EPISODE 02

3749 Words
EPISODE 02  ไม่กี่นาทีต่อมาบีโฮก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าร้านไก่ทอด แต่ว่าแต้มบุญของฉัน กงจู และบีโฮรวมกันแล้วคงจะยังไม่พอ เราถึงได้กำลังทำหน้าเซ็งใส่กันเมื่อมาถึงร้านแล้วพบว่าร้านปิด! “นายนี่มันตัวซวยจริงๆ” กงจูหันไปโทษบีโฮทันที ซึ่งหมอนั่นจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากถอนหายใจแล้วเหลือบมองฉันผ่านกระจกมองหลังเพื่อหาพวก แต่ฉันทำเป็นไม่เห็น คนกลางอย่างฉันเลือกข้างได้ที่ไหนล่ะ “เอายังไงดีล่ะซารัง ฉันหิวจะแย่” “แกก็ให้บีโฮพาไปหาอะไรอร่อยๆ กินสิ เดี๋ยวฉันลงตรงนี้เลยก็แล้วกัน จะกลับไปต้มรามยอนกินที่ห้อง จะได้ไม่ต้องลำบากบีโฮวนรถกลับมาส่งด้วย” ฉันบอกยิ้มๆ ด้วยความเกรงใจ มื้อเย็นของฉันน่าจะจบที่รามยอน “หูย ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า จริงมั้ยบีโฮ” “รีบลงไปเลยซารัง โอ๊ย ฉันล้อเล่นน่ากงจู ตีทำไมเนี่ย” แล้วมันก็จบอีหรอบเดิม บีโฮชอบแกล้งฉันแบบนี้เสมอ ส่วนกงจูก็ชอบทำร้ายร่างกายเขาเพราะเข้าข้างฉัน เฮ้อ รู้สึกเหมือนเป็นตัวปัญหาของพวกเขาชอบกล “เอาน่า วันนี้ฉันรู้สึกเพลียๆ ด้วย ถ้าสภาพร่างกายฉันปกติดีก็ไม่มีทางเกรงใจคนอย่างบีโฮหรอก เอาเป็นว่าฉันลงตรงนี้เลยก็แล้วกันนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” “อ้าว เดี๋ยวสิ ซารัง ยัยซารัง!” กงจูพยายามตะโกนเรียก แต่ฉันก็ก้าวเท้าลงจากรถเร่งฝีเท้าเดินออกมาทันที รามยอน ฉันจะกินรามยอน วันนี้ต้องได้กินรามยอน Rrrr~ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นขึ้นมาพอดี ทีแรกฉันคิดว่ายัยกงจูจะโทรมาวีนใส่ให้ฉันเดินกลับไปขึ้นรถเสียอีก แต่พอเห็นว่าเป็นพ่อที่กำลังรอสายอยู่ ฉันก็รีบกดรับโดยไม่ลังเล “สวัสดีค่ะพ่อ” น้ำเสียงของฉันติดสั่นด้วยความดีใจ ด้วยความที่ฉันติดต่อพ่อไม่ได้มาหลายวันแล้ว แต่ก็เข้ามาใจตลอดนั่นแหละว่าพ่อต้องทำงานหนักเพื่อครอบครัว [ยุ่งอยู่รึเปล่าซารัง] น้ำเสียงของพ่อยังคงทุ้มและอบอุ่นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน “ไม่ค่ะพ่อ สำหรับพ่อ หนูว่างเสมอ พ่อมีธุระอะไรรึเปล่าคะ หรือว่าแม่ไม่สบายรึเปล่า” ฉันรีบถามเมื่อเริ่มกังวล เพราะแม่ของฉันสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก ปกติแล้วถ้ามีเวลาหรือช่วงวันหยุดยาว ฉันมักจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่เสมอ แต่ช่วงนี้ติดสอบ ฉันจึงไม่ได้กลับบ้านเกือบเดือนแล้ว [แม่สบายดี แต่สงสัยจะทนคิดถึงลูกสาวไม่ไหวก็เลยให้พ่อโทรชวนลูกกลับมากินข้าวด้วยกันน่ะ] เสียงหัวเราะของพ่อคลอมาตามสายทำเอาฉันยิ้มกว้างไม่หุบ [งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวพ่อแวะไปรับเลยก็แล้วกันนะ แล้วขากลับจะแวะไปส่ง] “ได้ค่ะพ่อ จะรอนะคะ” ฉันบอกยิ้มๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อย้อนกลับไปที่หอพัก จะได้รีบอาบน้ำแต่งตัวสวยๆ รอพ่อมารับกลับไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว กึก! “เดี๋ยวนะ” ฉันถึงกับต้องชะงักฝีเท้าทั้งที่กำลังรีบ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยหลังกลับไปสองสามก้าวเมื่อรู้สึกเหมือนจะเห็นบางอย่างที่คุ้นตา อ่า... รถยนต์คันที่ฉันเพิ่งจะเดินผ่านมาเมื่อครู่มันคุ้นๆ จริงๆ ใช่แน่ นั่นมันรถของรุ่นพี่จุนแจนี่นา เขาแวะมาทำไมนะ ปกติฉันไม่เคยเห็นเขาเลย ทั้งที่ฉันก็เดินผ่านแถวนี้ออกจะบ่อย ฉันสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ชะเง้อคอมองซ้ายทีขวาทีแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของรถ จะว่าเขาแวะมาหาอะไรอร่อยๆ กิน แถวๆ นี้ก็ไม่เห็นจะมีร้านอะไรที่ดูแล้วน่าจะเป็นสไตล์ที่เขาชอบสักร้าน ร้านไก่ทอดในตำนานก็ปิด เอ๊ะ! ผู้ชายตัวสูงๆ คนนั้นจะใช่เขารึเปล่า แผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินนำหน้าอยู่ไกลๆ ช่างสะดุดตาฉันเหลือเกิน ยิ่งได้จ้องมองอยู่สักพัก ฉันก็ยิ่งค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะใช่รุ่นพี่จุนแจแน่ๆ เขาเข้าไปทำอะไรในซอยนั้นกันนะ ถ้าจำไม่ผิด ซอยนั้นมันเป็นซอยตันมีทางเข้าออกแค่ทางเดียวนี่นา “มาช้านะ” รู้ตัวอีกทีฉันก็เดินตามเขามาเสียแล้ว ตอนนี้สองเท้าหยุดยืนอยู่ที่หน้าตรอกแคบๆ ที่เห็นว่ารุ่นพี่จุนแจเดินเข้าไป เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก็ไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำน้ำเสียงยังแข็งกระด้างอีกต่างหาก “รถมันติดน่ะ ตกลงว่าได้ของที่ฉันต้องการรึเปล่า” นั่นเสียงรุ่นพี่จุนแจ ฉันจำได้ ความสงสัยทำให้ฉันค่อยๆ ยื่นหน้ามองเข้าไปด้านใน เห็นเพียงแผ่นหลังของผู้ชายสองคนที่กำลังคุยอยู่กับรุ่นพี่จุนแจ แต่ฉันไม่รู้จักพวกเขาหรอก น่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนๆ ของรุ่นพี่จุนแจนั่นแหละ “ได้สิ รับรองว่าสดจนนายคิดไม่ถึงแน่ๆ จุนแจ” เอ๋ พวกเขาคุยเรื่องอะไรกันอยู่นะ อะไรที่ว่า ‘สด’ ถึงขนาดที่รุ่นพี่จุนแจจะคิดไม่ถึง “ไหนล่ะ เอามาสิ” “นายนี่ใจร้อนสมกับเป็นแวมไพร์เลือดร้อยจริงๆ” หืมมม... สองตาของฉันเบิกโพลงเมื่อได้ยินรุ่นพี่คนนั้นพูดศัพท์แปลกๆ ออกมา ฉันได้ยินแว่วๆ ว่าแวมไพร์เลือดร้อยอะไรสักอย่าง มันคืออะไรกันนะ หรือว่าฉันจะได้ยินผิดไป แวมไพร์งั้นเหรอ เขาบอกว่ารุ่นพี่จุนแจเป็นแวมไพร์จริงๆ งั้นเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ฉันยังคงยืนมองเหตุการณ์ด้านในอยู่เงียบๆ ทั้งที่เริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง คอแห้งขึ้นมากะทันหันแต่ก็ยังอยากจะแน่ใจว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ฉันอาจจะคิดมากไปเอง เพราะบรรยากาศตอนนี้ก็ไม่ได้มืดจนดูน่ากลัว หรือชวนให้คิดว่าพวกเขามาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ดูน่าสงสัยเสียด้วยซ้ำ ดูแล้วก็เหมือนเวลาที่เรานัดเจอเพื่อนปกติ ติดตรงคำว่า ‘แวมไพร์เลือดร้อย’ ที่ฉันได้ยินพวกเขาพูดขึ้นมาเมื่อครู่นั่นแหละที่ทำให้ฉันรู้สึกสงสัย เอ... หรือบางทีมันอาจจะเป็นรหัสลับอะไรเฉพาะกลุ่มของพวกเขาก็ได้... มั้ง “ออกมาสิ” รุ่นพี่ผู้ชายที่คุยกับรุ่นพี่จุนแจอยู่เมื่อครู่ตะโกนเรียกใครสักคนออกมา ก่อนที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก เธอส่งยิ้มให้รุ่นพี่จุนแจ สบตาเขาแถมยังเดินเข้าไปหาเขาโดยไม่มีอาการเก้อเขินเลยสักนิดราวกับว่ารู้จักและสนิทสนมกันมาก่อน “ทำไมถึงเป็นเธอ ยองมิน” น้ำเสียงของรุ่นพี่จุนแจเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อย และจนป่านนี้เขาก็ยังจ้องมองเธอไม่ละสายตา สถานการณ์ดูเหมือนจะพลิกผันเมื่อท่าทางของรุ่นพี่จุนแจเหมือนกำลังไม่พอใจ คำถามของเขาทำให้อีกสามคนที่เหลือมองหน้ากันเลิ่กลั่ก โดยเฉพาะรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นที่ถึงกับหุบยิ้มลงทันที “แล้วทำไมถึงเป็นฉันไม่ได้ล่ะ” “แฮซู” รุ่นพี่จุนแจหันไปเรียกเพื่อนของเขาอีกคนด้วยน้ำเสียงน่ากลัวและมองอย่างต้องการคำตอบ “ก็ยังไงยองมินก็รู้เรื่องมาตั้งแต่แรก ฉันก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเสียหายตรงไหน นายเองก็ไม่ได้อยากจะให้คนอื่นรู้เพิ่มไม่ใช่รึไง” “เหอะ!” รุ่นพี่จุนแจแค่นหัวเราะในลำคอทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของเธอคนนั้น ฉันเห็นว่าเธอพยายามจะส่งยิ้มให้เขาอีกครั้งพลางเดินเข้าไปประชิดตัวก่อนจะยกมือขึ้นวางบนอกของเขาราวกับต้องการจะยั่วยวนอีกฝ่ายไม่มีผิด ฟุ่บ! แต่วินาทีต่อมา มือของเธอก็ถูกปัดออกอย่างไร้เยื่อใย ใบหน้าที่ยิ้มยั่วยวนอยู่เมื่อครู่ถึงกับถอดสี ในขณะที่รุ่นพี่จุนแจเองก็เหมือนจะเริ่มหงุดหงิด ฉันเห็นเขาจ้องมองไปที่รุ่นพี่ทั้งสองคนก่อนจะก้าวผ่านร่างของเธอคนนั้นกลับออกมาทันที วินาทีที่เห็นว่าเขากำลังจะเดินกลับออกมาทำให้ฉันต้องรีบถอยออกมาหาที่หลบ พร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากข้างหนึ่ง กดหน้าอกข้างหนึ่งด้วยความตกใจ กลัวว่าจะถูกเขาจับได้ว่ากำลังแอบมอง “เดี๋ยวสิวะไอ้จุนแจ” หนึ่งในสองตะโกนรั้ง ฉันสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะแอบยื่นหน้าออกไปมองอีกรอบพร้อมกับที่ขยับเท้าออกไปทีละนิดๆ กระทั่งมั่นใจว่าไม่ได้มีใครมองมาทางนี้ถึงได้ยื่นหน้าออกไปมองเหตุการณ์ให้ชัดๆ อีกครั้ง ฟู่~ หัวใจเกือบวายแน่ะ “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า นายก็รู้ว่ายองมินไว้ใจได้ไม่ใช่เหรอ” “เอาไว้ฉันจะลองหาวิธีเองก็แล้วกัน” รุ่นพี่จุนแจตัดบท แต่สรุปได้ว่าเขาคงจะปฏิเสธนั่นแหละ “นายไม่เชื่อใจฉันงั้นเหรอจุนแจ” “กลับไปเถอะยองมิน แล้วทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก” รุ่นพี่จุนแจพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าฉันจะใจเต้นแรงทำไมทั้งที่เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้กับทุกคน รวมถึงฉันเองก็ด้วย “แต่ถ้านายไม่ยอมให้ฉันช่วย นายอาจจะตายก็ได้นะจุนแจ” ตายเหรอ รุ่นพี่จุนแจกำลังจะตายงั้นเหรอ เขาเป็นโรคร้ายแรงหรือว่ายังไงกันล่ะ “แล้วเธอคิดว่าฉันจะเลือกอะไร เธอ หรือว่าความตาย” รุ่นพี่จุนแจเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เล่นเอาเธอคนนั้นกัดฟันกรอด แถมยังกำมือทั้งสองข้างแน่นจนกำปั้นเล็กๆ สั่นเลยทีเดียว “พวกเราโดยเฉพาะยองมินเต็มใจช่วยนายนะเว้ยไอ้จุนแจ” “ขอบใจ แต่ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ฉันคงไม่เสียเวลามา” รุ่นพี่จุนแจตัดบทด้วยน้ำเสียงรำคาญก่อนจะก้าวเท้าออกมาทันที ซึ่งฉันก็กำลังจะหลบฉากออกมาด้วยเหมือนกันแต่ติดตรงที่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมา “โอ๊ย!” หัวใจของฉันกระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อหันกลับมาเห็นว่ารุ่นพี่ยองมินคนนั้นยกมีดขึ้นมากรีดปลายนิ้วทั้งสี่ของตัวเองจนเลือดไหลออกมาเป็นทาง ฉันจ้องมองของเหลวสีแดงสดหยดแล้วหยดเล่าที่ร่วงลงสู่พื้น ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนต้องรีบยกมือสองมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองเอาไว้แน่น “ยองมิน!” เสียงตะคอกของรุ่นพี่จุนแจไม่ได้ทำให้เธอตกใจเลยสักนิด มีแค่ฉันที่สะดุ้งจนตัวโยนและเกือบหลุดปากร้องออกไป “ไม่เอาน่า ยองมินยอมพิสูจน์ตัวเองขนาดนี้แล้ว นายก็น่าจะเชื่อใจเธอให้มากกว่านี้นะ และไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ตัวนายเองก็กำลังต้องการเลือด นายจะให้ยองมินเจ็บตัวฟรีหรือยังไง” อะไรกันนะ มันชักจะอีนุงตุงนังไปกันใหญ่แล้วสิเนี่ย ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากรุ่นพี่จุนแจแม้แต่คำเดียว ทว่ามือของเขากลับกำหมัดแน่จนแขนทั้งสองข้างสั่นเทาไปหมด“นายจะปฏิเสธเลือดของฉันจริงๆ เหรอจุนแจ” ฉันคิดไปเองรึเปล่านะว่าเสียงของเธอคนนั้นฟังดูเย้ายวน ในเวลานี้เธอน่าจะรู้สึกเจ็บที่แผลสิ เลือดไหลใหญ่แล้วนะ หากเป็นฉันคงแหกปากร้องลั่นไปแล้ว ตุ้บ! ฉันยกมือขึ้นมาปิดปากแทบไม่ทันเมื่อจู่ๆ รุ่นพี่จุนแจก็ก้าวเข้าไปประชิดตัวของเธอคนนั้นอย่างรวดเร็วพลางยกมือทั้งสองข้างของเขากดไหล่เธอกระแทกเข้ากับกำแพงด้านข้าง แรงกระแทกคงทำให้เธอเจ็บจนต้องนิ่วหน้า แต่แทนที่เธอจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เธอกลับยกมุมปากยิ้มพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะยกสองแขนของเธอขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของเขาเอาไว้ ก้อนเนื้อในอกของฉันเต้นแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด ฉันยังคงจ้องมองภาพตรงหน้าทั้งที่เริ่มรู้สึกหายใจติดขัด ร่างกายเริ่มสั่นระริก และเหมือนจะได้ยินเสียงฟันในปากกระทบกันดังกึกๆ อยู่ตลอดเวลา ฟุ่บ! ข้อมือเล็กๆ ของเธอถูกรุ่นพี่จุนแจกระชากออกจากรอบคอ หากแต่เขาไม่ได้กระชากมันออกเพื่อผลักไสเธอออกไป แต่กลับดึงมันออกมาเพื่อจ้องมองหยดเลือดที่ไหลออกมาจากปลายนิ้วของเธอจนเปื้อนไปทั้งฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะทำในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็น อึก! เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องยกมือขึ้นมากดหน้าอกตัวเองเอาไว้พร้อมกับฝืนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ หลังจากที่เห็นรุ่นพี่จุนแจดึงฝ่ามือของเธอขึ้นมาจูบ ก่อนจะแลบลิ้นเลียเลือดที่เปื้อนไปทั้งฝ่ามือของเธออย่างหื่นกระหายจนมือของเธอที่เปื้อนเลือดสีแดงฉานเมื่อครู่กลับกลายเป็นขาวสะอาด ไม่หลงเหลือเลือดแม้แต่หยด ฉันรู้สึกพะอืดพะอมเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างตีขึ้นมาจากในท้องและเตรียมจะพุ่งออกทางปาก โชคดีที่ฉันรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงอ้วกพุ่งออกมาแน่ๆ รุ่นพี่จุนแจเงยหน้าขึ้นสบตากับเธออีกครั้งหลังจากที่จัดการมือของเธอจนสะอาด เขาจ้องมองเธอตาไม่กะพริบราวกับอยากจะมองเธอให้ทะลุปรุโปร่ง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ โน้มไปใบหน้าลงไปใกล้ ระยะห่างระหว่างใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่กำลังลดลงเรื่อยๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นตรงหน้าฉัน ต่อหน้าเพื่อนของเขาที่แม้จะไม่ได้หันมองแต่ทั้งคู่ก็ยังยืนอยู่บริเวณนั้นที่ห่างจากฉันเพียงไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น! ฉันรู้สึกหายใจไม่ออก ร่างกายสั่นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะต้องตกใจอีกรอบเมื่อจู่ๆ รุ่นพี่จุนแจก็สอดมือหนาเข้าไปใต้โคนผมของเธอแล้วกระตุกแรงๆ จนใบหน้าของเธอแหงนขึ้นทั้งที่ริมฝีปากของพวกเขากำลังจะบรรจบกันอยู่รอมร่อ ลำคอขาวๆ ยืดตึงเปรี๊ยะ ฉันเห็นว่าเธอพยายามจะส่งเสียงร้องแต่ริมฝีปากของเธอกลับถูกปิดเอาไว้ด้วยมือของรุ่นพี่จุนแจ “อื้อออ” แม้เธอจะพยายามส่งเสียงร้องและดิ้นพล่านเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ แต่รุ่นพี่จุนแจก็ยังคงเอาก้มหน้าซุกไซ้ซอกคอของเธอไม่หยุด เขาสูดดมกลิ่นกายของเธอราวกับหลงเสน่ห์เจ้าของกลิ่นเข้าเสียแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังดูไม่ไยดีเธอด้วยซ้ำไป ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพลางค่อยๆ ก้าวถอยออกมาจากเหตุการณ์ตรงนั้น ภาพที่รุ่นพี่จุนแจสูดดมซอกคอของเธอ ก่อนที่เขาจะเงยหน้ากลับขึ้นไปสบตาเธอแล้วฉีกยิ้มให้คนตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกจุกในอก แววตาที่เห็นยังคงดุดัน แต่ทว่ากลับอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน มันยากจะเข้าใจความหมายและไม่น่าใช่อะไรที่ฉันคิดว่าควรจะจดจำ ภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นคือภาพที่เขาซุกไซ้ซอกคอของเธอเหมือนพวกโรคจิต เสียงสุดท้ายที่เธอพยายามกรีดร้องมาบีบหัวใจของฉันเหลือเกิน Rrrr~ “ใครน่ะ!” “บ้าเอ๊ย!” ฉันสบถแล้ววิ่งหนีออกมาในทันที โทรศัพท์มือถือของฉันทำให้คนด้านในรู้ตัวและหันกลับมามอง เพียงแต่ฉันไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นรึเปล่าว่าเป็นฉัน ตอนนี้อย่างเดียวที่ฉันรู้ก็คือฉันต้องวิ่ง! ตุ้บ! “โอ๊ย” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อก้าวเท้าพลาดเพราะไม่ทันมองว่าพื้นต่างระดับ ทำให้ข้อเท้าพลิกจนล้มลงมา แต่จำต้องกัดฟันฝืนทนความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเอาไว้ รีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งมาซ่อนอยู่ในซอกหลืบของตึกเก่าๆ ที่กำลังจะวิ่งผ่านพอดี ก้อนเนื้อในอกของฉันกำลังเต้นแรง ฉันกอดตัวเองอยู่ในมุมอับและพยายามหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ทั้งที่ตอนนี้ฉันตัวสั่นไปหมด “ใครตามนายมาวะจุนแจ” เสียงเรียกที่ได้ยินทำให้ฉันยิ่งกอดตัวเองแน่น ความรู้สึกเหมือนถูกความกลัวถาโถมเข้าใส่จนล้มทั้งยืน ทำไมผู้ชายที่ดูนิ่งๆ สุขุม และน่าจะสุภาพถึงได้กลายเป็นคนแบบนั้นไปได้ ภาพที่เขาจูบเธออย่างดูดดื่ม เลียฝ่ามือของเธออย่างหื่นกระหาย มือหนาที่ลูบไล้เรือนร่างของเธอไม่ต่างจากพวกโรคจิต ทุกอย่างยังคงติดตา ตึก! ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าที่ได้ยินทำให้ฉันซุกหน้าลงกับหัวเข่าที่ชันขึ้นมาและยังคงกอดเอาไว้แน่นๆ นาทีนี้แทบจะต้องกลั้นหายใจเพราะเสียงที่ได้ยินมันใกล้เหลือเกิน ถ้าหากว่าฉันถูกจับได้มันจะเป็นยังไง ถ้าหากเขารู้ว่าเป็นฉัน... ฉันจะทำยังไง เขาจะฆ่าฉันมั้ย? “เธอเองเหรอ” เสียงฟันในปากของฉันกระทบกันดังขึ้นเรื่อยๆ ฉันค่อยๆ ร่นถอยหลังออกมาเมื่อเสียงฝีเท้าที่ได้ยินเมื่อครู่ดังชัดเจนอยู่ตรงหน้า บวกกับเสียงของรุ่นพี่จุนแจที่ฉันจำได้แม่น มันชัดเจนแล้วว่าเขารู้แล้วว่าเป็นฉัน แม้ว่าฉันจะยังไม่ได้เงยหน้าจากหัวเข่าขึ้นสบตาเขาเลยก็ตาม “ฉะ ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ออกไปนะ ออกไป” “ลืมตาแล้วมองฉัน” “ไม่ ออกไป ฉันไม่... ไม่...” เสียงของฉันหายไปเมื่อรู้สึกได้ว่าไหล่เล็กๆ ทั้งสองข้างที่กำลังสั่นถูกสัมผัสเบาๆ ความรู้สึกเย็นที่แผ่ซ่านจากบริเวณนั้นวิ่งไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว “เงยหน้าขึ้น แล้วมองฉัน” รุ่นพี่จุนแจกระซิบบอก ฉันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเหมือนเขาจะนั่งยองๆ ลงตรงหน้าฉัน ฝ่ามือหนายังคงวางอยู่บนไหล่ ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นสัมผัสที่ต้องการจะปลอบประโลมหรือตั้งใจข่มขู่กันแน่ “ฉันไม่ได้จะทำร้ายเธอ” ฉันกลัวมากจริงๆ ร่างกายสั่นจนไม่อาจควบคุม แต่สุดท้ายก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อสัมผัสเย็นๆ จากปลายนิ้วของรุ่นพี่จุนแจเคลื่อนมาที่ใบหน้าด้านข้างก่อนจะเคลื่อนลงไปจับปลายคางแล้วเชิดใบหน้าของฉันขึ้นช้าๆ เพื่อให้เราสบตากัน วินาทีแรกที่ได้สบตากับเขา แววตาของคนตรงหน้ายังคงเป็นแววตาของรุ่นพี่ที่ไม่เคยสนใจอะไรรอบกายเหมือนเมื่อกลางวันที่เราเจอกันที่ห้องพยาบาลนั่นแหละ แต่สักพักฉันก็รู้สึกเหมือนจะเห็นประกายสีแดงที่ชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทั้งตัว ตึก! ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามรุ่นพี่จุนแจมาทำให้ฉันสะดุ้งตกใจและตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม น้ำตาไหลอาบแก้มแต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะร้องขอชีวิต ไม่กล้าเอ่ยปากเรียกชื่อของเขาด้วยซ้ำไป ชั่วขณะหนึ่งคิดว่าบางทีฉันอาจจะกำลังฝันไป ทั้งหมดนี้มันอาจเป็นแค่ความฝัน และฉันควรจะรีบตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ที่ห้องพยาบาล ตื่นเซ่!!! “ยัยนี่เห็นเหรอจุนแจ” “พวกนายออกไปก่อน” รุ่นพี่จุนแจชำเลืองหางตามองเพื่อนของเขาก่อนออกคำสั่งเสียงเข้ม “หมายความว่าไง นายจะปล่อยเด็กนี่ไปงั้นเหรอ” “ฉันบอกให้ออกไปก่อน” “ไม่ได้เว้ย นายจะปล่อยให้ยัยนี่รู้ความลับของพวกเราไม่ได้” หนึ่งในสองคนที่วิ่งตามมาโวยวายอย่างหัวเสีย และนั่นทำให้รุ่นพี่จุนแจมองมาที่ฉันอีกครั้งราวกับกำลังตัดสินใจ ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงวาววับน่ากลัว “เซตซีโร่เด็กนั่นซะจุนแจ” อะไรคือเซตซีโร่ พวกเขากำลังจะสั่งให้พี่จุนแจฆ่าฉันใช่มั้ย ความหมายของซีโร่มันจะเป็นอะไรไปได้อีก “จุนแจ!” “ฉันรู้น่า” รุ่นพี่จุนแจตะคอกกลับ เสียงของเขาทำให้ฉันสะดุ้งตัวโยน ร่างกายอ่อนแรงจนแทบจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแทบเท้าของเขาอยู่รอมร่อ “ระ รุ่นพี่คะ” ฉันพยายามอ้อนวอน แต่การสบตาเขาแล้วเปล่งเสียงออกไปมันยากลำบากเหลือเกิน แม้ลำคอแห้งผาก แต่การกลืนน้ำลายลงคอสักอึกก็ไม่กล้าพอจะทำ “เดี๋ยวนี้จุนแจ อย่าให้ฉันต้องจัดการเอง” “ไม่นะคะ ฉะ ฉันไม่...” “หลับตาซะ” “รุ่นพี่” “ฉันสั่งให้เธอหลับตาเดี๋ยวนี้ซารัง” รุ่นพี่จุนแจย้ำอีกครั้ง แม้เสียงของเขาจะเบาราวกระซิบ แต่กลับหนักแน่นจนฉันต้องค่อยๆ ปิดเปลืองตาลงช้าๆ ตามคำสั่ง ความสงสัยว่าเขาจำชื่อฉันได้ยังไงไม่เท่ากับเรื่องที่เขากำลังจะทำอะไรกับฉันเลยสักนิด “ฉะ...” “ลืมมันซะยัยเด็กโง่” “อย่าฆ่าฉันเลยนะคะรุ่นพี่ ฉัน...” “เซต... ซีโร่”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD