้นแล้วเหรอ” รุ่นพี่จุนแจเอียงคอถามเสียงเรียบ ลึกๆ แล้วฉันกำลังภาวนาขอให้เขาไม่ถือสาเรื่องน่าอายที่ฉันก่อเอาไว้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาช่วยลืมๆ มันไปซะ “ค่ะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว เมื่อเช้านี้ต้องขอบคุณรุ่นพี่มากเลยนะคะ ถ้าไม่ได้รุ่นพี่ ฉันต้องแย่แน่ๆ” ฉันบอกอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้มหัวขอบคุณเขาจากใจจริง ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเขาอีกครั้ง พยายามปรับสีหน้ายิ้มแย้มให้ดูเป็นปกติทั้งที่ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย ยิ่งเห็นสีหน้าเรียบเฉยของเขาก็ยิ่งรู้สึกหน้าร้อนวาบไปหมด “ละ แล้วรุ่นพี่ล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง” “ฉันไม่ได้เป็นอะไร” “แล้วแผลที่มือล่ะคะ รุ่นพี่... ทำแผลรึยัง” ฉันทู่ซี้ถามต่อไปอย่างนั้น พลางพยายามสังเกตมือของเขาแต่ว่าตอนนี้เขาซุกมือทั้งสองข้างเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงนั่นทำให้ฉันไม่สามารถมองเห็นแผลที่ฝ่ามือของเขาได้ แต่คิดว่าเขาน่าจะทำแผลแล้วเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนจะกลับออกมาจากห้องพยาบาล รุ่นพี่จุนแจช้อนตามองฉันนิดหน่อย ก่อนที่เขาจะยอมดึงมือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วพลิกข้อมือไปมาเหมือนจะเผยให้ฉันเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ ซึ่งเท่าที่ฉันสังเกตได้ทันก่อนที่เขาจะล้วงมือกลับลงกระเป๋ากางเกงไปอีกรอบก็คือไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ ฉันไม่เห็นว่าเขาจะพันผ้าก๊อซหรือว่าแปะพลาสเตอร์ยาด้วยซ้ำไป บางทีอาจเป็นเพราะแผลไม่ได้ใหญ่มาก เพราะที่เขาแวะไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก็แค่กลัวว่าแผลจะติดเชื้อเท่านั้นเอง “ยังไงรุ่นพี่ก็ดูแลตัวเองด้วยก็แล้วกันนะคะ ฉันขอตัวก่อน” ฉันบอกอย่างจนใจ เขาเล่นปล่อยให้ฉันพูดอยู่คนเดียว พอฉันถามกลับเขาก็ตอบแบบนี้ทำเอาไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาแล้วเหมือนกัน “อ้อ จริงสิคะรุ่นพี่” “อะไรอีก” รุ่นพี่จุนแจหันกลับมาชักสีหน้าใส่เมื่อถูกฉันเรียกเอาไว้ ทั้งที่เขาเดินสวนห่างออกไปได้หลายก้าวแล้ว “เรื่องตลับยานี่น่ะค่ะ” ฉันล้วงตลับยาสีขาวออกมาจากกระเป๋ากระโปรงแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา “อาจารย์เยจีบอกฉันว่ารุ่นพี่เก็บไว้ให้ฉัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ของฉันหรอกค่ะ ฉันลองถามบีโฮแล้ว เขาบอกว่าไม่ใช่ของเขาเหมือนกัน” “เหอะ!” ฉันพูดตั้งยาว แต่รุ่นพี่จุนแจกลับแค่นหัวเราะในลำคอกลับมา “ฉันอยากถามว่ารุ่นพี่เก็บมันได้บริเวณไหนเหรอคะ พรุ่งนี้ฉันจะเอากลับไปคืนอาจารย์เยจีแล้วจะได้บอกเธอถูก เผื่อว่าเจ้าของเขาจะกลับมาตามหาน่ะค่ะ ฉันกลัวว่ายาด้านในอาจจะเป็นยาสำคัญ” “ของฉัน” ฟุ่บ! “อ้าว” ฉันสะดุ้งตัวโยนเมื่อจู่ๆ รุ่นพี่จุนแจก็ยื่นมือออกมาดึงตลับยานั่นกลับไปอย่างรวดเร็ว สายตาที่เขามองมาดูหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมทำให้ฉันเริ่มสงสัยว่าฉันทำหรือพูดอะไรผิด “จะไปกันรึยังซารัง กงจูรอที่รถแล้ว” เสียงบีโฮตะโกนดังมาแต่ไกลทำให้ฉันกับรุ่นพี่จุนแจต้องหันไปมอง ฉันได้ยินเสียงเขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้าวถอยออกไป และเมื่อเขายืดลำตัวขึ้นเต็มความสูง ฉันก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าความสูงของเราต่างกันมากทีเดียว ฉันสูงถึงแค่ระดับอกของเขาเท่านั้นเอง “แฟนมารับแล้ว รีบไปสิ” “เอ่อคือ...” ไม่ทันที่ฉันจะได้อธิบาย รุ่นพี่จุนแจก็หมุนตัวเดินกลับออกไปทันทีที่พูดจบ อะไรของเขากันนะ! ฉันยืนงงอยู่สักพัก กว่าจะนึกได้ว่าฉันควรจะรีบปฏิเสธประโยคสุดท้ายที่เขาพูดก่อนจากกันก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเขาเดินไปไกลจนคิดว่าต่อให้ตะโกนเขาก็ไม่น่าจะได้ยิน ฮืออ นี่เขาเข้าใจผิดว่าฉันกับบีโฮเป็นแฟนกันได้ยังไงนะ หมอนั่นน่ะปากเสียจะตาย แถมยังไม่ฉลาดด้วย กินก็เก่งแถมยังไม่ค่อยชอบอาบน้ำอีก! “ฮันแน่” บีโฮทำเสียงล้อเลียนเมื่อฉันเดินมาถึง เมื่อครู่เขาคงเห็นแล้วว่าฉันกำลังคุยอยู่กับรุ่นพี่จุนแจ “เป็นอะไรอีกล่ะ หรือว่าโกรธที่ฉันมาขัดจังหวะเธอกับรุ่นพี่จุนแจ” “ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ ฉันหิวจะแย่” ฉันบ่ายเบี่ยงก่อนจะเดินนำบีโฮออกมาเงียบๆ ในสมองยังคงมีสีหน้าและท่าทีแปลก ๆ ของรุ่นพี่จุนแจวนเวียนอยู่ตลอดเวลา ไหนยังจะเรื่องตลับยานั่นอีกล่ะ ถ้ามันเป็นของเขาจริงๆ แล้วทำไมอาจารย์เยจีบอกว่าเขาเก็บไว้ให้ฉัน “นี่! เมื่อกี้รุ่นพี่จุนแจเขาเดินเข้าไปหาเธอเหรอ เขาพูดอะไรกับเธอบ้างล่ะซารัง เล่ามาซะดีๆ นะ” บีโฮเริ่มซักถามเมื่อเขาเดินตีคู่กับฉันมาเรื่อยๆ “นายรู้ได้ยังไงว่ารุ่นพี่จุนแจเป็นฝ่ายเดินมาหาฉัน” “โห ก็ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย ก็เพราะเธอปอดแหก ไม่มีทางกล้าเดินเข้าไปทักเขาก่อนแน่ๆ ยังไงล่ะ” ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนถูกบีโฮด่าอย่างไรอย่างนั้นเลยนะ “นายนี่มันปากเสียจริงๆ แต่ช่างเถอะ เขาไม่ได้เดินมาหาฉันหรอก แต่เราแค่บังเอิญเดินสวนกันเท่านั้นเอง คนอย่างรุ่นพี่จุนแจเขาจะเดินมาหาฉันทำไม ถ้ามันมีวันนั้นจริงๆ ฉันจะเลี้ยงไก่ทอดนายไปทั้งชีวิตเลยบีโฮ ” ฉันว่าอย่างนึกท้อแท้ในใจ “เธออยากให้ฉันเป็นโรคเก๊าตายรึยังไงล่ะ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วน่ะนะซารัง ฉันว่ามันก็น่าจะมีทางเป็นไปได้เหมือนกันนะ” “เรื่องอะไรของนายที่ว่าเป็นไปได้” “ก็เรื่องรุ่นพี่จุนแจไง เท่าที่ฉันสังเกตเห็นที่ห้องพยาบาล เหมือนว่าเขาก็สนใจเธออยู่เหมือนกันนะ” “บ้า” ฉันว่าพลางพลั้งมือทุบแผ่นหลังของบีโฮไปหนึ่งทีเสียงดังอั่ก “ฉันพูดจริงนะซารัง เขาดูเป็นห่วงเธอออก ฉันเห็นเขามองเธอตลอด แล้วนี่ก็ยังตามมาหาเธอที่ห้องพยาบาลอีก” “เขาไม่ได้ตามมา บอกแล้วไงว่าแค่บังเอิญเดินสวนกัน” “งั้นเหรอ เธอคิดว่าเขาจะแค่บังเอิญเดินผ่านมาที่ห้องพยาบาลทำไมกันล่ะ หรือถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอคิดว่ามันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้รุ่นพี่จุนแจเขาหยุดเดินเพื่อคุยกับเธอ ทั้งที่เขาสามารถเดินผ่านเธอไปเฉยๆ ก็ได้” “เพราะเขามีน้ำใจยังไงล่ะ พอเจอกันเขาก็แค่ถามว่าฉันดีขึ้นรึยังตามมารยาทก็เท่านั้นเอง” ฉันพยายามหาข้ออ้าง ทั้งที่พูดไปก็เหมือนจะยิ้มไปยังไงชอบกล “จริงเหรอ ถ้าฉันลองถามกงจู ฉันว่ายัยนั่นต้องคิดเหมือนกับฉันแน่ๆ” “คิดอะไร” “คิดว่ารุ่นพี่จุนแจเขาเป็นห่วงเธอยังไงล่ะ” “ชงเก่งงง เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วบีโฮ ไร้สาระ” ฉันแสร้งโวยวายกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรง จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะตัดความหวังของตัวเองหรอก แต่สิ่งที่ฉันทำไว้มันก็อับอายเกินกว่าจะเล่าให้บีโฮฟัง และที่สำคัญที่สุดของที่สุดเลยคือความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ ฉันกับรุ่นพี่จุนแจเหมือนเส้นขนานที่ต่อให้เราจะมีโอกาสได้สวนกัน หรือได้เดินทางไปบนเส้นทางเดียวกัน แต่ไม่มีทางที่จะได้เดินร่วมเส้นทางกันเลย เหมือนอย่างตอนนี้ที่ฉันกำลังเดินอยู่กับบีโฮ ส่วนเขาก็นั่งอยู่ในรถยนต์ส่วนตัวที่กำลังแล่นผ่านฉันไปช้าๆ เฮ้อ คิดแล้วเศร้า “บางทีเขาอาจจะตั้งใจชะลอรถเพื่อแอบมองเธอจากในรถก็ได้นะซารัง” “พอ!” ฉันว่าเสียงดังพลางถอนหายใจใส่บีโฮอีกรอบ แต่สายตายังคงมองไปที่ท้ายรถยนต์คันที่เพิ่งจะขับผ่านเราไปเมื่อครู่ รถคันนั้นเป็นรถของรุ่นพี่จุนแจน่ะ ก็บอกแล้วไงว่าฉันกับเขา เราเหมือนเส้นขนานที่ต่อให้จะกำลังเดินทางไปบนเส้นทางเดียวกัน แต่เราก็ไม่ได้ไปด้วยกันสักหน่อย แค่ใช้ถนนร่วมกันเฉยๆ เท่านั้นเอง “หายไปไหนกันมา” เสียงเข้มๆ ของกงจูดึงสติของฉันกับบีโฮให้กลับมาจากรถของรุ่นพี่จุนแจทันที ยัยกงจูยืนหน้ายักษ์เชียว สงสัยจะโมโหหิวแล้ว “ไปตามซารังน่ะ ยัยนี่มัวแต่อ่อยรุ่นพี่จุนแจอยู่ที่หน้าห้องพยาบาล” “จริงเหรอยัยซารัง” โว้ย ใครก็ได้พาสองคนนี้ไปเก็บทีโดยเฉพาะบีโฮ “แฟนเธอเพ้อเจ้อน่ะกงจู ไม่เห็นเหรอว่ารุ่นพี่เขาเพิ่งขับรถออกไปเมื่อกี้” ฉันว่าไปตามความจริง ไม่อยากอธิบายรายละเอียดหรอกเพราะมันเสียเวลา และเชื่อเถอะว่าเดี๋ยวบีโฮก็เล่าเองหมดนั่นแหละ ดีไม่ดีจะแต่งเรื่องเพิ่มไปด้วย “หูย ไอ้เราก็คิดว่ามีลุ้น” “มีสิ ลุ้นว่าเราจะได้กินไก่ทอดกันมั้ยไง ป่านนี้แล้วยังไม่ไปไหนเลย คนเต็มร้านแล้วมั้ง” ฉันตัดบท ซึ่งมันได้ผล เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องของกินก็จะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจจากยัยกงจูไปได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ “จริงด้วย ไปๆ รีบไปเลย นายขับเร็วๆ เลยนะบีโฮถ้าฉันอดกินไก่ทอด ฉันจะโกรธนายสามวัน” ยัยกงจูรีบขู่ ทำเอาบีโฮหันมาถลึงตาใส่ฉันก่อนจะรีบพุ่งตัวไปขึ้นรถทันที เราสามคนรีบขึ้นรถของบีโฮ ซึ่งเจ้าของรถมีตำแหน่งเป็นคนขับรถประจำตัวของกงจู ส่วนฉันก็เป็นผู้ติดตามของทั้งคู่นั่นเอง หลังจากที่เข้าประจำที่กันเรียบร้อย บีโฮก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่ร้านไก่ทอดที่อยู่แถวๆ หอพักของฉัน ไม่ไกลจากมหา’ลัยนี่เอง “เออ จริงสิ เรื่องงานเลี้ยงจบการศึกษาของรุ่นพี่ เธอจะใส่ชุดสีอะไรซารัง” เอ๋ งานเลี้ยงจบการศึกษาของรุ่นพี่งั้นเหรอ บ้าจริง ฉันลืมไปสนิทเลย “ฉัน...” “ไม่เตรียมความพร้อมอีกเหมือนเคย เฮ้อ เพราะแบบนี้ไงเธอถึงได้ยังไม่มีแฟนยัยซาร้างงง” ยัยกงจูว่าเสียงสูงพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันดูเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่าฉันเสียอีกแน่ะ “เอาน่า ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองอาทิตย์ แค่เรื่องชุด หาทันอยู่แล้วย่ะ” “แกก็พูดแบบนี้ตลอด ใส่ใจบ้างสิวะ งานนี้ดีไม่ดีแกอาจจะเจอเนื้อคู่ก็ได้นะ คิดเผื่อบ้าง ไม่ใช่ผัดวันประกันพรุ่งตลอด แฟนนะเว้ย ต้องตั้งใจเลือก ไม่ใช่จับใครมาควงก็ได้” มันก็พูดซะฉันรู้สึกผิดกับตัวเองแทบไม่ทันทีเดียว “พูดมากน่า บีโฮ วันนี้มีงานอะไรบ้างรึเปล่า นายจดเลคเชอร์มาละเอียดมั้ย” “โห เปลี่ยนเรื่องได้โหดชะมัด ถ้าเธอจะดึงเข้าเรื่องเรียน ฉันยอมให้เธอตบหัวยังดีกว่าเลยซารัง ถามจริงเถอะนะ นี่เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าในหัวฉันมันมีสมองอยู่แค่ครึ่งเดียวน่ะ” บีโฮทำหน้าตาขนลุกใส่ ลงท้ายด้วยการว่าตัวเองเสร็จสรรพจนกงจูต้องส่ายหัวเอือมระอาเราทั้งคู่ ยัยกงจูเป็นคนประเภทจริงจังกับทุกเรื่องน่ะ ส่วนฉันกับบีโฮ ไม่เคยจริงจังกับอะไรสักเรื่องเลย สุดท้ายเราสามคนก็เลิกพูดถึงเรื่องเรียนกันไปโดยปริยาย ฉันนั่งฟังบีโฮกับกงจูเถียงกันเรื่องจุกจิกมาตลอดทางกระทั่งถึงปากซอยร้านไก่ทอดที่เป็นจุดมุ่งหมายของพวกเรา อย่างที่บอกว่าร้านไก่ทอดร้านนี้อยู่ใกล้กับหอพักของฉัน นั่นแปลว่าเดี๋ยวพอเรากินไก่ทอดเสร็จ ฉันก็สามารถเดินกลับหอพักได้สบายๆ ส่วนสองคนนี้ก็ปล่อยไปเถอะ กว่าบีโฮจะไปส่งยัยกงจูที่บ้านก็น่าจะชวนกันเถลไถลที่ไหนกันต่อจนมืดนั่นแหละ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD