การหมั้นหมายได้เกิดขึ้นวันถัดมาหลังจากพลับพลึงและหินผาไปถึงบ้าน เนื่องจากพ่อของหินผาติดงานด่วนเลยตามมาทีหลัง อีกทั้งวันนี้ถือเป็นฤกษ์ดีมากกว่าที่พ่อแม่ของพลับพลึงได้ดูวันมาก่อนแล้ว
งานหมั้นไม่ได้จัดใหญ่โตมากนักแต่ก็มีญาติผู้ใหญ่ฝั่งของพลับพลึงมาร่วมงานเกือบยี่สิบชีวิตได้ ทุกอย่างทำตามประเพณีทุกขั้นตอน จะติดที่ฝ่ายหินผามีเพียงพ่อเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่มันกลับไม่ใช่ปัญหาในเมื่อทุกอย่างดำเนินมาตามขั้นตามตอนถือว่าเป็นเกียรติและหน้าตาให้ครอบครัวฝ่ายหญิงแล้ว อีกทั้งถือว่าทำถูกต้องตามประเพณีแล้ว
“จริง ๆ พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยหรอกนะที่จะให้เราสองคนอยู่ด้วยกันถึงจะหมั้นกันแล้ว แต่ก็รู้ดีว่าลับหลังคงแทบทำอยู่ดี” น้ำเสียงที่ยังไม่ค่อยยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นของบัวตองดังขึ้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเหลือเพียงครอบครัวสองฝ่าย “แต่ยังไงตอนนี้ก็หมั้นหมายกันอย่างถูกต้องแล้ว ช่วยดูแลกันให้ดี แล้วอย่าทำอะไรที่มันผิดพลาดอีกครั้ง”
ผิดพลาดที่เธอรู้ดีว่าหมายถึงเรื่องท้องไส้ก่อนเรียนจบ
“ผมมีงานที่ยังต้องสะสางต่อ ยังไงผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” พ่อของหินผาพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายไม่น้อยกับความคิดของครอบครัวนี้ที่หมั้นหมายให้ถูกต้องสมเกียรติแล้วแต่ยังทำหน้าปั้นปึ่งไม่หยุด เขาอยู่ในสังคมแบบนี้ไม่ไหวจริง ๆ
“ครับ” พ่อของเธอไม่ได้ห้ามและตอบรับออกไป
“กลับพร้อมผมเลยครับ” หินผาบอกพ่อตัวเองขึ้นอย่างไม่คิดจะอยู่ต่อ คืนเดียวก็เกินพอแล้วกับครอบครัวที่ยึดติดจนไม่แยกแยะ
“พลับรอกลับตอนใกล้เปิดเทอม” พ่อเธอที่ไม่ได้ห้ามหินผาแต่ก็ไม่ลืมแทรกขึ้นบอกให้เธอรู้ว่าไม่อนุญาตให้เธอกลับไปตอนนี้
“ค่ะ” เธอจะทำอะไรได้นอกจากอยู่ในพื้นที่ที่เธอไม่อยากอยู่ต่อไป
“ขอตัวนะครับ” พ่อหินผาพูดพร้อมกับหินผาที่ยกมือไหว้พ่อแม่ของเธอโดยไม่ได้พูดอะไร และเดินออกไปพร้อมกับพ่อของตัวเอง เดินออกไปโดยที่กระเป๋าเขาเก็บใส่หลังรถตั้งแต่เมื่อเช้ามืดแล้ว
“ไร้มารยาท! ถ้าไม่ติดว่ามาถึงขั้นนี้แล้วแม่ไม่ยอมรับผู้ชายคนนี้จริง ๆ นะ!” น้ำเสียงไม่พอใจของแม่เธอพูดขึ้นหลังจากสองคนพ่อลูกเดินออกจากประตูบ้านไปแล้ว
“.....” เธอเลือกจะเงียบไม่ได้พูดอะไร เพราะความคิดของเธอในตอนนี้หากพูดออกไปมีแต่จะทะเลาะกันและถูกตำหนิ
ความคิดย้อนแย้งของผู้ใหญ่ที่เด็กมีเพศสัมพันธ์มองว่าเป็นเรื่องใหญ่โต เป็นเรื่องเกินขอบเขตและเกินกว่าวัย แต่สุดท้ายเพื่อรักษาหน้าตา เพื่อรักษาสิ่งที่เรียกว่าถูกต้องในมุมของตัวเอง กลับให้เด็กเหล่านี้หมั้นหมายตกแต่งที่เป็นเรื่องใหญ่โตกว่าการมีสัมพันธ์กัน แต่นั่นกลับไม่มองว่ามันผิดแปลกเลยสักนิด
เพียงเพราะคำว่าถูกต้องของพวกเขาอย่างเดียวทำให้เลือกยึดติดประเพณี ยึดติดขั้นตอนการปฏิบัติ แต่กลับไม่ได้ยึดติดหรือนึกถึงจิตใจของคนที่ถูกบีบบังคับให้ทำตามคำสั่งเลยสักนิด
ย้อนแย้งและผิดเพี้ยนในมุมของเธออย่างที่สุด
“พ่อผิดหวังจริง ๆ นะที่สอนสั่งพลับมาตั้งแต่เด็ก แต่สุดท้ายพลับทำเรื่องไม่ควรทำแบบนี้” เมื่อได้โอกาสก็ไม่ลืมที่จะตำหนิเธออีกครั้ง
“ใช่ แม่ไม่คิดเลยนะว่าการที่แม่ยอมพลับครั้งหนึ่งเพราะเห็นแก่การศึกษา มันจะทำให้พลับเหลวไหลได้ขนาดนี้” ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครคิดถามอะไรดี ๆ ต่อเธอเลยสักประโยค ทั้งพ่อและแม่เอาแต่ตำหนิและกล่าวโทษเธอราวกับว่าเธอทำผิดมหันต์
“นี่ยังดีนะว่าที่พวกเขายังรับผิดชอบหมั้นหมายอย่างให้หน้า” พ่อ
“และยังดีที่มีสำนึกรู้จักป้องกันไม่ปล่อยให้ท้องโย้กลับมา ไม่อย่างนั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนจริง ๆ” หน้าตาทางสังคมมันย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกของคนในครอบครัวเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ยิ่งเคยตำหนิลูกหลานคนอื่นบ่อย ๆ ก็ไม่แปลกที่จะรับไม่ได้เมื่อลูกตัวเองเดินทางผิด
แต่ทุกอย่างเธอก็ทำได้เพียงแค่คิดและไม่กล้าพูดออกไป เป็นแบบนี้มาตลอดเกือบทั้งชีวิตที่เกิดมา กล้าคิดแต่ไม่กล้าพูด แต่ถ้าจะกล้าก็กล้าแค่พูดในสิ่งตรงข้ามแสดงออกอย่างสำนึกผิด
“พลับขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง” เธอยกมือไหว้อย่างทำอะไรไม่ได้ แต่ก็อย่างที่พ่อพูดนั่นแหละว่าดีแค่ไหนแล้วที่หินผายอมหมั้นให้เธอไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะหากเขาเลิกจะถอยห่างหนีจากไปเลย สิ่งที่เธอจะได้รับฟังมันมากกว่านี้ซะอีก
“อย่าให้มีเรื่องอื่นอีกนะพลับ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะยอมให้ลูกทำตัวเหลวไหลแบบนี้” แล้วคำเตือนที่เด็ดขาดก็ดังขึ้นกับเธอ
“ค่ะ” คำติดปากของเธอก็คงไม่พ้นคำนี้ ‘ค่ะ’ แม้ว่าใจปฏิเสธออกไปเสมอว่า ‘อยากทำอะไรก็เชิญ’
“ไปพักผ่อนได้แล้ว เกรดออกอย่าลืมส่งมาให้แม่ด้วย” แม้จะไล่แล้วแต่ก็ยังไม่ลืมสิ่งสำคัญอีกอย่างออกไป
“ค่ะ” เธอตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะพาตัวเองขึ้นห้องนอนชั้นสองไป
พลับพลึงนั่งลงบนเตียงของตัวเองก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นมาดู แหวนเพชรเม็ดเล็กน่ารักสมวัยที่ถูกสวมลงบนนิ้วนางข้างขวาคือแหวนหมั้นที่หินผาเตรียมมา แหวนที่ถ้าหากเธอใส่ออกไปข้างนอกหรือเธอเห็นใครใส่คงไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าหมั้นหมายหรือแต่งงาน แหวนที่สวมใส่ตามแฟชั่นทั่วไป แต่มันกลับเป็นสิ่งที่คนบางกลุ่มที่ยังยึดติดอย่างพ่อแม่เธอมองว่ามันคือแหวนหมั้น
แต่ที่น่าเจ็บปวดกว่านั้นคือวันหมั้นของเธอ ผู้ชายตรงหน้าคือคนที่เธอรัก แต่ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่มีความสุขจนไม่มีรอยยิ้มออกมาแม้เพียงมุมปาก แม้แต่เธอเองก็ยังเค้นรอยยิ้มออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ วินาทีที่เขาจับมือเธอไปสวมแหวน วินาทีที่เธอจับมือเขามาสวมแหวน มันควรเป็นภาพความทรงจำที่น่ารักของเรา ควรจะมีความสุขและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ไม่เลย ทุกอย่างมันพังเพียงเพราะมันไม่ใช่เวลาที่เราสองคนเลือกเองยังไงล่ะ ซ้ำยังเป็นเหตุการณ์ที่ถูกบีบบังคับให้ทำ แล้วมีใครบ้างที่ถูกบีบบังคับจะพอใจ ต้องไม่มีอยู่แล้ว
“พลับขอโทษ อย่าเกลียดพลับเลยนะ”
ช่วงปิดภาคเรียนที่สองถือว่าเป็นเวลาที่ยาวนานมาก และยิ่งยาวนานกว่าเดิมเมื่อพลับพลึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของตัวเอง กว่าจะผ่านพ้นไปแต่ละวันกว่าจะหมดเวลาหยุดเธอแทบหมดลมหายใจเพราะความอึดอัดไปซะก่อน ยังดีที่ยังเหลือลมหายใจมาถึงช่วงเปิดภาคเรียนได้
ซึ่งภาคเรียนนี้คือภาคเรียนนี้เธอขึ้นปีสองแล้ว ส่วนหินผานั้นก็ขึ้นปีสี่
“ดีที่เกรดเทอมนี้ไม่ต่ำไปกว่าเดิม แล้วแม่หวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปนะ” คำสั่งกำชับอย่างเข้มงวดของแม่เธอดังขึ้นก่อนจะกลับบ้านต่างจังหวัดไปคืนเมื่อมาส่งเธอที่คอนโดกับพ่อด้วยตัวเองก่อนเปิดภาคเรียนทั้งที่ระยะทางไม่ได้ใกล้เลยสักนิด เรียกว่าขับรถเป็นวันแต่พวกเขาก็ยังมาเหมือนที่ผ่านมา
“ค่ะ” เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ อย่างรับรู้และเข้าใจ
“ดูแลตัวเองให้ดี อย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวังอีก” พ่อเธอพูดขึ้นบ้างพร้อมกับยกมือวางบนหัวของเธอเบา ๆ ดูเหมือนจะอ่อนโยนแต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นหรือปลอบประโลมจากพ่อแม่เลยสักนิด
“ค่ะ” ยังคงตอบรับด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“พ่อกับแม่กลับล่ะ” แม่เธอพูดขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องของเธอไปพร้อมกับพ่อของเธอและมีเธอมาส่งที่ประตูห้อง รอจนพวกเขาลับสายตาถึงได้ปิดประตูพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่หายไป
หลังจากอยู่คนเดียวครู่หนึ่งพลับพลึงก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองและต่อสายไปหาเพื่อนเธอทันที ตอนนี้เธออยากได้ใครสักคนที่บอกว่าเข้าใจเธอบ้างก็ยังดี และนั่นก็ไม่พ้นเพื่อนของเธอ
“เป็นยังไงบ้างแก” ใบหม่อนถามขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเธอ ถามเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรู้ดีแต่ไปร่วมไม่ได้เพราะแม้แต่เพื่อนสนิทของเธอที่คบกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ไม่ชอบพ่อแม่ของเธอ
“เหนื่อยว่ะ” พลับพลึงพูดกับเพื่อนทั้งสองคนขึ้นอย่างเหนื่อยล้า พูดในสิ่งที่รู้สึกแต่กลับบอกคนที่สามารถทำให้หายเหนื่อยได้
“พ่อแม่แกไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ ไม่ว่าปีพ.ศ. จะเปลี่ยนไปยังไงอายุลูกจะเพิ่มเท่าไหร่ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด” ใบหม่อนพูดออกมาอย่างเหลืออดกับพ่อแม่ของเพื่อน
“แต่พี่ผาก็เหลือเกิน คิดว่าแกอยากใช้วิธีนี้ผูกมัดเขาหรือไงถึงพาลมาโกรธแกได้!” ซีนเสริมอีกคน
“อย่าโทษพี่ผาเลย เพราะแม้แต่ฉันที่รักเขา ฉันยังไม่ชอบที่ถูกพ่อแม่บีบบังคับแบบนี้” เธอไม่ได้เข้าข้างหินผา แต่เธอพูดในฐานะคนถูกบีบบังคับเหมือนกัน “แม้ฉันจะรักเขา แต่ฉันก็อยากคบกับเขาไปเรื่อย ๆ เรียนรู้กันไปตามวันเวลา ปรับจูนกันว่าเราเข้ากันได้มากน้อยแค่ไหน แม้ฉันจะรักเขา อยากอยู่กับเขา แต่ฉันยังไม่เคยคิดถึงขั้นว่าจะต้องหมั้นหรือแต่งงานกับเขาในปีสองปีนี้ด้วยซ้ำ”
เพราะแบบนั้นไงเธอถึงไม่โทษหินผาที่เขาเป็นแบบนี้ เขาไม่พอใจพ่อแม่เธอแต่เธอกลับทำอะไรหรือพูดอะไรกับพ่อแม่ตัวเองไม่ได้จนทำให้ความผิดนั้นมาอยู่ที่เธอแทน
“แต่ความฝันของฉันมันคงไม่มีวันเป็นจริงแล้วว่ะ ความรู้สึกดี ๆ มันพังลงไปตั้งแต่มีพ่อแม่เข้ามาในความสัมพันธ์ของฉันกับเขาแล้ว”